พ่อปกครองลูก : เมื่อรัฐสถาปนาตัวเองเป็น ‘พ่อ’ จากยุคล่าอาณานิคมถึงการปฏิวัติอเมริกา

พ่อปกครองลูก : เมื่อรัฐสถาปนาตัวเองเป็น ‘พ่อ’ จากยุคล่าอาณานิคมถึงการปฏิวัติอเมริกา

ว่าด้วยแนวคิด ‘บิดาผู้ก่อตั้ง’ (Founding Fathers) ไปจนถึงการปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ ไฉนความเป็นครอบครัวถึงแทรกซอนอยู่ในรัฐและการปกครอง? กับ ‘อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา’ ใน The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษ

 

ผมอยากให้คุณลองคิดดูว่า
การเมืองและการปกครองมันเป็นเรื่องของ
คนในครอบครัวเดียวกัน’ ตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

เมื่อถึงคราวต้องนึกถึงเรื่องการบ้านการเมือง หลีกเลี่ยงไม่ได้จะนึกถึงคำอย่างผู้นำ ผู้ปกครอง ประชาชน กฎหมาย หรือรัฐ แต่ในขณะเดียวกันแนวคิดความเป็น ‘พ่อ’ ซึ่งเป็นตำแหน่งในครอบครัวกลับแทรกซอนอยู่ในการปกครองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือแนวคิดอย่าง ‘บิดาผู้ก่อตั้ง’ (Founding Fathers) ไปจนถึงระบบการปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก

จากการปกครองบ้านเมืองที่ดูจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ‘รัฐ’ กับ ‘ประชาชน’ เมื่อแนวคิดของครอบครัวถูกนำมาประยุกต์ใช้จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่แนบชิดกว่าเดิมในนาม ‘พ่อ’ กับ ‘ลูก’ หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าเมื่อประชาชนขัดขืนต่อรัฐ เขาเหล่านั้นไม่เพียงขัดขืนต่อผู้ปกครอง แต่ยังอกัตญญูต่อบุพการีของชาติด้วยหรือเปล่า?

ใน The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษนี้ ‘อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา’ จะชวนสำรวจแนวคิดและอำนาจของ ‘พ่อ’ ที่ได้แทรกตัวเองหรือถูกหยิบใช้โดยรัฐ ทว่ารัฐกับการปกครองที่หยิบเอาความเป็นพ่อไปเป็นส่วนผสมนั้น อุดมไปด้วยความรักและห่วงใยเฉกเช่นสายใยในครอบครัวหรือเปล่า หรือสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงมายาคติบางรูปแบบที่ทำให้ประชาชนเชื่อฟังรัฐราวกับว่าเขาเหล่านั้นคือพ่อของตน

การปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ คือรูปแบบการปกครองของจักรวรรดินิยม ที่คนผิวขาวใช้เพื่อปกครองคนในอาณานิคม มันไปพร้อมกับแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการปกครองแบบพ่อ–ลูกมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับสายสัมพันธ์จริง ๆ มันเป็นแค่อุดมการณ์ เป็นคําอธิบายที่เจ้าอาณานิคมคนผิวขาวใช้ให้ความชอบธรรมกับการปกครอง

 

- ลำดับต่อไปคือส่วนของอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -

 

บิดาผู้ก่อตั้ง

เมื่อพูดถึงการปฏิวัติอเมริกา (American Revolution) คนในอาณานิคมอเมริกาตอนนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ต่อต้านทรราชอังกฤษ (Tyrant) ซึ่งคำว่า ‘tyrant’ เป็นคำที่มีมาตั้งแต่กรีกโบราณ และก็ถูกใช้ต่อมาทั่วยุโรป (อีกคำหนึ่งที่มาหลังช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ก็คือ ‘despot’ ) ซึ่งคำว่า tyrant ในกรีกโบราณไม่ได้มีความหมายเชิงลบอย่างเดียว แต่มันมีได้ทั้งบวกและลบ

เวลาคุณต่อต้านทรราช ในสำนึกแบบยิว–คริสต์ ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ ‘โมเสส’ (Moses) ไล่มาจนถึงสงครามศาสนาในฝรั่งเศส (French Wars of Religion) ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ซึ่งนำไปสู่ความคิดของกลุ่มโมนาร์โคแมคส์ (Monarchomachs) โดยเฉพาะพวกคาลวินิสต์ (Calvinists) ที่สู้กับคาทอลิก เพราะกษัตริย์ฝรั่งเศสเป็นคาทอลิก จึงเกิดแนวคิดเรื่องการสังหารทรราช หรือ tyrannicide

