19 พ.ย. 2568 | 19:00 น.

ตำแหน่งแห่งที่ของแต่ละสังคมล้วนเป็นปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญยิ่งในการกำหนดว่าสังคมนั้น ๆ จะสามารถก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาไปในทิศทางไหน ไม่ว่าจะจากวิถีชีวิตเพื่อการอยู่รอด หรือแม้แต่ทรัพยากรที่สามารถหยิบยกมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมนั้น ๆ กลุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดทะเลย่อมสันทัดกับการหยัดยืนบนพื้นราบที่โคลงเคลง มนุษย์ที่อาศัยในดินแดนที่มีม้าย่อมพาพวกเขาทะยานไปไกลกว่าการอยู่บนภูเขาสูงชัน และสังคมที่ทรัพยากรล้นเหลือก็คงจะมีแนวโน้มที่จะ ‘อยู่สบาย’ หรือ ‘เติบโต’ ได้มากกว่าแดนดินที่ขาดแคลน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละที่ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการก้าวไปข้างหน้าของแต่ละสังคม ทว่าหากมองในระยะยาวนั้น อีกปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลยอาจเป็นเรื่องของ ‘วิธีการ’ ที่แต่ละสังคมใช้จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป หรือกล่าวอีกทำนองหนึ่ง นอกจากสถานที่หรือทรัพยากรแล้ว พฤติกรรมของผู้คนแต่ละสังคมก็ล้วนสัมพันธ์กับความก้าวหน้าและเติบโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างที่ทราบกัน ว่าแกนสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์คือความพยายามในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งโดยพื้นฐานก็ล้วนสัมพันธ์อยู่กับความต้องการ (อุปสงค์) และสิ่งที่มีอยู่ (อุปทาน) ทว่าในโลกแห่งความจริงนั้น มีปัจจัยอีกมากมายที่เข้ามามีผลกระทบต่อการจัดสรรที่ว่า และวิธีการในการจัดสรรทรัพยากรก็ถือเป็นตัวการสำคัญที่จะช่วยบอกว่าประเทศไหนจะ ‘เจริญ’ หรือตรงกันข้าม
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ‘The Great Transformation’ โดย ‘คาร์ล โปลันยี’ (Karl Polanyi) ไปจนถึง ‘Why Nations Fail’ ของ ‘ดารอน อเซโมกลู’ (Daron Acemoglu) และ ‘เจมส์ เอ. โรบินสัน’ (James A. Robinson) ที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในช่วงหนึ่งก็ล้วนกล่าวถึง ‘วิธีการ’ ที่แต่ละสังคมจัดสรรทรัพยากรทั้งสิ้น ซึ่งวิธีการที่ว่านั้นก็ล้วนสัมพันธ์กับข้อกำหนดและกฎหมายไปจนถึงขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศหรือยุคสมัย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เศรษฐศาสตร์สถาบัน’ (Institutional Economics)
“สถาบัน (institutions) คือกรอบ (constraints) ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อกำกับโครงสร้างของปฏิสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยจะประกอบไปด้วยทั้ง ‘กรอบแบบไม่เป็นทางการ’ (informal constraints) เช่น บทลงโทษตามสังคม ข้อห้าม ประเพณี วัฒนธรรม และบรรทัดฐานทางพฤติกรรม และ ‘กฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการ’ (formal constraints) เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และสิทธิในทรัพย์สิน ตลอดประวัติศาสตร์ สถาบันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อสร้างกฎระเบียบและลดความไม่แน่นอนในการแลกเปลี่ยน”
