Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

ว่าด้วยแนวคิด บริโภคเพื่อสำแดงสถานะ (Conspicuous Consumption) ธอร์สไตน์ เวเบลน (Thorstein Veblen) เพื่อตอบคำถามว่าไฉนทั้งของแพงและของใหม่ถึงน่าพิสมัยนัก?

 

เราซื้อของชิ้นหนึ่งไปเพื่ออะไร?

 

หากมองตามหลักการโดยพื้นฐานนั้น การจับจ่ายใช้สอยให้ใครสักคนก็ย่อมเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาภายใต้งบประมาณที่มีอยู่จำกัด ตั้งแต่ข้าวปลาอาหารไปถึงที่ทางในการอาศัยอยู่ นอกจากความจำเป็นในการดำรงอยู่แล้ว ‘ความสุข’ ในการครอบครองบางสิ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก ของสะสม หรือบรรดาสิ่งของที่มีความหมายทางจิตใจที่ยากจะประเมินคุณค่าผ่านคุณประโยชน์ใช้สอย

แต่ในหลายครั้ง การตัดสินใจของผู้คนในการซื้อของสักอย่างหนึ่งนั้นไม่ได้จบที่เพียงคุณค่าจากการใช้งานหรือความพึงพอใจอย่างเดียว แต่รวมไปถึงคุณค่าที่สังคมมอบให้กับสิ่งของนั้น ๆ ด้วย หรือเมื่อมีสิ่งนั้นในที่ครอบครองแล้ว จะตอบสนองค่านิยมหรือการเป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าราคาแพงหรือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกมาทุกปี 

หมายความว่าการตัดสินใจซื้อของสักอย่างหนึ่งอาจไม่ได้ขึ้นตรงกับความต้องการของปัจเจกอย่างเป็นเสรี แต่ยังสัมพันธ์กับการประเมินค่าของสังคม หรือแม้แต่การสำแดงสถานะของตนเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นส่วนหนึ่งกับค่านิยมที่ถูกยอมรับ หรือแม้แต่การแสดงจุดยืนทางฐานะของตนเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นทุนทางสังคมก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นอรรถประโยชน์ของเขาเหล่านั้นได้ แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือมันมีความยั่งยืน แน่นอน เป็นประโยชน์ หรือแข็งแกร่งในตัวเองมากน้อยเพียงใด เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่ ไทเลอร์ เดอร์เดน (Tyler Durden) จาก Fight Club ฉบับภาพยนตร์กล่าวว่า “เราซื้อของที่เราไม่ต้องการ ด้วยเงินที่เราก็ไม่ได้มี เพื่อเอาอกเอาใจคนที่เราก็ไม่ได้ชอบ” หรือแม้แต่อีกคำกล่าวที่ว่า “สิ่งของที่เราเป็นเจ้าของกลับกลายมาเป็นเจ้าของเราเสียอย่างนั้น

ปัญหาสำคัญของความพยายามครอบครองสิ่งของจากค่านิยมของสังคมหรือเพื่อสำแดงสถานะอาจไม่ใช่ที่ตัวของมันเอง แต่อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณค่าถูกผูกโยงกับปัจจัยภายนอกเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว โดยละทิ้งคุณค่าภายในจากตัวเองทั้งหมด กล่าวให้ชัดเจนไปกว่านั้น หากคุณค่าในการครอบครองถูกขับเคลื่อนด้วยแรงขับจากภายนอกที่พลวัตเวียนเปลี่ยนไม่เว้นวัน อาจผลักให้ใครสักคนหลงลืม ‘ความต้องการ ที่แท้จริง’ ของตัวเองไป

ถ้าจะกล่าวโทษสังคมสมัยใหม่กับการมาถึงของระบบทุนนิยมที่ก่อร่างสร้างวัฒนธรรมบริโภคนิยม (Consumerism) ก็อาจเป็นการด่วนสรุปที่คับแคบเสียเกินไป แน่นอนว่าปัจจัยที่กล่าวมาล้วนเป็นส่วนประกอบไม่มากก็น้อยของความเป็นไปในปัจจุบัน ทว่าวัฒนธรรมเหล่านี้นั้นเกิดขึ้นคู่เคียงกับมนุษย์มาตั้งแต่โบรำ่โบราณแล้ว 

