22 พ.ย. 2568 | 19:00 น.

“ปัจจุบันคุณรู้จักสิ่งเหล่านี้ในชื่อว่า ‘Work-Life Balance’ มันไม่ได้โผล่มาเฉย ๆ มันคือผลผลิตจากการต่อสู้ของผู้หญิงชนชั้นแรงงาน”
ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งสรรปันส่วนชีวิตและการทำงานอย่างสมดุล แนวคิดเรื่องเวลาที่ยืดหยุ่นของการทำงาน ไปจนถึงสิทธิพื้นฐานอย่างวันลารูปแบบต่าง ๆ ล้วนเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นที่คุ้นเคยกันในยุคปัจจุบัน เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเรื่องการตระหนักรู้เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่กว้างขวางมากขึ้น ทว่าในขณะเดียวกันอีกรากฐานที่สำคัญอาจมาจากการต่อสู้ของ ‘สตรีชนชั้นแรงงาน’
และนี่คือจุดที่อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา พาเรากลับไปสำรวจต้นกำเนิดของแนวคิด Work–Life Balance ผ่านการเปลี่ยนผ่านของบทบาทผู้หญิงที่เดิมทีมักมีบทบาทในการดูแลครอบครัวเป็นสำคัญ ก่อนที่จะขยับเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจ ต้องเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเฉกเช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งจะตามมาด้วยคำถามว่า “ถ้าผู้หญิงทำงาน ใครจะเลี้ยงลูก?”
บทสนทนาครั้งนี้ไม่เพียงไล่เรียงประวัติศาสตร์ของแรงงานหญิง หากยังเปิดให้เห็นภาพสะท้อนจากวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น Kramer vs. Kramer หนังที่ฉายให้เห็นแรงปะทะระหว่างงาน อุดมการณ์ครอบครัว และความจริงเรื่องบทบาทของพ่อแม่ในโลกสมัยใหม่ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับปัญหาอัตราการเกิดต่ำที่ส่งต่อกันมาจนถึงในยุคปัจจุบัน
- ลำดับต่อไปคือส่วนของอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -
กลับมาที่ประเด็นเรื่องพ่อกับแม่และการเลี้ยงดูลูกที่คุณถาม ประวัติศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจแทบไม่มีผู้ชายชนชั้นสูงคนไหนที่ลงมือเลี้ยงลูกเองเลย มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นตอนที่คุณส่งคำถามมาว่าอยากสัมภาษณ์เรื่องพ่อ ผมยังคิดเลยว่า คุณนี่คือผลผลิตของโลกในช่วงศตวรรษที่ 21 แท้ ๆ เลย
ถ้าคุณอยากให้คนมีลูกมากขึ้น อย่างปัญหา aging society หรืออัตราการเกิดต่ำในประเทศพัฒนาแล้ว คุณจะทำยังไง? คุณก็ต้องรณรงค์ให้ ‘พ่อ’ มีบทบาท และให้ ‘แม่’ ได้รับการสนับสนุนในระบบการเลี้ยงดูบุตร รัฐก็ต้องช่วย เพราะอย่างที่บอก พ่อในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีบทบาทใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน [ สามารถอ่านประเด็นนี้ต่อได้ใน ‘พ่อคืออะไร? ทำไมสิ่งมีชีวิตเพศชายถึงต้องดูแลลูก? กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา’ ]
