ภัยพิบัติทางธรรมชาติกับ ‘การเยียวยา’ ที่ต้องไม่ถูกลืม

ภัยพิบัติทางธรรมชาติกับ ‘การเยียวยา’ ที่ต้องไม่ถูกลืม

ภัยพิบัติไม่ใช่แค่เรื่องของการรับมือกับการสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ยังรวมไปถึงการเยียวยาภายหลังจากความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว The Hidden Dilemma ชวนตั้งคำถามถึงเรื่องนี้จากพายุถึงอุทกภัย

ไม่ใช่ครั้งที่ประเทศไทยเผชิญหน้ากับภัยพิบัติโดยเฉพาะกับอุทกภัยที่วนเวียนกลับไปมาเกิดขึ้นอีกครั้งในหลายพื้นที่ทุก ๆ ปี ทว่ามหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณภาคกลางไปจนถึงหลายจังหวัดที่ภาคใต้ในปีนี้ก็นับว่าเป็นสาธารณภัยที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนเป็นบริเวณกว้าง กระทบความเป็นอยู่ ชีวิต ความมั่นคง และอนาคตของผู้คนเกือบถึงล้านครัวเรือนแล้ว

 

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่าจากวิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้นบริเวณภาคใต้ได้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินผ่านมิติ ‘การหยุดชะงักลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ’ เพียงเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วยภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องหยุดทำการภายในกรอบเวลาหนึ่งเดือน โดยตัวเลขที่ว่าก็นับเป็น 0.13 เปอร์เซ็นต์ของขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP)

 

ยังไม่รวมความเสียหายในมิติของความเสียหายจากสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงภาคเอกชนและภาครัฐที่ยากจะประเมินได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขเหล่านี้จะขยับตัวขึ้นสูงกว่าเดิม ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อศักยภาพของพื้นที่ในอนาคตที่ต้องอาศัยเวลาและต้นทุนในการฟื้นฟูเยียวยาให้กลับมาที่จุดเดิม

 

ในช่วงเวลา ณ ขณะนี้การช่วยเหลือชีวิตผู้คน ป้องกันไม่ให้ความเสียหายเลวร้ายไปกว่าเดิม และการหาทางออกให้กับวิกฤตในปัจจุบันจึงเป็นความเร่งด่วนที่ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไปไม่ได้มีเพียงการสูญเสียเชิงเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่รวมไปถึง ‘ชีวิต’ ของผู้คนที่ถูกแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน

 

แต่คำถามที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าหนทางในการแก้ไขปัญหาในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลมากที่สุด คือคำถามที่ว่า ภายหลังจากวิกฤตสงบลงแล้ว รัฐจะจัดการอย่างไรกับผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น?

 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์ฉุกเฉิน ผลกระทบที่เลวร้ายต่อเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คน การถูกกดดันจากสายตาของประชาชน หรือแม้แต่การแข่งขันการสร้างชื่อเสียงและภาพจำล้วนเป็นแรงผลักดันให้รัฐเร่งแก้ปัญหาเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทว่าหลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว วันที่ระดับน้ำลดลงถึงจุดที่ปลอดภัย วันที่สายตาของประชาชนไม่ได้กดดันภาครัฐเท่าทุกวันนี้ หรือในวันที่สปอตไลต์ไม่ได้สาดไปที่พื้นที่ประสบปัญหาอีกต่อไป 

 

การแก้ไขปัญหาจะยังคงมีคุณภาพและประสิทธิภาพอยู่หรือไม่? 

 

เมื่อเกิดสาธารณภัยไม่ว่าจะภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ก็ล้วนเป็นความเสียหายหรือความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือเป็น ‘ภาวะช็อก’ (Economic Shocks) ซึ่งภาวะดังกล่าวก็มีทั้งในรูปแบบที่เป็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบ แต่แน่นอนว่าเมื่อกล่าวถึงภัยพิบัติก็ย่อมเป็นอย่างหลัง

 