ใน The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้จึงอยากจะชวนผู้อ่านหวนคิดถึงแนวคิดการบริโภคเพื่อสำแดงสถานะ (Conspicuous Consumption) จาก ธอร์สไตน์ เวเบลน (Thorstein Veblen) ไปจนถึงสิ่งที่อาจแทรกซอนมาพร้อมกับคุณค่าเหล่านั้น เพื่อดำดิ่งลึกลงไปเข้าใจความต้องการของเราว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรแน่

 

เพื่อจะได้รับและคงไว้ซึ่งความนับถือจากผู้คน การมีเพียงความมั่งคั่งหรืออำนาจนั้นยังไม่เพียงพอ ความมั่งคั่งหรืออำนาจนั้นต้องถูก ‘แสดงให้เห็น’ ด้วย เพราะความนับถือจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานที่มองเห็นได้เท่านั้น และการแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งนั้น ไม่เพียงแต่จะสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นเห็นถึงความสำคัญของตนเท่านั้นแต่ยังมีคุณค่าในฐานะหลักฐานยืนยันต่อตัวเองว่าตนคือผู้มีอำนาจและคุณค่าอย่างแท้จริงด้วย
— The Theory of the Leisure Class (1899, p. 36)
โดย ธอร์สไตน์ เวเบลน

 

The Theory of the Leisure Class’ (1899) คืองานเขียนสำคัญเล่มหนึ่งที่วางรากฐานให้กับเศรษฐศาสตร์สถาบัน โดย ธอร์สไตน์ เวเบลน ที่พยายามอธิบายว่าพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์โดยเฉพาะของชนชั้นสูง (Leisure Class) ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลทางประสิทธิภาพหรือความจำเป็นเหมือนในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั่วไป แต่ขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจทางสังคมและวัฒนธรรม โดยได้นำเสนอแนวคิดอย่าง Conspicuous Consumption, การหลีกเลี่ยงงานที่มีประโยชน์ (a propensity to avoid useful work) ไปจนถึง แนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม (Conservatism) ที่พยายามอธิบายว่าทำไมชนชั้นสูงถึงแข็งขืนต่อการเปลี่ยนแปลง

 

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก? Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

The Theory of the Leisure Class (1899)

 

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

ธอร์สไตน์ เวเบลน

 

ผ่านแนวคิดสองคำที่ยาวเหยียด Conspicuous Consumption เวเบลนพยายามอธิบายแรงจูงใจในการครอบครองสรรพสิ่งของชนชั้นนำหรือคนที่มีทรัพยากรล้นเหลือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางกายภาพ ความอภิรมย์จากความสุนทรีย์ หรือคุณประโยชน์จากความประเทืองปัญญา แต่เป็นเพียงการบริโภคเพื่อป่าวประกาศ ‘ความมั่งคั่ง’ ที่สะท้อนถึงอำนาจ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความสำเร็จ โดยการบรรลุการสำแดงที่ว่านี้ได้ องค์ประกอบสำคัญคือ ‘ความสิ้นเปลือง’ (Wasteful) หรือการทำงานที่มีประโยชน์ (avoid useful work)

ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด การบรรลุเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ล้วนหนีไม่พ้นการผลิตในแบบที่คุ้มค่าที่สุด หมายความว่าด้วยเรี่ยวแรงและสิ่งที่มีมนุษย์จะทำอย่างไรได้บ้างที่จะทั้งผลิตและช่วงใช้ผลผลิตให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ด้วยกรอบเกณฑ์แบบนั้น การสำแดงความเหลือเฟือของทรัพยากรที่ครอบครองคือการป่าวประกาศว่าตนมีความมั่งคั่งมากพอที่จะแบ่งสรรที่มีอยู่ไปใช้งานอย่างสิ้นเปลืองโดยปราศจากปัญหา ด้วยเหตุนี้ ความสิ้นเปลืองจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแสดงสถานะที่ว่านี้

ย้อนกลับไปในยุคสาธารณรัฐโรมัน วิธีหนึ่งที่ผู้ชายในชนชั้นสูงจะสามารถป่าวประกาศความมั่งคั่งหรือสถานะทาสังคมของตนเองคือการสวมใส่ ‘โทกา’ (Toga) ผืนผ้ายาวราว 6 เมตร ห่มพันคลุมรอบตัวอย่างซับซ้อน ไม่เพียงแค่ตัวเนื้อผ้าทำมาจากขนแกะที่มีความหนักและลุ่มล่ามในการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่การจะสวมใส่โทกา บุคคลเหล่านั้นต้องสละมือข้างหนึ่งประคองผ้าเหล่านั้นเอาไว้ตลอดเวลา 