และในขณะเดียวกัน อัตราการหย่าร้างของสแกนดิเนเวียนก็สูงมาก คุณมีแม่เลี้ยงเดี่ยวคนเดียว คุณจะทำยังไง? คุณไม่มีครอบครัวขยาย ไม่มีคุณยายช่วยเลี้ยง คุณติดอยู่ในอุดมการณ์ที่บอกว่าต้องเลี้ยงลูกเองทั้งหมด
ในระบบครอบครัวเดี่ยวหรือ nuclear family พอไม่มีพ่อ และคุณเป็น single household ไม่ว่าจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว คุณถูกกดทับด้วยความเชื่อว่าต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่อุดมการณ์อย่างเดียว แต่มันคือปัญหาเชิงเศรษฐกิจ ไม่มีเงินจ้างคนอื่น แล้วถ้าคุณมีเงินจ้าง คุณก็อาจอยากจ้าง French Governess มาดูแลลูก แต่มันทำไม่ได้ในสภาพสังคมจริง
ตลอดเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ขนาดของครอบครัวยุโรปก็เล็กลงเรื่อย ๆ และยิ่งเห็นชัดมากในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะเห็นภาพอุดมคติของสิ่งที่เรียกว่า nuclear family คือพ่อ แม่ และลูกสองคน
สำหรับผม โมเดลนี้มันชัดเจนมากในซีรีส์โทรทัศน์ขาวดำปลายทศวรรษ 1950 และต้นทศวรรษ 1960 ซึ่งฉายในไทยด้วย ชื่อ Leave It to Beaver หรือภาษาไทย หนูน้อยบีเวอร์ เป็นเรื่องของครอบครัวอเมริกันผิวขาวที่มีลูกชายสองคน ภาพแบบนี้คืออุดมคติของครอบครัวขนาดเล็ก แต่ในอดีตไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ชาร์ลส์ ดาร์วินยังมีลูกเป็นสิบ ก็เห็นได้ว่ามันค่อย ๆ ลดลงตามกาลเวลา
อย่างที่เราคุยกันมาตลอด ในศตวรรษที่ 19 พ่อในสังคมอุตสาหกรรมก็มีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเฟมินิสต์ที่เรียกร้องคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับแรงงานชายที่ทำงานในโรงงาน มันมีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แล้ว เราก็เลยเห็นพัฒนาการเป็นระลอกต่าง ๆ ของขบวนการเฟมินิสต์
ทศวรรษ 1960 ก็เป็นยุคที่ผู้คนเชื่อในเสรีภาพ ฮิปปี้ วัฒนธรรมวัยรุ่น เด็กมีปัญหาก็ดูเจมส์ ดีน (James Dean) เรื่อง Rebel Without a Cause พอครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ความคิดว่าจะต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเองทั้งพ่อและแม่ก็ชัดขึ้น เพราะหนึ่ง คุณไม่มีเงินจ้างคนอื่น และสอง คุณเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก แนวคิดนี้ขยายตัวในทศวรรษ 1960 และ 1970 ควบคู่กับความตระหนักเรื่องความเท่าเทียมระหว่างพ่อกับแม่ และเสียงของขบวนการเฟมินิสต์ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
แนวคิดเรื่อง co-parenting ซึ่งเดิมใช้กับคู่ที่หย่าร้าง ก็กลายเป็นแนวคิดสำคัญที่ใช้กับครอบครัวที่ไม่ได้หย่าร้างด้วย เพราะมองว่าพ่อแม่ควรมีสิทธิ์ดูแลลูกอย่างเท่าเทียมกัน