ภาวะช็อกที่ว่านี้จะเกิดขึ้นในส่วนที่แตกต่างกันออกไปในองค์ประกอบทางเศรษฐกิจของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน (Physical Capital) ทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) การผลิตและรายได้ (Production and Income) หรือแม้แต่โครงสร้างของสังคมและสถาบันรัฐ (Social and Institutions) ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องที่เสียหาย การเสียชีวิตของประชากร รายได้ที่ขาดหาย ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำที่อาจทวีคูณขึ้น

 

การรับมือที่เพรียบพร้อมย่อมนำไปสู่การลดทอนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้ แต่ประเด็นที่สำคัญนอกจากความรุนแรงของภาวะช็อกแล้ว คือการแก้ไขปัญหาที่ช็อกเหล่านั้นสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ หรือกล่าวให้ง่ายกว่านั้น นอกเสียจากการป้องกันไม่ให้เกิดแล้ว จะมีวิธีการเยียวยา ช่วยเหลือ และฟื้นฟูอย่างไรให้สภาพเศรษฐกิจที่เสียหายหวนคืนสู่สภาวะเดิม

 

ประเด็นดังกล่าวจะเป็นตัวตัดสินว่าภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียง ‘ชั่วคราว’ (Temporary) หรือ ‘ถาวร’ (Permanent) ผ่านการเปรียบเทียบระหว่างสภาพความเสียหายท้ายสุดภายภายหลังการเยียวยาฟื้นฟู (Actual Trajectory) เทียบกับสภาพความเป็นไปหากไม่มีภัยพิบัติ (Counterfactual Baseline Trajectory) หมายความว่ายิ่งสามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้มากเพียงใด ก็ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นก็ยิ่งใกล้เคียงความเป็นชั่วคราวมากเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ส่วนที่ไม่สามารถฟื้นคืนกลับได้เช่นเดิมก็จะสะท้อนความเป็นช็อกถาวรไปโดยปริยาย

 

เหตุการณ์เฮอร์ริเคนแคทรีนา (Hurricane Katrina) ในสหรัฐอเมริกาจากปี 2005 น่าจะเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ แม้รัฐจะทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูเมืองนิวออร์ลีนส์ (New Orleans) แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่สามารถนำพื้นที่กลับสู่สภาวะก่อนเกิดพิบัติได้อีกเลย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างประชากร ความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคและบ้านเรือนจำนวนมากนั้นทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนผิวดำและครัวเรือนรายได้น้อย ไม่สามารถกลับไปตั้งถิ่นฐานเดิมได้ เพราะเงินช่วยเหลือของรัฐออกแบบให้ผูกกับมูลค่าบ้าน ซึ่งในเขตคนจนมีราคาต่ำกว่ามาก ส่งผลให้เงินชดเชยไม่พอสำหรับการสร้างบ้านใหม่ ทำให้หลายพื้นที่กลายเป็น ‘ย่านร้าง’ อย่างถาวร ขณะเดียวกัน โรงเรียนชุมชน สถานพยาบาล และโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นก็ไม่ฟื้นสู่ระดับเดิม นำไปสู่การย้ายถิ่นฐานถาวรของแรงงานจำนวนมากและการหดตัวของประชากรในระยะยาว 

 

ภัยพิบัติทางธรรมชาติกับ ‘การเยียวยา’ ที่ต้องไม่ถูกลืม

เหตุการณ์น้ำท่วมในนิวออร์ลีนส์
เหตุการณ์เฮอร์ริเคนแคทรีนา

(Photo: Commander Mark Moran ; Public Domain)

 

ตัวอย่างหนึ่งคือการที่ ‘สไปค์ ลี’ (Spike Lee) ได้กำกับสารคดีจำนวนสี่ตอนเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในชื่อ ‘When the Levees Broke: A Requiem in Four Acts’ (2006) ในวาระครบรอบหนึ่งปีจากเหตุการณ์เฮอร์ริเคนแคทรีนา ทว่าในปี 2025 สไปค์ ลี ก็กลับมาอีกครั้งในฐานะนายทุนและหนึ่งในผู้กำกับสารคดีสามตอนเกี่ยวกับผลพวงจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่มีต่อชีวิตของผู้คนในชื่อ ‘Katrina: Come Hell and High Water’ (2025) ที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกเลยของผู้คนในนิวออร์ลีนส์ในวาระครบรอบ 20 ปี 

 

 