 

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

รูปปั้น Caius Marius แสดงให้เห็นถึงชุดโทกา
(Photo : Mary Harrsch ; Public Domain)

 

แน่นอนว่าชุดโทกาเป็นการแต่งกายที่สำแดงสถานะตามขนบธรรมเนียมของโรมัน อีกทั้งยังมีการจำแนกประเภทหรือสีตามลำดับชั้น แต่หากมองลึกลงไปในองค์ประกอบของโทกาแล้ว ในตัวมันเองได้สะท้อนถึงความสิ้นเปลืองได้อย่างแจ่มแจ้ง 

การสวมเสื้อผ้าที่ลุ่มล่าม ไม่สันทัดต่อการขยับเขยื้อนเนื้อตัว ไม่เพียงแต่เป็นต้นทุนที่ตามมาพร้อมกับการเลือกใส่เสื้อผ้าตามค่านิยมที่สังคมจัดวาง แต่มันเป็นการป่าวประกาศในตัวว่าผู้สวมใส่นั้นมีทรัพยากรมากเหลือพอจนไม่ต้องคิดพะวงถึงเรื่องการทำงาน และมีความสามารถมากพอจะจ้างคนงานมาทำงานอื่น ๆ แทนเขาทั้งหมด จนสามารถใส่เสื้อผ้าที่ลุ่มล่ามเดินไปมาได้ทั้งวัน มืออีกข้างก็มีเวลาว่างมากพอที่จะทำหน้าที่ประคองเสื้อเพียงอย่างเดียว บางคราวถึงขั้นต้องมีทาสมาคอยจัดโทกาให้เสียด้วยซ้ำ 

จะเห็นได้ว่าแม้ไม่ได้สะดวกสบายหรือใส่แล้วส่งเสริมให้มีผลิตภาพมากขึ้น แต่การแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงสถานะทางชนชั้นและความมั่งคั่งก็เป็นสิ่งที่อยู่ในสำนึกของผู้คนในสังคมมาแต่ช้านานแล้ว ทั้งความลำบาก ความไม่สะดวกสบาย และความสิ้นเปลืองจึงกลายเป็นการบริโภคแบบสำแดงฐานะไปโดยปริยาย 

จะเห็นได้ว่าการได้มาซึ่งสถานะทางสังคม ความลำบากในการสวมใส่และเสียโอกาสจะทำอะไรที่มีประโยชน์อาจไม่ใช่เรื่องที่มีปัญหาเลย แต่ในบางคราว แนวคิดเหล่านี้ก็อาจเลวร้ายกว่านั้น ที่ได้ขยับจาก ‘ความสิ้นเปลือง’ ไปจนถึง ‘การทำลาย’ บางสิ่งเลยเสียด้วยซ้ำ การเผาของมีค่าหรือเทมื้ออาหารมื้อใหญ่ทิ้ง เราอาจจะพอนึกภาพกันออก แต่การทำลายในที่นี้ รวมถึงการทำลาย ‘ตัวเอง’ ด้วย

ย้อนกลับไปในอาณาจักรจีนในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty ; 960-1279) ธรรมเนียมปฏิบัติในยุคสมัยนั้นของสตรีคือการมีเท้าที่สวยงามดั่งดอกบัวทอง และการจะมีเท้ารูปร่างเช่นนั้นได้ บรรดาสตรีทั้งหลายจำต้อง ‘รัดเท้า’ (foot binding) ให้นิ้วเท้าของพวกเธอโค้งงอเข้าหากลางฝ่าเท้า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงทำให้เท้าของสตรีคนนั้น ๆ ผิดรูปไปอย่างมากซึ่งสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น การมีเท้าที่งดงามดั่งดอกบัวกลับทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวดังใจนึกอีกต่อไป การใช้ชีวิตของเธอจึงต้องพึ่งพากับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวอย่างปฏิเสธไม่ได้

 

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

เท้ารูปดอกบัวจากการรัดเท้า

 

