การปฏิวัติสำนึกในตัวตนผ่าน ‘กระจกเงา’ เมื่อมนุษย์เห็นหน้าตัวเองชัดกว่าที่เคยเป็น

การปฏิวัติสำนึกในตัวตนผ่าน ‘กระจกเงา’ เมื่อมนุษย์เห็นหน้าตัวเองชัดกว่าที่เคยเป็น

ประวัติศาสตร์ ‘กระจกเงา’ (Reflecting Mirror) ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมกับสำนึกในตัวตนของผู้คนที่ขยับสู่ความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism)

KEY

POINTS

 

กระจกเอ๋ย บอกข้าเถิด
ใครงามเลิศที่สุดในปฐพี…

— ราชินีใจร้าย, Snow White

 

ใบหน้าของตัวเองน่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์ในยุคสมัยนี้คุ้นเคยที่สุด ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือก่อนนอน ไม่ว่าจะเดินผ่านหน้าต่างหรือก้มดูโทรศัพท์ เงาสะท้อนเหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่รอบกาย และอย่างง่ายดาย เงาสะท้อนที่ว่าไม่เพียงทำหน้าที่ให้คนทุก ๆ คนได้ตรวจตราความเรียบร้อยบนใบหน้าและลักษณะภายนอกของตน แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออำนวยสารพันความสะดวก ตั้งแต่กระจกมองข้างของรถยนต์ไปจนถึงเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

ภาพสะท้อนเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายและมีสถานะไม่ต่างอะไรจากการเป็นสินค้าสาธารณะ (Public Goods) ที่ไม่ว่าจะมีการบริโภคมากมายเพียงไหนปริมาณของมันก็ไม่ได้ลดหลั่นตามกันไป ไม่ใช่ว่าในอดีตอัตราจำกัดของภาพสะท้อน หากแต่ว่า ‘กระจกเงา’ (Reflecting Mirror) ที่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายเฉกเช่นวันนี้

ย้อนกลับไปในยุคโบราณ มนุษย์บางคนอาจก้าวผ่านชีวิตทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยเห็นใบหน้าของตัวเองแบบชัด ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงแต่เศษเสี้ยวของภาพสะท้อนอันเลือนรางจากแอ่งน้ำ หินขัด หรือโดยเฉพาะกับคำบอกกล่าวอธิบายจากผู้อื่น และแม้ว่ามีการค้นพบกระจกแล้ว ก็ถูกจำกัดการใช้งานไว้เพียงกับชนชั้นนำเท่านั้น ประชาชนสามัญธรรมดาแทบไม่เคยนึกฝันว่าจะได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของตัวเองชัด ๆ 

จนกระทั่งในปี 1835 ช่วงปลายของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้ง ที่นักเคมีชาวเยอรมันนาม ‘จัสตุส ฟอน ลีบิก’ (Justus von Liebig) ได้ค้นพบวิธีการสร้างกระจกเงาจากปฏิกิริยาทางเคมีที่ทั้งง่ายขึ้น ราคาถูกลง และสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้างขึ้นจากกระบวนการผลิตที่สอดรับกับความเป็นอุตสาหกรรมในช่วงเวลานั้น และนับจากนั้นกระจกเงาก็ได้เปลี่ยนแปลงสถานะตัวเองจากเครื่องมือสำหรับชนชั้นสูงเป็นของสามัญประจำบ้านที่ใคร ๆ ก็ย่อมมีหรือใช้ได้

กระจกไม่เพียงทำหน้าที่เป็นน้ำยาหล่อลื่นในกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับสังคมหรือประเทศ แต่ยังมอบเสรีภาพในการมองเห็นตัวเองให้ผู้คนมากมายอีกด้วย เขาเหล่านั้นสามารถมองเข้าไปในกระจกเพื่อเสริมความงาม ปรับแต่งรูปลักษณ์ และพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของตนเองอย่างลึกซึ้ง

การแพร่หลายของกระจกจึงไม่ได้มีบทบาทในแง่ของผลิตภาพของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเชื้อเพลิงให้กับความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) ในสำนึกของผู้คน ทำให้ผู้คนขยับจากการมองโลกแบบรวมหมู่ (Collectivism) ไปสู่สังคมที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่เริ่มมี ‘ตัวกู’ เป็นศูนย์กลางมากขึ้น ขนาบไปกับการรุกคืบของระบบทุนนิยมจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม 

The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้ อยากจะชวนผู้อ่านจ้องลึกไปในกระจกเงา เพ่งผ่านลักษณะใบหน้าทางกายภาพเพื่อสำรวจการก่อรูปของสำนึกในตัวตน เลียบเคียงไปกับพัฒนาการของสิ่งประดิษฐ์ที่ก้าวผ่านสถานะ บทบาท และกาลเวลาอย่าง ‘กระจกเงา

ณ จังหวะที่เลนส์แก้วทำให้เราสามารถขยายขอบฟ้าของเราไปสู่ดวงดาวหรือเซลล์จิ๋ว กระจกแก้วก็เปิดโอกาสให้เราได้เห็นตัวเราเองเป็นครั้งแรก
— สตีเวน จอห์นสัน (Steven Johnson) ใน How We Got to Now: Six Innovations That Made the Modern World (2014)

แม้ภาพสะท้อนของใบหน้าและตัวตนอย่างกระจ่างชัดจะเป็นสิ่งธรรมดาที่แพร่หลายจนเคยชินเพียงไหน แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต มนุษย์แทบจะไม่มีโอกาสได้เพ่งไปที่ใบหน้าของตนเองแบบชัด ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่เงาสะท้อนจากแม่น้ำที่ทั้งสั่นไหวและเลือนราง 