ในการปฏิวัติอเมริกา ภาพที่ถูกสร้างขึ้นก็คือผู้ปกครองอังกฤษเป็นทรราช ซึ่งก็คือกษัตริย์อังกฤษ ดังนั้นสัญลักษณ์สำคัญของอาณานิคมในการสร้างอเมริกา ก็คือโมเสส เพราะโมเสสคือผู้ที่ปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาสในอียิปต์มาหลายร้อยปี โมเสสพาผู้คนข้ามทะเลแดง และได้รับการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่กองทัพของฟาโรห์จมน้ำตายในทะเลแดง

อเมริกามองตัวเองว่าเป็น New Jerusalem และเมื่อเป็นดินแดนดังกล่าว ก็จะมี ‘คนนอก’ เข้ามาไม่ได้ คนที่ไม่ใช่คริสต์ก็ต้องถูกกันออกไป เพราะฉะนั้นเวลาคนพื้นเมืองอเมริกันล้มตายจากโรคที่มาพร้อมคนผิวขาว คนผิวขาวก็มองว่านี่คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้น ก็ถูกมองเหมือนกับโรคระบาดสิบประการในอียิปต์ (Plagues of Egypt) ที่โมเสสนำมาใส่ชาวอียิปต์ แล้วโรคสุดท้ายก็คือโรคที่ทำให้ลูกชายคนโตตาย ในสำนึกของพวกเขา มันก็มาจากการเล่าเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิล ที่มองว่าคนพื้นเมืองเป็นคนนอกศาสนา และการตายของพวกเขาก็มาจากพระเจ้าที่ส่งโรคมากวาดล้าง

เพราะฉะนั้นคุณอย่าได้แปลกใจว่าทำไมเวลาเกิดโรคระบาด คนที่เคร่งศาสนามักเชื่อว่าโรคระบาดคือสิ่งที่พระเจ้าส่งลงมาเพื่อลงโทษและกำจัดคนที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ออกไป 

คริสต์ศาสนาในช่วงแรก ๆ ล้วนเป็นโปรเตสแตนท์ ส่วนคาทอลิก กว่าที่จะอพยพเข้าไปสหรัฐอเมริกา ก็ปลายศตวรรษที่ 19 แล้ว เราจะเห็นได้ชัดจากหนังหรือข่าว ก็คือพวกอิตาเลียนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็เป็นคาทอลิก รวมถึงอีกกลุ่มหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือชาวไอริช พวกเขาจึงเป็นคาทอลิกท่ามกลางโปสเตสแตนท์ และแม้จะเป็นคริสต์เหมือนกัน แต่เมื่อคุณเป็นคาทอลิก คุณก็จะถูกมองว่างมงาย เชื่อในนักบุญ มีพิธีกรรมเยอะ ไม่ใช่คริสต์ศาสนาที่แท้จริง 

ดังนั้นคาทอลิกจึงถูกมองเป็นชนชั้นรอง (second class) พวกเขาจึงมักรวมตัวกันอยู่ในชุมชนที่เรียกว่า ‘Catholic Ghetto’ เพราะฉะนั้น สังคมอเมริกันในอดีตจึงมีรากฐานเป็นโปรเตสแตนท์ แบบที่เราเรียกว่า ‘White Anglo-Saxon Protestants’ ซึ่งชัดมากในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้ชัดขนาดนั้นแล้ว เพราะมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เข้ามามากขึ้น

ก็กลับไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง คือเทพเจ้าที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้อย่าง ‘Dyeus’ ที่เป็นผู้ชาย (สามารถอ่านประเด็นที่ว่านี้ได้ที่บทความ  ‘ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา’) ส่วนเทพเจ้าที่เป็นพื้นดินเป็นผู้หญิง อย่างไกอา (Gaia) ในกรีกโบราณ หรือพระแม่ธรณีและพระแม่คงคา แม้แต่ในตำนานอินเดียโบราณ โลกใบนี้ก็เป็นผู้หญิง คำว่า ‘ภารตมาตา’ ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น ‘แม่’ ของอินเดีย ส่วนรัสเซียก็มี ‘แผ่นดินแม่’ หรือ ‘Motherland’

ทีนี้วันแม่เป็นความคิดที่แพร่หลายโดยอเมริกัน เริ่มในศตวรรษที่ 20 นี่เป็นวิธีคิดแบบยิวเพราะพระเจ้ามอบดินแดนนี้ให้อับราฮัม ที่เราเรียกว่าดินแดนพันธสัญญา เพราะอับราฮัมทำสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า และอับราฮัมก็คือบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นดินแดนที่ว่านี้จึงกลายเป็นดินแดนของผู้ชาย พระเจ้าเป็นผู้ชาย อับราฮัมก็เป็นผู้ชาย