วัฒนธรรมการรัดเท้าที่ว่านี้เดิมที่เป็นขนบธรรมเนียมของชนชั้นสูงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าพวกเธอไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก และมีเท้าเล็กที่งดงามแบบนี้ได้ จะวิธีการสำแดงสถานะที่กัดกินมาถึงสภาพร่างกาย ภาพจำที่มีต่อเท้ารูปดองบัวก็เริ่มขยับตัวเองเข้าสู่การเป็นมาตรฐานความงาม จนกลายเป็นค่านิยมของสตรีชนชั้นล่างร่วมด้วย ก่อนที่ท้ายที่สุดจะเป็นธรรมเนียมที่แผ่ขยายไปกว้างไกลในอาณาจักรจีนยุคดังกล่าวจนทำให้ผู้หญิงมากมายต้องรัดเท้าตัวเองเพื่อให้ดูสวยงาม ก่อนที่ถูกห้ามอย่างเป็นทางการในช่วงของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง

ตัวอย่างทั้งสองที่ยกมานี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่องการบริโภคเพื่อสำแดงสถานะของ ธอร์สไตน์ เวเบลน ทั้งในแง่ของความสิ้นเปลืองหรือแม้แต่การทำลายตัวเอง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นไม่ต้องการทรัพยากรหรือต้องลงแรงใด ๆ เพื่อดำรงอยู่ แต่ที่ชัดเจนไปกว่านั้น

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนชัดที่มุมมองที่เวเบลนเห็นแย้งกับแนวคิดของเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (Neoclassical Economics) โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ลัทธิสุขนิยม’ (Hedonism) ที่มีมุมมองว่าทุกคนประพฤติอย่างมีเหตุมีผลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองแบบปัจเจกหรือที่เราอาจคุ้นเคยผ่านคำว่า ‘Homo-Economicus’ เพราะแท้จริงแล้ว ‘ความต้องการ’ ของผู้คนไม่ได้กำเนิดขึ้นจากแรงขับส่วนตัวอย่างเดียว แต่ยังหล่อหลอมจากค่านิยมของสังคมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าบางสิ่งอาจดีต่อตัวของเขาหรือไม่ก็ได้…

ในทางจิตวิญญาณ มนุษย์แบบเฮโดนิสต์มิใช่ผู้ขับเคลื่อนสิ่งใดด้วยตนเอง เขาไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของกระบวนการมีชีวิต เว้นแต่ในความหมายที่ว่า เขาเป็นเพียงผู้ถูกผลักดันให้เปลี่ยนแปลงไปมา ตามสถานการณ์ภายนอกซึ่งอยู่เหนือการควบคุมและแปลกแยกจากตัวเขาเอง
— บางส่วนจากบทความ Why is Economics Not an Evolutionary Science? (1898) โดย ธอร์สไตน์ เวเบลน


แม้ในปัจจุบันนี้ อาจไม่ได้มีคนที่ใส่โทกาหรือรัดเท้าอีกแล้ว แต่การบริโภคเพื่อสำแดงสถานะก็ยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไป ไม่ว่าจะเป็นาฬิกาข้อมือ รถยนต์ยี่ห้อหรู หรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ซึ่งหากจะพูดตามตรง ก็อาจไม่มีองค์ประกอบของความสิ้นเปลืองหรือทำลายล้างมากเท่าอดีต เพราะสินค้าบางประเภทที่กล่าวมาอาจมีคุณภาพที่คงทนมากขึ้นจริง แต่ที่สำคัญของสินค้าเหล่านี้คือการเปลี่ยนทรัพยากรที่เหลือล้น (surplus) ไป ‘เติมเต็ม’ สถานะที่มีอยู่ ซึ่งไม่ได้มลายหายไปเหมือนผ้าทอกาหรือหรือการรัดเท้า

ไม่กี่ปีให้หลังมานี้ สมาร์ทโฟนหลายแบรนด์ก็ต่างพากันเข็นเอานวัตกรรมล้ำสมัยออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้กัน บางยี่ห้ออาจจะถึงขั้นว่าเข็นกันออกมาปีต่อปีจนบางคราวก็ลืมไปว่ารุ่นที่แล้วกับรุ่นล่าสุดมีความแตกต่างกันอย่างไร ทว่าเมื่อถึงคราวที่วางขายเป็นครั้งแรก แถวคิวหน้าร้านก็ยาวเหยียด มีผู้คนมากมายแห่แหนรอซื้อราวกับว่าในวันแรกมีโปรโมชั่นลดราคา 