— Douglass C. North, Institutions (1991)
เนื้อความดังกล่าวมาจากงานเขียน ‘Institutions’ (1991) โดยนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันนามว่า ‘ดักลาส นอร์ธ’ (Douglas North) ที่เสนอแนวคิดสำคัญต่อสายธารความคิดของเศรษฐศาสตร์สถาบัน สำหรับนอร์ธ ‘สถาบัน’ คือชุดกติกาที่สังคมใช้กำกับพฤติกรรมของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่เขียนไว้ชัดเจน หรือขนบธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่ธรรมเนียมไปจนถึงผีสาง กติกาเหล่านี้ทำให้ชีวิตของผู้คนในสังคมมีความแน่นอนมากขึ้นกว่าสังคมที่ผู้คนประพฤติตามผลประโยชน์ส่วนตนอย่างสมบูรณ์
เมื่อสถาบันมีความชัดเจน น่าเชื่อถือ เป็นประโยชน์ต่อมวลรวม หรือขับเคลื่อนให้ผู้คนในสังคมพัฒนาและเกื้อกูลกันมากขึ้น ก็จะขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่จัดสรรทรัพยากรและผลิดอกออกผลไปในบริเวณกว้าง ในขณะเดียวกัน หากขยับไปที่อีกสังคมที่มีทรัพยากรเท่ากัน แต่มีสถาบันที่ไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐเผด็จการที่เอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม หรือกฎเกณฑ์ในสังคมที่อ่อนแอจนไม่สามารถควบคุมผู้คนในสังคมได้ ก็อาจนำพาไปให้สังคมนั้น ๆ หลงวนอยู่ในความโกลาหลอย่างยาวนานได้ เพราะผู้คนอาจหันไปทำสิ่งที่เอาตัวรอดระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว นอร์ธมองว่าสถาบันคือพื้นฐานที่กำหนดว่าเศรษฐกิจและสังคมหนึ่ง ๆ จะ ‘เดินหน้า’ หรือ ‘ติดหล่ม’ อยู่กับที่ อีกทั้งยังช่วยอธิบายได้ว่าทำไมบางกลุ่มสังคมที่มีพื้นที่ตั้งเหมือนกัน หรือแม้แต่ทรัพยากรเท่าเทียมกัน ถึงได้เติบโตไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความน่าสนใจของเศรษฐศาสตร์สถาบันคือการหยิบยกเอาบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ กฎหมาย การปกครอง และอีกมากมายมาผนวกรวมกับวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าในการจัดสรรทรัพยากรของแต่ละสังคมนั้น ล้วนมีปัจจัยอีกมากมายเข้ามาข้องเกี่ยวและส่งผลให้บางประเทศวิ่งรุดหน้าไปไกลในบางช่วงเวลา หรือบางประเทศที่หันหน้าไปทางใดก็เจอกับปัญหาเดิม ๆ ที่เผชิญหน้ามาหลายทศวรรษ
ด้วยเหตุนั้น ก็คงเป็นไปได้ที่เราสามารถจะมองเศรษฐศาสตร์สถาบันได้ผ่านเลนส์ที่หลากหลายตั้งแต่งานเขียนทางวิชาการ หนังสือการเมืองและเศรษฐกิจ นวนิยาย บทเพลง ไปจนถึงภาพยนตร์ ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นสะท้อน ‘สถาบัน’ ของแต่ละสังคม หรือแม้แต่ทำหน้าที่เป็นภาพแทนของรูปแบบสถาบันต่าง ๆ ในสังคม
The Hidden Dilemma จึงอยากจะชวนผู้อ่านมองเศรษฐศาสตร์สถาบันผ่านภาพยนตร์สัญชาติบราซิลจากปี 2002 เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่สลัมในเมืองริโอเดจาเนโรนามว่า ‘City of God’ (Cidade de Deus) หรือในชื่อไทย ‘เมืองคนเลวเหยียบฟ้า’ ที่ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าสถาบันของสังคมส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้คนมากเพียงไหน
ซึ่งอาจเป็นภาพสะท้อนที่พอจะทำให้เราเข้าใจได้บ้างว่า ในบางคราวที่สังคมติดหล่มอยู่กับปัญหาเดิม ๆ อาจเป็นเพราะสถาบันและกฎเกณฑ์ที่ครอบอยู่สร้างสภาวะที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านั้น หรือแม้แต่กักขังไม่ให้ปัญหาที่ว่าเลือนหายไป
“ในเมืองเทวดา ถ้าคุณหนี สัตว์ร้ายจะไล่ตะคุบคุณ
แต่ถ้าคุณอยู่เฉย ๆ มันก็จะกินคุณอยู่ดี”
ดักลาส นอร์ธ มองว่า ‘สถาบัน’ คือ ‘กฎกติกา’ (rules of the game) ที่กำกับพฤติกรรมและกำหนดแรงจูงใจของมนุษย์ในสังคม ดังที่อธิบายไปก่อนหน้าว่ามีทั้งในรูปแบบของกฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่นอกจากจะสร้างความแน่นอนและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข (หรือเปล่า?) ของมนุษย์แล้ว ก็ยังทำหน้าที่กำหนดว่า อะไรคือสิ่งที่สมควรทำในสังคมนั้น ๆ หรืออะไรที่ทำแล้ว ‘คุ้มค่า’ ที่สุด เช่นหากว่าคุณอยู่ในห้องสอบแล้วกฎกติกาบอกให้ลอกกันได้ (formal constraint) หรือแม้กฎกติกาบอกให้ลอกกันได้ แต่ผู้คุมสอบไม่สนใจอะไร (informal constraint) ก็จะเป็นการสร้างกฎกติกาที่บอกว่าการลอกกันนั้นคุ้มค่ากว่าการบรรจงเขียนคำตอบอย่างสุจริต ท้ายที่สุดคนที่ลอกกันก็จะได้คะแนนที่ดี หรือแม้แต่มากกว่าคนที่ทำข้อสอบด้วยตัวเอง นี่คือตัวอย่างของสถาบันและกฎกติกาในสังคม
ใน City of God หากจะกล่าวว่าพื้นที่สลัมในริโอเดจาเนโรเป็นแหล่งกระจุกตัวของอาชญากรก็อาจไม่ผิดเสียทีเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นพื้นที่ที่การบังคับใช้กฎหมายหละหลวม แต่ในขณะเดียวกันสภาวะความเป็นอยู่ก็สะท้อนให้เห็นว่าสภาพสังคมก็เป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมผู้คนเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งเราไม่ได้กำลังพูดถึงความดีหรือเลว แต่กำลังหมายถึงคนที่เห็นว่าการเป็น ‘อาชญากร’ คุ้มค่าหรือเป็นไปได้มากกว่าการทำอาชีพสุจริต หรือแม้แต่ ‘อาชญากร’ ในฐานะเป้าหมายในอุดมคติที่ถูกส่งทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
จะมีใครสักกี่คนที่สามารถตระกายออกมาวงเวียนของอาชญากรรมเช่น ‘ร็อคเก็ต’ (Rocket) ตัวละครเอกของเรื่องผู้มีพี่เป็นอาชญากรและสามารถดันตัวเองออกมาจากวิถีชีวิตของเยาวชนในบ้านเกิดที่ไม่เป็นอาชญากร ค้ายา ก็อายุสั้น ดังที่มีคำกล่าวจากกลุ่มเยาวชนหัวขโมยที่ถูกเรียกว่าตัวเองเป็นเด็กว่า “เด็กเหรอ? ฉันสูบ ฉันเสพ ฉันฆ่า ฉันปล้นมาแล้วนะ ฉันเป็นผู้ชายต่างหาก” สะท้อนว่าภาพของ ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ และ ‘การเติบโต’ หาใช่การศึกษาหรือการงานที่สุจริตมั่นคง หากแต่เป็นคุณลักษณะของอาชญากรที่กลายเป็น ‘ไอดอล’ ของเยาวชนที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
‘เซ’ (Zé) วายร้ายตัวฉกาจของเรื่องยิ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โดยเริ่มจากการเป็นเด็กตัวจิ๋วที่ติดสอยห้อยตามแก๊งโจรผู้ใหญ่ (Tender Trio) ที่หนึ่งในนั้นเป็นพี่ชายของร็อคเก็ต จนได้หล่อหลอมสำนึกในการมองโลกในแบบที่มองว่าการปล้นคือความสำเร็จ และกระบอกปืนคืออำนาจ เป้าหมายของเซจึงถูกหล่อหลอมโดยวิถีชีวิตและแรงจูงใจที่บอกว่าการเป็นอาชญากรคือทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งก็จะส่งผลไปถึงตัวตนของเขาในอนาคตที่มองว่า ‘ความรุนแรง’ คือหนทางเดียวที่จะจัดการกับทุกสิ่ง
เซเติบโตมาในโลกที่ความยุติธรรม
และอำนาจขึ้นอยู่กับว่าใครถือกระบอกปืน