ผมได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องแผ่นดินแม่แบบรัสเซีย แต่สำหรับยุโรปตะวันตกจะใช้คำว่า  ‘แผ่นดินพ่อ’ (Fatherland) คำนี้พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุคกลางตอนปลาย ซึ่งเป็นช่วงที่คริสตจักรเริ่มรวมศูนย์อำนาจ จนนำไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่การเกิดขึ้นของ ‘อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์’ (Eastern Orthodox) 

แผ่นดินพ่อ เป็นไอเดียที่ได้รับความนิยมก่อนแผ่นดินแม่ เฉกเช่นเดียวกับคำว่า motherland ในภาษาอังกฤษ เพิ่งเกิดราวศตวรรษที่ 18

เวลาเราพูดถึง ‘พ่อ’ มันสื่อถึงอำนาจ ดังนั้นแผ่นดินพ่ออาจฟังดูไม่อ่อนโยนเท่ากับแผ่นดินแม่ที่สื่อถึงความโอบอ้อมอารี แต่แผ่นดินพ่อมันบ่งบอกว่าอำนาจ ประเพณี กฎหมาย ทุกอย่างต้องผ่านผู้ชาย หรือสังคมที่สืบสายเลือดผ่านผู้ชาย (Patrilineality)

ในภาษาละติน เรามีคำว่า ‘pater’ ซึ่งมีรากเดียวกับสันสกฤตอย่างคำว่า ‘ปิตา’ ไปจนถึงคำว่า ‘peter’ ที่เราคุ้นเคย ซึ่งคำเหล่านี้ก็คือรากศัพท์ของคำว่า ‘patriot’ หรือ ‘patriotism’ นอกจากจะแฝงความเป็นผู้ชายแล้ว คำเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงอำนาจ พลัง ศักดิ์ศรี และเกียรติยศที่มาจากศักดิ์ศรีของชนชั้นนักรบทั้งสิ้น 

ทีนี้พอเป็น ‘แผ่นดินแม่’ มันบ่งบอกถึงความรัก ความโอบอ้อมอารีและการดูแล ซึ่งในยุโรป แนวคิดนี้เริ่มชัดขึ้นราวศตวรรษที่ 16 ส่วนคำว่า ‘แผ่นดินพ่อ’ หรือ ‘fatherland’ มักใช้กันในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลเจอร์แมนิก (Germanic Lamguage) โดยเฉพาะยุโรปเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโปรเตสแตนต์ ยกเว้นอย่างโปแลนด์ ที่ถึงแม้จะใช้โครงคิดแบบชาติ–แผ่นดินคล้ายกัน แต่กลับนับถือคาทอลิกเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมันเลยมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็ยังมี sense ของแนวคิดนั้นอยู่

 

พ่อปกครองลูก

ผมอยากให้คุณลองคิดดูว่า การเมืองและการปกครองมันเป็นเรื่องของ ‘คนในครอบครัวเดียวกัน’ ตั้งแต่เมื่อไหร่? คุณต้องไม่ลืมว่าอุดมการณ์ทางการเมืองมันผูกอยู่กับสังคม จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ‘ชั้นวรรณะ’ ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ย้อนกลับไปก็จะเห็นได้ว่า การแต่งงานข้ามชนชั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้ามวรรณะไม่ได้

แล้วคุณจะเป็น ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ได้อย่างไร?

คุณจะไปนับญาติกับท่านลอร์ดเขาได้อย่างไร?

ขนาดคุณแต่งงาน เขายังไม่รับคุณเลย แล้วคุณจะมาบอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร ผมหมายถึงในอดีตนะครับ

เพราะฉะนั้น มีแต่คนสมัยนี้เท่านั้นแหละที่คุณจะสามารถร้องเพลงว่าทุกคนมีสิทธิ์จะรักกันได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยในอดีต ในสังคมโบราณ คุณจะร้องเพลงแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากคุณหนีตามกันไป ซึ่งความฉิบหายก็บังเอิญจะตามชีวิตพวกคุณนั่นเอง

แล้วสมมติคุณมาจากต่างชนชั้น แล้วคุณบอกคุณจะรักกันได้ คำถามที่ตามมาคือ คุณคิดว่าโอกาสที่คุณจะไปเจอคนจากชนชั้นสูงนั้นมีแค่ไหน?

คุณคิดว่าคุณจะไปเจอ ลูกสาวโดนัลด์ ทรัมป์ เชื้อพระวงศ์ต่างแดน หรือมหาเศรษฐีที่นั่งเครื่องบินส่วนตัว

คุณจะไปเจอเขาเหล่านี้ที่ไหน เขาไม่มาเดินสยามกับคุณหรอก ถูกไหม?