ที่สำคัญไปกว่านั้น เมื่อได้ครอบครองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมาสด ๆ ร้อน ๆ สิ่งที่ผู้คนในสังคมอาจรู้สึกไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การได้ครอบครองของใหม่หรือเทคโนโลยีที่ก้าวไปไกล (น้อยหรือมากก็ว่ากันอีกที) จากรุ่นเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญคือความรู้สึกที่ได้ครอบครองสิ่ง ๆ นั้น

ถึงขั้นว่ามีข่าวออกมาว่ามีบางคนเอาสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าไปประกอบเคสใหม่เพื่อให้มีสีสันที่มีเฉพาะสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เพียงเท่านั้น แถมเคสก็ยังมีกล้อง (หลอก) เพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อให้มีจำนวนกล้องเทียบเท่ากับรุ่นใหม่ แม้ว่ากล้องนั้นจะใช้ไม่ได้ก็ตาม จุดนี้จึงชวนคิดต่อว่าระหว่างคุณประโยชน์หรือฟังก์ชั่นที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม กับ คุณค่าที่ได้ครอบครองของใหม่ สิ่งไหนมีผลต่อความอยากได้อยากครอบครองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เหล่านั้นมากกว่ากัน?

หากว่าเป็นอย่างหลังก็สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่า ‘สัญลักษณ์ (symbol)’ ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในค่านิยมของสังคม หมายความว่าคุณค่าของสรรพสิ่งนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยปริมาณที่มีอยู่ ต้นทุนการผลิตและแรงที่ถูกใส่ลงไป หรือคุณประโยชน์ที่สิ่งเหล่านั้นสามารถมอบกลับคืนให้เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

สิ่งนี้อาจช่วยตอบได้ว่าทำไม ‘ของใหม่’ หรือ ‘ของที่อยู่ในกระแส’ จึงสามารถเป็นที่นิยมได้หรือแม้แต่มีราคาที่แพงสูงลิ่วได้ ทั้ง ๆ ที่บางคราวก็มีสิ่งของที่ราคาถูกกว่าแต่ให้คุณประโยชน์ใกล้เคียงกัน สิ่งนี้รวมไปถึง ‘ความแพง’ ในของสิ่งนั้นด้วย ที่ว่าเมื่อมันราคาแพงเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าพิสมัยมากขึ้นเท่านั้น อาทิเช่นสเต๊กโรยเกร็ดทองคำหรือฟันฝังเพชรพลอย

ในปี 1950 นักเศรษฐศาสตร์นาม ฮาร์วีย์ ไลเบนสไตน์ (Harvey Leibenstein) ได้นำแนวคิดของเวเบลนไปสานต่อ โดยการนิยามสินค้าประเภทที่อรรถประโยชน์ที่ได้รับมาจากการได้สำแดงสถานะมากกว่าคุณค่าหรือประโยชน์ที่แท้จริงที่สิ่งนั้นมอบให้ว่าเป็น ‘สินค้าเวเบลน’ (Veblen’s Goods)

โดยปกตินั้น ความต้องการในสินค้านั้น ๆ จะดำเนินไปตามกลไกของอุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply) กล่าวคือเมื่อราคาสูง ผู้คนก็จะแนวโน้มที่จะต้องการมากขึ้น ซึ่งจัดอยู่ใน ‘สินค้าธรรมดา’ (Normal Goods) แต่ในกรณีก็มีสินค้าบางประเภทที่ยิ่งแพงเท่าไหร่ยิ่งยั่วยวนให้ซื้อเท่านั้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้คือสินค้าเวบเลน

 

Veblen & Conspicuous Consumption : ทั้งของแพงและของใหม่ ไฉนถึงน่าพิสมัยนัก?

กราฟนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและความต้องการในสินค้าเวเบลน จะเห็นได้ว่าเมื่อราคาขยับขึ้นเส้นอุปสงค์จะขยับขึ้นจาก D1 ไป D2 และ D3 ตามลำดับ การขยับไปของเส้นอุปสงค์สะท้อนออกมาเป็นเส้นสีแดง Dv ที่ชี้ให้เห็นว่ายิ่งราคาขยับขึ้น ผู้คนก็ต้องการในปริมาณที่มากขึ้นตามลำดับ

 

ภายในกราฟไลเบนสไตน์สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของสินค้าเวเบลนว่าสัมพันธ์กับราคาในแบบที่แตกต่างกับสินค้าทั่วไป จะเห็นได้ว่าเมื่อยิ่งราคาขยับขึ้น ความต้องการก็จะขยับขึ้นตามกันไป ในขณะเดียวเมื่อราคาลดลง ความต้องการก็กลับลดลงไปพร้อม ๆ กันด้วย