เรื่องราวดังกล่าวจึงจุดชนวนการตั้งคำถามถึงแนวทางการเยียวยาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบว่าไฉนกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วสองทศวรรษ ชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวยังคงเจ็บช้ำกับบาดแผลเดิมอยู่ร่ำไป บ้างก็ตั้งคำถามว่าเกี่ยวกับเรื่องของสีผิว หรือบ้างก็อาจมองไปถึงเรื่องของความไร้ประสิทธิภาพและไม่ใส่ใจของภาครัฐ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วก็ชี้ให้เห็นว่าภัยพิบัติไม่ใช่แค่เรื่องของการรับมือกับความพิโรธเพียงเท่านั้น แต่รวมไปถึงก่อร่างสร้างเมืองและชีวิตจากซากปรักหักพังด้วย

 

ถึงกระนั้นก็ยากปฏิเสธว่าในบางกรณี ภัยพิบัติเหล่านี้ก็อาจทำลายบางกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือทรัพยากรที่เปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้เสียหายหรือหายไปอย่างสมบูรณ์จนไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนได้ ในกรณีเช่นนั้นก็คือความเสียหายถาวรที่เกิดขึ้น อาทิเช่นพืชพรรณหรือสิ่งมีชีวิตที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สิ่งของหรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจทดแทนได้ ไปจนถึงกลุ่มคนที่มีความชำนาญเฉพาะที่อาจได้รับผลกระทบจนไม่อาจประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเดิมได้อีก

 

ในบางคราว เรื่องดีก็อาจแฝงมาพร้อมกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้น เพราะภัยพิบัติที่ทำหน้าที่เป็นแรงสั่นสะเทือนเชิงลบของเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันอาจเป็น ‘ตัวกระตุ้น’ ให้เกิดการพัฒนาก็เป็นได้ เพราะในระหว่างการบูรณะเมืองขึ้นมาใหม่ (Reconstruction) จากความเสียหายนั้น อาจนำไปสู่ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจของภาคส่วนใหม่ ๆ การบูรณะโครงสร้างพื้นฐานใหม่จนมีผลิตภาพสูงกว่าที่เคย หรือแม้แต่พัฒนา ‘ภูมิคุ้มกัน’ ในการรับมือกับปัญหาครั้งต่อ ๆ ไป

 

คิวบาน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี 

 

ภายหลังจากที่เผชิญหน้าเฮอร์ริเคนฟลอรา (Hurricane Flora) ในปี 1963 ที่สร้างความเสียหายรุนแรง คร่าชีวิตประชาชนในคิวบากว่าพันคน และทำลายบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดหักเหที่ผลักให้รัฐคิวบาพัฒนาระบบป้องกันและรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การสร้างโครงข่ายการเตือนภัยล่วงหน้า การวางแผนอพยพประชาชนครั้งใหญ่ การเตรียมศูนย์พักพิง ไปจนถึงการฝึกซ้อมรับมือกับพายุเป็นกิจกรรมประจำปี

 

ภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นจากบาดแผลในครั้งนั้นทำคิวบาสามารถรับมือกับพายุเฮอร์ริเคนครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าประเทศโดยรอบที่เผชิญหน้ากับพายุลูกเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ ถึงขั้นว่าองค์การสหประชาชาติและหลายสถาบันนานาชาติยกให้คิวบาเป็นต้นแบบของการจัดการความเสี่ยงจากพายุเฮอร์ริเคนในประเทศกำลังพัฒนา 

 

ถึงกระนั้นก็ยากที่จะตั้งข้อสรุปว่าสองสิ่งนี้สัมพันธ์กันโดยสมบูรณ์ เพราะบ้างก็มองว่าการพัฒนาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องก้าวผ่านวิกฤตเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันบ้างก็บอกว่าถ้าไม่เกิดวิกฤต ก็อาจไม่เกิดความตระหนักที่จะป้องกันตัวหรือเตรียมตัวรับมือ

 

สิ่งสำคัญที่ทำให้การเยียวยาเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากเมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตคือการป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องตกลงไปอยู่ใน ‘กับดักความยากจน’ (Poverty Trap) ที่เปรียบเสมือนเป็นภาวะช็อกถาวรระดับจุลภาคที่จะนำไปสู่ปัญหาระยะยาวในอนาคต