สิ่งแรกที่คุณต้องคิดคือ “กูจะไปนิวยอร์กยังไง กูจะไปปารีสยังไง” มันยากมากที่จะไปเจอคนชนชั้นเหล่านี้ เพราะชีวิตคุณไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทำให้โอกาสที่คุณจะไปเจอนั้นยากมาก 

ผมได้กล่าวไปแล้วเรื่องแนวคิดที่ว่าทุกคนมีสิทธิ์จะรักกันได้ นี่คือสำนึกของ ‘คนสมัยใหม่’ แต่คนสมัยใหม่อาจจะไม่เข้าใจว่า เมื่อก่อนในสังคมยุโรปมีสิ่งที่เรียกว่า ‘Sumptuary Laws’ ซึ่งเป็นกฎหมายทีบังคับให้สามัญชนต้องแต่งตัวและใช้ของตามฐานันดรของตน ห้ามแต่งตัวทัดเทียมท่านลอร์ด คิง ควีน หรือเลียนแบบชนชั้นสูง

แค่แต่งตัวยังทำไม่ได้เลย แล้วคุณจะไปแต่งงานกับเขาได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คุณจะไป ‘นับญาติ’ กับชนชั้นสูง และในทางปฏิบัติ แม้กระทั่งทุกวันนี้นะ การแต่งงานระหว่างคนที่มาฐานะต่างกันยังเป็นเรื่องยากเลย ที่เราเรียกว่า ‘Hypogamy’ หรือ ‘Hypergamy’ คือการแต่งกับคนฐานะสูงกว่า หรือต่ำกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้จะตามมาด้วยประโยคว่า ‘ไม่เหมาะสมกัน’ ไม่ว่าจะจากข่าวซุบซิบดาราอะไรต่าง ๆ หรือแม้แต่การนินทากันเองในสังคม  จนปฏิเสธไม่ได้ว่าคนฐานะสูงกว่าจะแต่งกับคนต่ำกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย 

ถึงแม้สมมติคุณจะรักกันจริง ๆ แต่ถ้าวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน นี่ก็ฉิบหายแล้ว เพราะสุดท้ายคุณก็จะพูดว่า “เราเข้ากันไม่ได้”

สิ่งพวกนี้มันคือความกลัว ความหวาดวิตกของพวกเราทุกคน เรากลัวว่าเราจะไต่ชนชั้นไม่ขึ้นหรือกลัวว่าเราจะตกชนชั้นลงมา มันเป็นสิ่งที่หลอกหลอนเราทุกคน
มันไม่ใช่แค่ทุกคนมีสิทธิ์จะรักกันได้หรือไม่ แต่ถึงรักกัน จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ไหม

ถ้าคุณมีอำนาจมหาศาล รวยฉิบหายวายป่วง แล้วคุณจะไปคบดารา ก็อาจจะไม่เป็นปัญหา เหมือนกับตอนที่ เกรซ เคลลี (Grace Kelly) แต่งงานกับเจ้าชายเจ้าชายเรนิเยที่ 3 (Rainier III) แห่งโมนาโก แต่นั่นเผอิญเป็น เกรซ เคลลี ไง ถ้าคุณเป็นคนธรรมดา โนเนมไปเลยเนี่ย ก็คงจะยาก 

คุณอาจจะนับพระคาทอลิกได้นะว่า father แต่คุณต้องคิดให้ดี ๆ ว่าคุณจะให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาเป็นพ่อคุณเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ จะไปนับสายเลือดกันได้อย่างไร 

เมื่อยุโรปมันขยายอำนาจออกไปด้วยระบบอาณานิคมในศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มเกิดแนวคิดสำคัญหนึ่ง คือการจำแนก (classify) บุคคลเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น แล้วสิ่งนี้ได้ต่อยอดมาในศตวรรษที่ 19–20 ที่เรียกว่า ‘Scientific Racism’ หรือการจัดลำดับชั้นของผู้คนโดยเอาคนผิวขาวเป็นแกน

ดังที่เรารู้จักกันอย่าง มองโกลอยด์ (Mongoloid) คอเคซอยด์ (Caucasoid) หรืออะไรต่าง ๆ ซึ่งคุณตลกไหมว่าคนผิวขาวถูกจัดเป็น คอเคเซียน (Caucasian) คำถามคือเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) อยู่ที่ไหน? 