ปลายทศวรรษ 1960 จึงเริ่มเห็นรูปแบบครอบครัวที่แม่อยู่บ้าน ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดแบบใน Leave It to Beaver และจากบริบทแบบนี้เองก็เกิดแนวคิดที่เรียกว่า ‘Helicopter Parent’ ในช่วงปลายทศวรรษ 1960
Helicopter Parent คือพ่อแม่ที่ตามดูแลลูกทุกฝีก้าว เลี้ยงแบบโอบอุ้มทุกอย่าง พอเข้าสู่ทศวรรษ 1970 อัตราการหย่าร้างก็สูงขึ้น สำหรับผม อินดิเคเตอร์หนึ่งที่เราดูได้จากหนังฮอลลีวูดก็คือเรื่อง Kramer vs. Kramer ที่เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) เล่นกับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน (Dustin Hoffman) ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นการแย่งสิทธิ์ดูแลลูกกัน
ทีนี้เวลาคุณหย่าร้าง คำถามก็คือใครจะได้ลูก ซึ่งโดยมากมันก็ไปที่แม่ ผู้ชายก็จ่ายเงินอย่างเดียว สมมติเงินเดือนคุณร้อยเหรียญ คุณอาจต้องจ่ายให้ฝ่ายหญิงสักเจ็ดสิบถึงแปดสิบเหรียญ มันก็หนักอยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มไม่อยากจดทะเบียน เพราะมันมีผลทางกฎหมาย หากหย่าขึ้นมา ค่าเลี้ยงดูสำหรับผู้ชายอาจหนักจนแทบชิบหาย พอมีแนวคิด co-parenting หลังการหย่า ก็ต้องมีการแบ่งกันว่าใครจะได้ลูกในสัดส่วนเท่าไหร่ คำถามสำคัญคือ ผู้ชายเลี้ยงลูกได้ไหม ถ้าคุณเป็นพ่อ เพราะอุดมการณ์แบบฝรั่งคุ้นชินกับภาพว่าผู้หญิงเป็นคนเลี้ยงลูกมาตลอด เรื่องนี้สำหรับผมมันชัดเจนมาก
แล้วก็แน่นอนว่ากระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเกย์และความหลากหลายทางเพศก็เริ่มมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
ผมไม่รู้ว่าคุณเคยดูหนังตลกเรื่อง Three Men and a Cradle ไหม หนังฝรั่งเศสปี 1985 เกี่ยวกับผู้ชายสามคนต้องเลี้ยงเด็กทารกที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้าน เลี้ยงยังไง ทั้งขวดนม ทั้งทุกอย่างในชีวิตประจำวัน คุณอย่าลืมว่าเทคโนโลยีในยุคนั้น เช่น จุกนมพลาสติก นมผง มันช่วยแก้ปัญหาได้มาก หนังเรื่องนี้ต่อมาฮอลลีวูดก็นำไปรีเมกในปี 1987 ถ้าผมจำไม่ผิด ทอม เซลเล็ค (Tom Selleck) เล่น นี่คือภาพชัด ๆ เลยว่าความคิดเรื่องผู้ชายเลี้ยงลูกเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
ประชากรในยุโรปและโลกตะวันตกเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะถดถอยด้านประชากรอย่างจริงจัง ปัจจุบันเราก็เห็นแล้วว่าเอเชียตะวันออกก็เผชิญปัญหาเดียวกัน อัตราการเกิดต่ำมาก อัตราการเจริญพันธุ์อยู่ประมาณ 1.2 และประเทศที่ต่ำที่สุดก็อย่างเกาหลีใต้ ปีที่แล้วดีขึ้นนิดเดียวจากเดิม ต่ำจนแทบพัง— 0.75—ถือว่าขยับขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่ยังห่างจากระดับที่โครงสร้างประชากรจะอยู่รอดได้ ซึ่งต้องอยู่ที่ 2.1 ลูกต่อผู้หญิงหนึ่งคน