 

สาเหตุเป็นเพราะความเสียหายจากภัยพิบัติอาจทำลายปัจจัยการผลิต เงินเก็บ หรือแม้แต่ความสามารถในการหารายได้ของผู้คนจนทำให้พวกเขายากที่จะกลับมาที่จุดเดิมได้ บ้างอาจสูญเสียเงินเก็บหรือทรัพย์สินที่ตัวเองเก็บสะสมมาทั้งชีวิต บ้างอาจสูญเสียเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพ หรือแม้แต่สูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปกับวิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งมีโอกาสสูงที่อาจทำให้พวกเขาพลัดตกไปอยู่ในวังวนของกับดักความยากจน โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายก็อาจเป็นปัจจัยที่นำไปสู่กับดักความยากจนได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะโรงเรียน โรงงาน หรือโรงพยาบาลที่เสียหาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากผลกระทบระดับจุลภาคแล้ว เมื่อถอยมามองในภาพใหญ่ ก็อาจก่อตัวเป็นกับดักความยากจนระดับมหภาคได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถถูกอธิบายได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘Amplification Effect’ หรือวงจรที่จะทำให้กับดักความยากจนระดับมหภาคบีบรัดพื้นที่ให้หลุดพ้นยากไปกว่าเดิม เริ่มต้นจากการสมรรถนะการบูรณะหรือเยียวยาที่ต่ำ (Limited reconstruction capacity) ที่จะนำไปสู่ระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นฟูตัวเอง (Long reconstruction period after disasters) ทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจต่อภัยพิบัติสูง (Large economic cost of natural disasters) ซึ่งจะยิ่งลดทอนความสามารถในการสะสมหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานและทุนในการผลิต (Reduced accumulation of capital infrastructure) ส่งผลให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจถูกลดทอนลงไป โดยท้ายที่สุดจะไปบรรจบกับจุดแรกที่ความสามารถในการเยียวยาตนเองต่ำ และทำให้พื้นที่ดังกล่าวติดอยู่กับกับดักความยากจนทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค

 

จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้นสะท้อนให้เห็นว่าครั้นเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแค่การรับมือกับภัยธรรมชาติ แต่ยังรวมไปถึงผลพวงและบาดแผลที่เกิดขึ้นอีกด้วย เพื่อให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบาดแผลชั่วคราวและฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม ทว่าหากปราศจากการฟื้นฟูเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อชีวิตของผู้คนและประเทศอย่างถาวร ชีวิตผู้คนมากมายที่ตรากตรำสร้างตัวจำต้องเริ่มใหม่ การงานที่มั่นคงไหลหายไปกับสายน้ำ เมืองที่เคยสดใสอาจหลงเหลือเพียงแผลเป็นที่ไม่เคยดีขึ้น

 

ในวันที่ประชาชนเกือบล้านครัวเรือนเผชิญหน้ากับวิกฤตที่เร่งด่วน ผู้คนมากมายแห่แหนเดินทางไปช่วยเหลือ รัฐที่ถูกกดดันและตั้งคำถามก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเองในการคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชน ทว่าในวันที่น้ำลด แสงสปอตไลต์ฉายไปที่อื่น หรือระดับน้ำไม่ได้จ่อคอหอยของผู้คน การเยียวยาที่จะเกิดขึ้นจะยังคงประสิทธิภาพเดิมอยู่หรือไม่?

 

หรือความทรงจำของพวกเขาจะถูกหลงลืมไปตามวันเวลาที่ผันแปรไปทุกวัน

 

วิกฤตครั้งนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับรัฐและประชาชน หรือจะทิ้งบาดแผลที่ไม่มีวันแห้งเอาไว้

 

คงจะต้องติดตามกันต่อไป…

 

อ้างอิง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (2568). น้ำท่วมสงขลาและหลายจังหวัดภาคใต้ คาดกระทบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท. CURRENT ISSUE Vol.31 No.3624, 25 พฤศจิกายน 2568.

Hallegatte, S., & Przyluski, V. (2010). The Economics of Natural Disasters. CESifo Forum 2/2010, pp. 14–24.