สำหรับคนธรรมดาที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ หากไม่เข้าแก๊งค์ใดแก๊งค์หนึ่งการดำรงอยู่ของเขาคนนั้นก็จะเปราะบางและเสี่ยงต่อการถูกรีดไถและคุกคาม ในขณะเดียวกันถ้าสามารถพาตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของฝักฝ่าย เขาเหล่านั้นก็อาจได้ประโยชน์หรือความปลอดภัยไปโดยปริยาย
นอกเสียจากกฎกติกาที่ทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจให้ผู้คนในสังคมประพฤติตนไปในทิศทางต่าง ๆ แล้ว มันยังเป็นสิ่งที่สร้างความแน่นอนในชีวิตหรือแม้แต่ความยุติธรรมของผู้คนในสังคมอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่หายไปในนครเทวดานี้คือบทบาทหน้าที่ของภาครัฐ โดยเฉพาะกับตำรวจที่จะเข้ามาจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายอาชญากร รวมไปถึงการกดขี่รีดไถเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเซ เมื่อปราศจากสถาบันที่พิทักษ์ความยุติธรรม ก็แทบไม่มีการกระทำใด ๆ เลยที่เป็นเรื่องคุ้มค่าในที่แห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นว่า หากใครสักคนรวย โด่งดัง หรือมีอำนาจทัดเทียมกับเซ ก็ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใด ๆ มาคุ้มครองเขาเหล่านั้น (เว้นแต่จะไปโค้งคำนับเป็นลูกสมุนของเซ)
ดังที่นอร์ธได้อธิบายว่า “ตลาดทุนจำเป็นต้องมีความมั่นคงของสิทธิในทรัพย์สินในระยะยาว และสิ่งนี้จะไม่สามารถเติบโตหรือก้าวหน้าได้ หากผู้ปกครองสามารถยึดทรัพย์สิน หรือทำให้มูลค่าทรัพย์สินเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วได้ตามอำเภอใจ” (North, 1991) สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อมีสถาบันที่อ่อนแอและขาดความแน่นอน ผู้คนจะสนใจเพียงว่าพวกเขาจะเอาชีวิตรอดวันต่อวันอย่างไร มากกว่าการวางแผนที่จะเติบโตในอนาคต สิ่งนี้จะทุบทำลายความเป็นไปได้ในการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต
ทว่านอกจากปัญหาการไม่มีสถาบันที่แข็งแรงและยุติธรรมแล้ว ปัญหาที่เลวร้ายกว่าคือการที่พรรคพวกของเซเข้ามาทำหน้าที่เป็นสถาบันและสร้างกฎกติกาด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้คนหมู่มาก แต่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
จากมุมมองของอเซโมกลูและโรบินสัน สถาบันสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทระหว่าง ‘สถาบันที่ครอบคลุม’ (inclusive institutions) และ ‘สถาบันที่ขูดรีด’ (extractive institutions) อย่างแรกคือกติกาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เปิดโอกาสให้ผู้คนส่วนใหญ่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการสร้างความมั่งคั่งของสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะผ่านการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน การเปิดให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือการมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่ป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจตามอำเภอใจ สังคมที่พึ่งพาสถาบันประเภทนี้จึงมักมีการลงทุน นวัตกรรม และการเติบโตระยะยาว เพราะผู้คนมั่นใจว่าความพยายามของตนจะไม่ถูกยึดไปง่าย ๆ