อยู่จอร์เจีย 

ในการจัดลำดับแบบนี้ คนดำก็จะถูกจัดให้ต่ำที่สุด คนสำคัญคนหนึ่งทที่จุดประกายแนวคิดแบบนี้คือ ‘โยฮันน์ บลูเมนบัค’ (Johann Blumenbach) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 โดยเขาบอกว่าพวกคอเคเชียนเนี่ยงดงามที่สุด หน้าตาดีที่สุด เมื่อเทียบกับมนุษย์จำพวกอื่น แล้วมันก็ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้น 19 เป็นต้นมา

จนเกิดมุมมองว่าคนดำไม่ศิวิไลซ์ ป่าเถื่อน รวมถึงคนฝั่งเอเชียด้วย ไอเดียพวกนี้มันมาพร้อมกับระบบอาณานิคม ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่สเปนเข้าไปในละตินอเมริกาแล้วบอกชนพื้นเมืองว่า “มึงไม่ได้รับคริสต์ศาสนา มึงป่าเถื่อน มึงเป็น pagan!” ชุดความคิดเหล่านี้มองว่าคนเหล่านี้ไม่ศิวิไลซ์ คนพื้นเมืองไม่พัฒนา 

จะเห็นได้ว่าคนพื้นเมืองในสายตาเจ้าอาณานิคมนั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘เด็กที่ยังไม่โต’ เพราะฉะนั้นพอคุณเป็นเด็กเนี่ย คุณก็ต้องการพ่อแม่ดูแล และเจ้าอาณานิคมก็จะมองว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้ต้องการคนที่เจริญกว่ามาปกครอง

‘เซซิล โรดส์’ (Cecil Rhodes) คือหนึ่งในคนสําคัญในการขยายอํานาจของระบบอาณานิคมอังกฤษ มีบทบาทมากในแอฟริกาใต้ ในอดีต เขาเคยเป็นเจ้าของดินแดนที่ชื่อว่า ‘โรดีเชีย’ (Rhodesia) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นซิมบับเว (Zimbabwe) ในภายหลัง โรดส์ ร่ำรวยจากการค้าเพชร ค้าทอง ค้าอะไรต่าง ๆ 

โรดส์มองคนพื้นเมืองว่าเป็นเด็ก เหมือนที่ฝรั่งเศส เบลเยียม โปรตุเกส หรือเจ้าอาณานิคมอื่น ๆ มองคนพื้นเมือง คนดํา คนท้องถิ่นในดินแดนอาณานิคมว่าเหมือนเด็ก เพราะฉะนั้นฉันเป็นคนขาว ฉันคือพ่อ ชนพื้นเมืองคือ ‘ลูก’ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังไม่พัฒนา ยังต้องมีคนดูแล ดังนั้น นี่จึงเป็นอุปลักษณ์สำคัญที่เขาใช้บอกว่า 

“ฉันหวังดีนะ ฉันเป็นพ่อ ฉันมาด้วยความปรารถนาดี ฉันจะดูแลพวกแกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีอารยะ”

การปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ คือรูปแบบการปกครองของจักรวรรดินิยม ที่คนผิวขาวใช้เพื่อปกครองคนในอาณานิคม มันไปพร้อมกับแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการปกครองแบบพ่อ–ลูกมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับสายสัมพันธ์จริง ๆ มันเป็นแค่อุดมการณ์ เป็นคําอธิบายที่เจ้าอาณานิคมคนผิวขาวใช้ให้ความชอบธรรมกับการปกครอง

แล้วพอการเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้น คุณเป็นคนผิวขาว สิ่งหนึ่งที่ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ในสายตาเจ้าอาณานิคมก็คือการเอาคนพื้นเมืองเป็นเมียและมีลูกกับเขา ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ระบบอาณานิคมจะชัดมากว่า เจ้าอาณานิคมสามารถมีเพศสัมพันธ์กับคนพื้นเมืองได้ แต่ถ้ามีลูกเมื่อไหร่ จะไม่มีการรับรอง เพราะถือว่าลูกพวกนี้ไม่ใช่ ‘เลือดบริสุทธิ์’ (pure blood) 

แน่นอน ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือที่ไหน? นาซี

แต่แนวคิดแบบนี้ไม่ได้อยู่แค่กับนาซี เพียงแต่นาซีสุดโต่งที่สุด ความเชื่อแบบนี้มันอยู่ในหมู่คนผิวขาว เจ้าอาณานิคมอื่น ๆ มาตลอด และแนวคิด ‘พ่อปกครองลูก’ ก็คือกลไกหนึ่งของระบบอาณานิคม เป็นเหตุผลที่คนผิวขาวยกขึ้นมาใช้เพื่อปกครองคนพื้นเมืองที่มองว่าด้อยพัฒนากว่าตนเอง