เฉกเช่นเดียวกับกรณีของการรัดเท้าในอดีต ในยุคที่โลกสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ ค่านิยมของสังคมถูกผสานเข้ากันอย่างทั่วถึงสำหรับคนทุกฐานะ ทว่าในขณะเดียวกัน คุณค่าและความต้องการหลาย ๆ อย่างก็ก่อร่างมาจากความปรารถนาของสังคมในการจะครอบครองสิ่งต่าง ๆ จนกลายเป็นความเชื่อบางอย่างที่ชักนำให้ผู้คนต้องการจะครอบครองสิ่งเหล่านั้นเพื่อถูกยอมรับโดยสังคม มากกว่าความต้องการที่แท้จริงของตนเอง

แต่การซื้อของหรูหราราคาแพงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลลยแม้แต่น้อย เพราะหากการกระทำเหล่านั้นไม่ได้ไปกระทบการเป็นอยู่ของใคร อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สมควรย้อนถามกับตัวเองเสมออาจเป็นเรื่องของความต้องการมากกว่า ว่าตัวของเราเองต้องการสิ่งนี้อย่างจริงแท้หรือไม่ หรือเพียงเป็นค่านิยมของสังคมที่ขับเคลื่อนและก่อร่างความต้องการเหล่านี้มาให้เรา

เพราะการลื่นไหลไปตามกระแสของสังคมที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่เว้นวันอาจผลักให้เราตกไปอยู่ในกับดักของการวิ่งไล่คว้าสิ่งใหม่หรือสิ่งที่สังคมยอมรับอย่างไม่หยุดพัก และถึงแม้ว่าคว้ามันมาครองได้แล้ว มันจะตอบโจทย์กับสิ่งที่หัวใจต้องการอย่างแท้จริงหรือเปล่า หรือความพึงพอใจเหล่านั้นจะยั่งยืนเพียงไหนหากวันพรุ่งนี้ผู้คนไม่นิยมชมชอบกับสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่อีกต่อไปแล้ว? ยังไม่รวมถึงการต้องเจียดรายได้สัดส่วนใหญ่เพื่อซื้อสิ่งที่สังคมบอกว่าต้องมี จนต้องลำบากทุกทนระหว่างเดือนก็อาจไม่ต่างจากการรัดเท้าเพื่อความสวยงามตามที่สังคมบอก

เฉกเช่นเดียวกับผู้บรรยาย (The Narrator) ที่ตกแต่งอพาร์ทเมนต์ของเขาด้วยเฟอร์นิเจอร์จาก IKEA ตามที่สังคมนิยามบอกว่าจะเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์แบบ ทว่าภายหลังจากมีมันครบทุกอย่างแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวกลับกลายเป็นความว่างเปล่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว การวิ่งไล่คว้าสรรพสิ่งตามสิ่งที่สังคมชี้บอกอาจเป็นการเลือกไขว่คว้าความสุขชั่วคราวที่ไม่ได้สัมพันธ์กับแรงปรารถนาภายในจิตใจ 

นอกจากคุณค่าที่สังคมมอบให้แล้ว มิติของสรรพสิ่งที่ตัวของเราเองเป็นผู้นิยาม ไม่ว่าจะผ่านคุณค่าในประโยชน์ใช้สอย สุนทรียภาพที่นิยมชมชอบ หรือแม้แต่อะไรบางอย่างที่ดับกระหายในการสงสัยใคร่รู้ ที่แม้จะมีราคาไม่แพง เอ่ยชื่อไปก็ไม่ได้มีใครร้องอ๋อ หรือไม่ได้อยู่ในลิสต์ ‘ของต้องมี

แต่ถ้ามันตอบโจทย์ความต้องการภายในใจอย่างแท้จริง…

สิ่งนั้นอาจมีคุณค่าไม่แพ้สิ่งของราคาสูงลิ่วในห้างหรูราคาแพงก็ได้

 

อ้างอิง

Brue, Stanley L., and Grant, Randy R., “The Evolution of Economic Thought, 7th Edition” (2007).

Veblen, T. (1919). The place of science in modern civilisation. In The place of science in modern civilisation and other essays (pp. 73–74).

Veblen, T. (1899). The theory of the leisure class: An economic study of institutions.