26 เม.ย. 2564 | 16:43 น.

“ไปเจอกีตาร์ของคนรู้จักคนหนึ่งที่แบบมันหัก คอหักอย่างนี้เลยนะ แล้วก็ขอเขา เขาคิดว่าสภาพนี้พี่คงไม่ได้เล่นหรอก เขาก็ให้มา เราก็มาต่อ มาสกรูมายึดตรงคอแล้วก็ต่อ แล้วก็ใส่สายจนมันเล่นได้ พ่นสีใหม่ เป็นกีตาร์ตัวแรกในชีวิต แล้วเสียงมันแบบแย่มาก แข็งมาก แบบเหมือนเอาไม้ตอกลวดแล้วดีด” เสียงกีตาร์อะคูสติกเพราะ ๆ ดังขึ้น รับด้วยเสียงร้องทุ้ม ๆ และนุ่มหู ของ ‘แว่นใหญ่’ โอฬาร ชูใจ นักร้อง มือกีตาร์ และนักแต่งเพลง อดีตสมาชิกวง Room39 ผู้กลายเป็นศิลปินเดี่ยวและหัวเรือใหญ่ของค่าย ‘HolyFox’ ค่ายน้องใหม่ในเครือ ‘LOVEiS’ แว่นใหญ่กำลังเล่นเพลงล่าสุดของเขา ‘อยู่คนเดียว’ เพลงเศร้าแนวให้กำลังใจคนเหงาให้เราฟังสด ๆ หลังจาก The People เพิ่งจะชวนคุยถึงเรื่องราวในวงการดนตรีของเขาไป ตั้งแต่วันที่มีกีตาร์ตัวแรกเป็นกีตาร์คอหักที่ขอคนรู้จักมา วันที่ทำวงดนตรีประกวดแบบ ‘แข่งที่ไหนก็แพ้’ วันที่กลายเป็นนักดนตรีอาชีพในต่างแดน วันที่กลับมาเป็นศิลปินที่ไทย วันที่กลายเป็นศิลปินเดี่ยวและผู้บริหารค่ายได้ถูกถ่ายทอดลงในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มชิ้นนี้ โดยที่แว่นใหญ่บอกกับเราว่า ตลอดระยะเวลาที่เขาเล่นดนตรีมาร่วมยี่สิบปี ไม่มีวันไหนที่ความรักในเสียงเพลงของเขาลดลง และไม่มีวันไหนที่ความสุขในดนตรีของเขาหายไป “ผมว่าตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เล่นดนตรีในวงดุริยางค์ วันที่เป็นวง Room39 วันนี้ที่เป็นแว่นใหญ่ หรือวันที่เล่นกับเพื่อนไปประกวด ความสุขผมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ เป็นศิลปินเดี่ยว แน่นอนมันก็คือเดี่ยว เหงานิดหนึ่ง แต่ว่าความสุขเท่าเดิม” The People: ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กหน่อย เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่ช่วงไหน แว่นใหญ่: ตั้งแต่จำความได้เลยนะผมว่า ชอบฟังเพลง แล้วก็มีพี่สาว 4 คน พี่สาวเขาโตกว่าเรา เขาก็จะฟังเพลงก่อนเรา คนโตก็จะฟังเพลงฝรั่ง ส่วนคนรองมาก็ฟังเพลงแบบเพลงเพื่อชีวิต คนที่สามฟังเพลงวัยรุ่นแบบเพลงร็อก เพลงเมทัล เราก็เริ่ม เขาอ่านหนังสืออะไรเราก็เริ่มไปหยิบของเขามาอ่าน เขาฟังเพลงอะไรก็เริ่มเอาของเขามาฟัง เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้น แล้วก็ชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก โดยที่ไม่ได้รับการผลักดันจากที่บ้านขนาดนั้น คือที่บ้านก็ปล่อยให้เราเป็นอย่างที่เราเป็น เป็นปกติเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไปที่ชอบดนตรี The People: จากที่ชอบฟังเพลงตามพี่ แว่นใหญ่เริ่มเล่นดนตรีด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ แว่นใหญ่: ตอนเริ่มเล่นดนตรีน่าจะ ป.5 มั้ง มีญาติคนหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเขามาอยู่ที่บ้าน เขามีกีตาร์มาด้วยหนึ่งตัว เขาก็เล่นกีตาร์ เราก็ถือโอกาสนั้นเล่นกีตาร์เขาแล้วก็ให้เขาสอน เล่นกีตาร์เขาอยู่สองสามปี แล้ววันหนึ่งพี่เขาก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เราก็ไม่มีกีตาร์เล่น ตอนนั้นก็เลยไปขอกีตาร์ คือไม่มีกีตาร์แล้วก็ไม่ได้มีตังค์ซื้อ ก็เลยไปขอ ดูเหมือนรันทด แต่ไม่ได้รันทดขนาดนั้นนะ คือไปเจอกีตาร์ของคนรู้จักคนหนึ่งที่มันหัก คอหักอย่างนี้เลยนะ แล้วก็ขอเขา เขาคิดว่าสภาพนี้พี่คงไม่ได้เล่นหรอก ก็ให้มา เราก็มาต่อ มาสกรูมายึดตรงคอแล้วก็ต่อ แล้วก็ใส่สายจนมันเล่นได้ พ่นสีใหม่ เป็นกีตาร์ตัวแรกในชีวิต ตรงหัวกีตาร์เป็นภาษาพม่า เป็นกีตาร์เมดอินพม่าแน่นอน แล้วเสียงมันแบบแย่มาก แข็งมาก แบบเหมือนเอาไม้ตอกลวดแล้วดีด มันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าก็เป็นกีตาร์ของผมเองตัวแรกที่หัดเล่น เรียกว่าไม่มีกีตาร์ก็ไปหาแบบนั้นมาเล่น แล้วก็รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการแรงผลักดันหรือว่าการสนับสนุนอะไรขนาดนั้น มันขวนขวายหาหนทางของมันเองมากกว่า The People: จากกีตาร์หัก ๆ ตัวแรก หลังจากนั้นคุณสนใจดนตรีมาโดยตลอดเลยไหม แว่นใหญ่: ผมว่าเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไปนะ เราสนใจหลาย ๆ สิ่ง แล้วเราก็ได้ทำนู่นทำนี่ในสิ่งที่เราสนใจ แต่ว่าเรื่องของดนตรีเป็นอะไรที่ไม่เคยหยุดหายไป มันเป็นเสียงที่ไม่เคยเงียบ สมมติว่ามันมีเสียงนู้นโผล่มา เราก็วิ่งไปดูอันโน้น แต่ว่าเสียงของดนตรีมันยังไม่เคยเบาลง สมัยก่อนพอมีอะไรที่เกี่ยวกับดนตรีมาสักอย่างหนึ่ง เราจะรู้สึกว่ามันมีแรงกระตุ้นให้เราออกไปหามัน ไม่ว่าจะเป็นประกวดดนตรีกับเพื่อน อ๋อ! จริง ๆ ขอโทษนะ ถ้าเล่นดนตรี คำว่าเล่นดนตรีจริง ๆ เนี่ย น่าจะตอน ป.4 ที่โรงเรียนบอกว่ามีวงดุริยางค์ตอนเช้าที่มันเล่นเพลงชาติ แล้วเราก็รู้สึกว่าเขารับสมัครคน แล้วเขาอยากได้มือแซกโซโฟน แล้วเราก็อะไรก็ได้ ตีกลองก็ได้ อะไรก็ได้ แต่เขาบอกว่าเขาต้องการมือแซกโซโฟน เราก็กลายเป็นไปหัดแซกโซโฟน จำได้ว่าวันแรกที่ไปทำ ด้วยความที่หัดเล่นแล้วก็อยู่กับเพื่อนด้วย ก็ดึงกันไปดึงกันมา ปากของแซกโซโฟนมันเป็นไม้ใช่ไหม มันหล่น พอมันหล่นแล้วมันก็แตก เพื่อนก็บอกว่ามึงซวยแน่ แพงแน่อะไรอย่างนี้ ซวยแน่ เราจำได้ว่าวันนั้นเราก็ไม่ได้ไปอีก หายไปสองสามวัน เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องโดนทำโทษหรืออะไร จนครูก็ฝากบอกเพื่อนว่ามาเล่นเถอะ ไม่เป็นไร ซ่อมแล้ว ก็กลับไป จริง ๆ น่าจะเป็นจุดนั้นมากกว่าที่เริ่มชิ้นแรกจริง ๆ เป็นแซกโซโฟน The People: คือเริ่มก่อนกีตาร์ แว่นใหญ่: ก่อนกีตาร์ด้วยครับ กีตาร์เพิ่งมาเริ่มหลังจากนั้น ป.5 ป.6 อะไรอย่างนี้ แล้วก็ในบ้านเอง คุณพ่อเป็นคนชอบดนตรี จริง ๆ ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง คุณแม่ก็เป็นนักร้อง สมัยก่อนอัดแผ่นเสียง แต่เราก็ไม่รู้ แล้วในบ้านก็จะมีอุปกรณ์เครื่องดนตรีบ้าง มีคีย์บอร์ด คุณพ่อก็จะเล่น แต่เราไม่ได้เริ่มจากตรงนั้นที่คุณพ่อหัดให้เลย ไม่มีนะ คือไปเริ่มจริง ๆ ในโรงเรียน ไปเริ่มด้วยตัวเองมากกว่า The People: ที่บ้านมีคีย์บอร์ด มีคุณพ่อคุณแม่สนใจดนตรี แต่เราไม่มีกีตาร์? แว่นใหญ่: ใช่ แต่จริง ๆ แล้วมองว่าคุณพ่อเล่น แล้วก็มีไว้ แต่ไม่ได้เล่นจริงจัง ไม่ได้เป็นอาชีพ แล้วก็นาน ๆ ประกวดทีหนึ่ง เราก็เห็นมันเป็นเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนึ่ง ไม่ได้เป็นเครื่องดนตรีที่พ่อเล่นให้ดูว่า โอ้โห! เล่นอย่างนี้นะ ไม่ใช่ ก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้รับการปลูกฝังตรงนั้นเลยต้องเอามาจากข้างนอกครับ