คุณลองเทียบดู 0.75 กับ 2.1 มันห่างจนเรียกว่าพินาศได้เลย
ความจริงก็คือผู้คนไม่อยากมีลูก เพราะอย่างที่ผมบอก ผู้หญิงมีฐานะดีขึ้น การศึกษาสูงขึ้น แล้วจะให้ไปแต่งกับใคร สมมติคุณเป็นผู้หญิงที่จบปริญญาเอกฟิสิกส์ ในห้องทำงานคุณน่ะ ทุกคนแม่งมีการศึกษาต่ำกว่าคุณหมด แล้วคุณจะยอม hypogamy [สามารถอ่านประเด็นนี้ต่อได้ใน ‘พ่อปกครองลูก : เมื่อรัฐสถาปนาตัวเองเป็น ‘พ่อ’ จากยุคล่าอาณานิคมถึงการปฏิวัติอเมริกา’] ไหมล่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี
พอไม่มีสวัสดิการ ไม่มีคนช่วยดูแลลูก ความฉิบหายมันก็ตามมา เราต้องเลี้ยงลูกเองหมด ไม่มีใครซัพพอร์ต ประเทศที่อัตราการเกิดต่ำก็เลยต้องสร้างอุดมการณ์ใหม่ว่า “มีลูกเพื่อชาติ” แล้วรัฐก็ต้องให้การสนับสนุนเต็มที่
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อคุณเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือแม้แต่เป็นแม่บ้านที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ขณะที่สามีออกไปทำงาน เศรษฐกิจก็แย่ลงหลังปี 1973 เพราะสงครามยมคิปปูร์ ทำให้เกิดวิกฤตน้ำมันและราคาน้ำมันขึ้นไปกว่า 300 เปอร์เซ็นต์ นำไปสู่วิกฤตต่าง ๆ ระบบสวัสดิการในโลกตะวันตกก็เริ่มถดถอย เพราะเงินรัฐน้อยลงและเจอปัญหาเศรษฐกิจหนัก
พร้อมกันนั้น กระแสความเท่าเทียมและกระแสเฟมินิสต์ก็เพิ่มขึ้น ผู้หญิงออกมาทำงานมากขึ้น เมื่อทำงานไปสักพัก แต่งงานมีลูก ก็ต้องเลือกว่าจะเอาลูกหรือจะเอางาน และผมคิดว่าเราก็ได้ยินคำถามนี้มาตลอด คุณจะทำสองอย่างพร้อมกันได้ยังไง พ่อก็ต้องทำงาน แม่ก็ต้องทำงาน แล้วใครจะเลี้ยงลูก
ทั้งหมดนี้นำไปสู่แนวคิดสำคัญในต้นทศวรรษ 1980 คือ “ฉันจะไม่มีลูก”
พอคุณมีการศึกษาสูง ชีวิตดี มีรายได้มั่นคง คุณก็จะคาดหวังว่าลูกต้องเป็นอภิชาติบุตร ต้องมีชีวิตที่ดีกว่า เช่น ถ้าคุณเรียนจบธรรมศาสตร์ คุณก็อาจอยากให้ลูกไปเรียนฮาร์วาร์ด แล้วคุณก็รู้ใช่ไหมว่าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่กว่าลูกจะเข้าไปเรียนที่นั่นได้ มันมหาศาลมาก
เพราะฉะนั้น การไม่มีลูกจึงกลายเป็น ‘ทางเลือก’ ที่มีเหตุผลรองรับเต็มไปหมด คุณก็จะสร้าง justification ต่าง ๆ มาอธิบายว่าทำไมไม่อยากมีลูก เช่น ไม่อยากให้ลูกเกิดมาลำบาก ไม่อยากให้เขามีทุกข์ โลกทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมมันแย่ สังคมมันโหดร้าย คุณก็นึกเหตุผลได้สารพัดที่จะทำให้การไม่มีลูกดูสมเหตุสมผล
ตรงนี้แหละที่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า ‘Double Income, No Kids’ หรือ ‘DINK’ ขึ้นมา
คำถามคือ มันเริ่มที่ไหน?