ในทางตรงกันข้าม สถาบันที่ขูดรีด คือกติกาที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ ผู้ครอบครองอำนาจ ขณะที่กีดกันโอกาสของคนส่วนใหญ่ สถาบันลักษณะนี้มักกระจุกอำนาจทางการเมือง ปิดกั้นการแข่งขัน และปล่อยให้ผู้มีอำนาจยึดทรัพย์สินหรือรีดผลประโยชน์ได้ตามใจชอบ เศรษฐกิจภายใต้สถาบันเช่นนี้อาจเติบโตระยะสั้นจากการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มข้น แต่ไม่สามารถสร้างความเจริญที่ยั่งยืนได้ เพราะผู้คนไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนหรือพัฒนาตนเองในระบบที่พร้อมปล้นผลตอบแทนของพวกเขาได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่าสถาบันแบบเซคืออย่างหลัง
“เรานิยมเรียกสถาบันประเภทนี้ ซึ่งมีคุณสมบัติสวนทางกับสิ่งที่เราเรียกว่า ‘สถาบันที่ครอบคลุม’ ว่า ‘สถาบันที่ขูดรีด’ เพราะสถาบันเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อดึงรายได้และความมั่งคั่งจากคนกลุ่มหนึ่ง ไปเอื้อประโยชน์ให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ”
— Daron Acemoglu และ James A. Robinson, Why Nations Fail (2012)
จะเห็นได้ว่าอำนาจของเซวางอยู่บนรากฐานของความรุนแรงและดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม จากจุดนี้จึงสัมพันธ์กับสิ่งที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าที่จะทำให้แรงจูงใจของผู้คนเหือดหายเพราะการลงทุนลงแรงของพวกเขาจะไม่ได้รับการปกป้อง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการคิดหรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ เพราะมันย่อมไม่นำพาประโยชน์สุขมาให้แก่พวกเขาอย่างแน่นอนในเมื่อกฎกติกาดำเนินไปเพื่อขูดรีดประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่มเท่านั้น นี่คือคุณลักษณะแรกของสถาบันแบบขูดรีด
แต่นอกจากนั้น ภายในเรื่องจะสามารถเห็นได้ว่าสิ่งที่เซทำคือพยายามกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจอาชญากรรมของเขาออกไปหมด เพื่อที่จะฝ่ายของเขาจะสามารถตักตวงอำนาจเป็นที่หนึ่งให้ได้ จนกระทั่งเหลือเพียงพ่อค้าอีกคนเดียวอย่าง ‘แคร์รอต’ (Carrot) ที่ยังอยู่ได้เพราะบังเอิญเป็นเพื่อนกับ ‘เบ็นนี’ (Benny) สหายคนสำคัญของเซ ที่ในท้ายที่สุดก็ปะทุเกิดเป็นสงครามจนทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปรบราฆ่าฟันมากกว่าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เกมการแข่งขันกลายเป็นวังวนที่หาเพียงผู้ชนะและผู้แพ้ในสมรภูมิความรุนแรง และแน่นอนว่าสภาพการแข่งขันแบบนี้คงยากที่จะนำมาซึ่งนวัตกรรมใหม่ ๆ นอกเสียจากนวัตกรรมทางอาวุธ
ในบางมุม สถานการณ์การคานอำนาจไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งของเซหรือแคร์รอตอาจไม่ต่างจากรัฐที่คำนึงถึงสถานภาพและการดำรงอยู่ของตนเองเป็นสำคัญ โดยละเลยผลประโยชน์ของประชากรและประเทศในภาพรวม และเมื่อเป้าหมายของสังคมถูกออกแบบเพื่อสอดรับกับผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเกิดการพัฒนา หรือแม้แต่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายใต้กติกาเหล่านี้
การเถลิงอำนาจของเซอาจจะดูเหมือนเป็นแกนกลางปัญหาและความหฤหรรษ์นานัปการที่เกิดขึ้นในนครเทวดา แต่การขจัดเขาออกไปจากพื้นที่แห่งนี้จะทำให้ความเลวร้ายเหล่านี้ปลาสนาการหายไปจริงหรือ?