มันเริ่มกับเจเนอเรชันประมาณผมนี่แหละ คือพวกบูมเมอร์
ตอนนั้นเราก็เรียกกันว่า ‘Yuppie’ หรือ ‘young urban professional’ เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ประชากรเริ่มลดลงในโลกตะวันตกมันเริ่มต้นตั้งแต่ยุคประมาณผมนี่แหละ แต่งงานกันแต่ไม่อยากมีลูก สังคมตะวันตกก็เลยเรียกว่า Double Income, No Kids แล้วพอไม่อยากมีลูกก็ไปเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวแทน กลายเป็น ‘Double Income, No Kids with Dogs or Cats’
พอเข้าสู่ทศวรรษ 1980 เราก็เริ่มเห็นชัดเจนว่าประชากรเริ่มถดถอยลงจริง ๆ แล้วมันก็เป็นช่วงที่คนเริ่มตระหนักว่าการเลี้ยงเด็กหนึ่งคนต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกกังวลตลอดเวลาว่าจะเลี้ยงลูกได้ดีไหม ทำได้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้คือความกังวลของยุคสมัยนั้น ซึ่งเราก็ได้ยินประเด็นแบบนี้อยู่ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
จากจุดนั้น มันก็ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้รัฐเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น หนึ่งในผลลัพธ์สำคัญก็คือ ‘สิทธิวันลา’ หรือสิทธิการลางานเพื่อเลี้ยงดูลูก ที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในเวลาต่อมา สำหรับผม สิ่งเหล่านี้คือผลสืบเนื่องจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ของแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานผู้หญิงชนชั้นล่าง ที่เริ่มตั้งแต่การต่อสู้เพื่อให้มีวันหยุด การทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ได้กินอาหารกลางวันที่ดี เสื้อผ้าหน้าผมที่มีคุณภาพ ทุกอย่างเหล่านี้คือแรงผลักดันของผู้หญิงชนชั้นล่างทั้งนั้น
เมื่อผู้หญิงเข้าไปอยู่ในกลไกเศรษฐกิจ แล้วเธอมีลูกขึ้นมา คำถามสำคัญคือจะเอาเวลาที่ไหนไปเลี้ยงลูก? คุณอาจไม่ได้รวยถึงขนาดจ้างแนนนี่ได้ ดังนั้น การต่อรองเรื่องเวลาทำงานและวันหยุดจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สอดคล้องกับสิ่งที่ผมย้ำมาตลอด ว่าผู้หญิงมีบทบาทตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในการผลักดันให้คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานดีขึ้นเรื่อย ๆ
พอมาถึงช่วงทศวรรษ 1960–1970 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้หญิงจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าผู้หญิงมีลูก เธอก็ต้องไปให้นมลูก ขณะเดียวกันก็ต้องทำงาน แล้วจะเอาลูกไปที่ทำงานได้ไหม? ไม่ได้ มันก็เริ่มยุ่งแล้วใช่ไหมครับ คุณก็จะเห็นมาตรการต่าง ๆ เช่น มีพื้นที่เลี้ยงเด็กในที่ทำงาน หรือมีระบบรองรับบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่การต่อรองเรื่องเวลาอย่างจริงจัง
ปัจจุบันคุณรู้จักสิ่งเหล่านี้ในชื่อว่า ‘Work-Life Balance’ มันไม่ได้โผล่มาเฉย ๆ มันคือผลผลิตจากการต่อสู้ของผู้หญิงชนชั้นแรงงานนั่นเอง เพียงแต่พอมาถึงรุ่นของคุณ ความหมายของ Work-Life Balance อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ต้นทางของมันคือยุค 1980 ชัดเจน
ในขณะเดียวกัน ช่วงทศวรรษ 1980 ก็เป็นยุคที่เสรีนิยมใหม่ขยายตัวอย่างหนัก ในโลกทุนนิยมที่พูดภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย พอเสรีนิยมใหม่มา สวัสดิการก็ลดลง คุณก็ต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น และเมื่อไม่มีสวัสดิการรองรับ คุณก็ยิ่งไม่อยากมีลูก หรือถ้ามีลูกก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้ใครช่วยเลี้ยง
ผลลัพธ์คือ Work-Life Balance ก็ต้องมาคู่กับแนวคิดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ‘Flexible Hours’ ซึ่งถูกผลักดันในยุค 1980 เช่นกัน ก็ราว ๆ 45 ปีมาแล้วโดยเฉลี่ย
แต่ประเด็นคือ ผู้หญิงคนเดียวมันไม่ไหวแล้ว จนสุดท้ายต้องดึงผู้ชายเข้ามาในบทบาทการเลี้ยงดูลูกด้วย นี่คือสิ่งที่เราใช้เวลาพูดกันมาตลอดหลายชั่วโมงนี่แหละครับ ว่ามันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงฝ่ายเดียวอีกต่อไปจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ชายต้องเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเลี้ยงดูลูก