ในท้ายเรื่องจะเห็นได้ว่าจุดจบของเซนั้นมาจากเวรกรรมที่เขาได้ก่อขึ้นกับอันธพาลเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่ตัวของเขาเคยสั่งสอนในอดีต ทว่าเมื่อเซจากไปแล้ว ก็ดูเหมือนว่านครเทวดา ก็ยังเป็นนครเทวดาแบบเดิมที่ผู้ชมได้เห็นกันตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่อกระบอกปืนที่ถูกถือนั้นผลัดมือไปหาคนกลุ่มใหม่แทน
ในงานเขียนของนอร์ธ เขาได้หยิบยกเอาแนวคิดของ ไบรอัน อาร์เธอร์ (Brian Arthur; 1988, 1989) และ พอล เดวิด (Paul David; 1985) ที่ว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมาใช้ในการอธิบายเหตุผลว่าภายใต้สถาบันบางแบบอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่ายผ่านแนวคิดที่เรียกว่า ‘สภาวะเส้นทางบังคับ’ (path dependence) ที่ช่วยอธิบายถึงอิทธิพลของตัวเลือกหรือเหตุการณ์ในอดีตที่สัมพันธ์กับหนทางข้างหน้าในอนาคต
สภาวะเส้นทางบังคับช่วยอธิบายว่าทำไมบางสังคมถึงหลงวนอยู่กับตัวเลือกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีประโยชน์ หรือไม่สมเหตุสมผลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อแรงจูงใจไม่เปลี่ยน พฤติกรรมก็ไม่เปลี่ยน และแม้ผู้คนจะรู้ว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุด แต่การก้าวออกจากร่องเดิมกลับมีต้นทุนสูงกว่า จนสังคมทั้งสังคมถูกกักขังเอาไว้บนเส้นทางเดิมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว หรือในบางคราว เรี่ยวแรงในพยายามเปลี่ยนก็ไม่อาจต้านทานพลกำลังของสถาบันเดิมที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมจนยากจะสลัดออก
อาจมีคนอย่างร็อคเก็ตโผล่ออกมาบ้างเป็นครั้งคราวที่โชคดีหลุดออกจากวังวนอันเลวร้าย แต่หากเทียบสัดส่วนแล้ว ร็อคเก็ตก็คือ ‘ค่าผิดปกติ’ (Outlier) ทางสถิติอยู่ดี
จากการนองเลือดนับครั้งไม่ถ้วน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากการถูกกดขี่มาเป็นเวลายาวนาน ท้ายที่สุดแล้วท่วงทำนองของนครเทวดาก็ยังดำเนินไปเช่นเดิม กระบอกปืนยังเป็นเพียงของใครบางคน ความรุนแรงยังคงเป็นลูกสมุนของผู้มีอำนาจ และอำนาจยังเป็นของผู้ที่คว้ามันมาได้เพื่อตัวของพวกเขาเอง แม้เซจะจากไป แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
สิ่งที่เกิดขึ้นใน City of God อาจช่วยฉายภาพบางมุมเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์สถาบันและสิ่งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ สังคมที่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง การแย่งชิงอำนาจ ปัญหาในกฎหมาย อาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำ รัฐประหาร หรืออีกมากมาย
หรือบางที พลวัตที่ย่ำเหยียบอยู่ที่เดิมอาจเป็นสัจธรรมของนครเทวดา.
อ้างอิง
Douglass C. North. “Institutions.” Journal of Economic Perspectives, Vol. 5, No. 1 (Winter 1991): 97–112.
Acemoglu, D., & Robinson, J. A. (2012). Why nations fail: The origins of power, prosperity, and poverty.
Acemoglu, D., & Robinson, J. A. (2010). The role of institutions in growth and development.