แม้อารยธรรมแอซเท็ก (Aztec) โบราณอาจมีการนำหินออบซิเดียน (Obsidian) จากการระเบิดของภูเขาไฟ หรือในอารยธรรมอียิปต์และจีนโบราณที่จะมีการนำเอาโลหะ มาขัดเป็นเงาจนเกิดการสะท้อนแสง แต่กระจกโบราณเหล่านี้ก็สะท้อนแสงได้เพียงน้อยนิด และยังหายากอย่างยิ่ง จึงไม่แปลกที่นักประวัติศาสตร์ สตีเวน จอห์นสัน จะสรุปว่าคนในยุคสมัยก่อนใช้ชีวิตโดยที่แทบจะไม่เห็นใบหน้าของตนเองชัด ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว

การพึ่งพาซึ่งกันและกันจึงเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งในกาดูแลความเรียบร้อยบนใบหน้าหรือรูปลักษณ์ของผู้คนในอดีต อีกทั้งสายตาที่ได้แต่มองไปที่ผู้อื่นเพียงอย่างเดียว ผนวกกับรูปแบบสังคมก่อนอุตสาหกรรมที่มีการสะสมทรัพยากรไม่มากเท่าหลังการปฏิวัติฯ อาจทำให้สำนึกการมองโลกแบบร่วมหมู่ชัดเจนและแพร่หลายขึ้นกว่าในอดีต 

รูปแบบสังคมที่มนุษย์พึ่งพากันเป็นหลักแบบในอดีตจึงทำให้การเนรเทศ (Banishment) ถือเป็นบทลงโทษที่หนักยิ่งโดยเฉพาะในยุคกลาง เพราะสำนึกในตัวตนของแต่ละคนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความเป็นปัจเจก แต่เป็นเกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบกายและสถานที่ที่ผู้คนเหล่านั้นอาศัยอยู่ การถูกตะเพิดออกไปจากถิ่นฐานจึงไม่ต่างจากการกระชากตัวตนของคนนั้น ๆ ออกไป

ในช่วงศตวรรษที่ 14 ถึง 17 ก็ได้มีการค้นพบวิธีการประดิษฐ์กระจกขึ้นที่เกาะมูราโน (Murano) เมืองเวนีซ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งแรกในการสร้างกระจกเงาจากการเคลือบกระจกด้วยเงินที่ผ่านการขัดเงาและทำให้เรียบ หรือใช้การผสมของดีบุก-ปรอทเหลว ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมากสำหรับปรอท ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือทางจิตใจ ไม่ต่างอะไรกับ ‘นักทำหมวก’ (Hatter) ที่มักถูกเรียกว่า ‘Mad Hatter’ เพราะได้รับผลกระทบจากปรอทเหลวจนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกระจกเงาบนโลกนี้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถเข้าถึงได้ ซูซานน์ เมลโชร์-บงเนต์ (Sabine Melchior-Bonnet) เคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่ากระจกเวนิซมีราคาแพงกว่าภาพวาดของ ราฟาเอล (Raphael) เพราะในขณะที่ภาพวาดมีราคา 3,000 ปอนด์ กระจกมีราคาสูงถึง 8,000 ปอนด์ 

และแน่นอนว่าทุกบ้านไม่ได้มีภาพวาดของราฟาเอล 

ถ้าจะกล่าวถึงช่วงที่กระจกเงาได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนและถือเป็นจุดที่กระจกเงาเข้ามาเปลี่ยนมนุษย์ไปอย่างมีนัยสำคัญก็ต้องกล่าวถึงปี 1835 ซึ่งเป็นช่วงปลายของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ นักเคมีชาวเยอรมัน จัสตุส ฟอน ลีบิก ค้นพบวิธีที่จะผลิตกระจกด้วยวิธีทางเคมีในการเคลือบโลหะลงบนกระจกที่ทำให้ง่ายกว่าและถูกกว่า ทำให้กระจกแพร่หลายและแทรกตัวไปอยู่ชีวิตของคนธรรมดา

กระจกเงาได้เข้ามาทำให้ผลิตภาพในหลาย ๆ ด้านของชีวิตเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวที่สามารถทำได้เองที่บ้าน ผู้ชายไม่ต้องให้ช่างตัดผมมาเล็มหนวดให้ บรรดาช่างตัดเสื้อสามารถจูงใจลูกค้าของตนได้ง่ายขึ้นเพราะมีกระจกสะท้อนเสื้อผ้าเมื่อสวมใส่ในทันที เมื่อใช้ร่วมกับแสงไฟยิ่งเพิ่มความสว่างให้ไฟแต่ละดวงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ไปจนถึงวงการวิทยาศาสตร์หรือวงการการแพทย์ กระจกเงาเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนกุญแจที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพมนุษย์ให้ทะยานไปอีกขั้นหนึ่ง

แต่ลึกลงไปในจิตใจของคน กระจกเงาที่ทำหน้าที่สะท้อนใบหน้าของพวกเขาอย่างแจ่มชัดได้เริ่มก่อสร้างสำนึกความเป็นปัจเจกให้กับผู้คนมากมาย พวกเขาสามารถนั่งพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของตัวเองในยามเช้า ใช้เวลาละเมียดตกแต่งตัวเองให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อีกทั้งยังทำให้ศิลปินบางคนสามารถจ้องไปในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นงานภาพเหมือนตนเอง (Self Portrait) รูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมา

จากโลกที่มองออกไปภายนอก เห็นเพียงใบหน้าของคนอื่น การมีกระจกเงาที่ส่องเห็นหน้าตัวเองก็ยิ่งทำให้สำนึกของผู้คนให้ความสำคัญกับตัวเอง มีตัวตนเป็นศูนย์กลาง ตระหนักถึงความแตกต่างเฉพาะตัว (Uniqueness) ตระหนักรู้ในรูปลักษณ์ และห่วงพะวงในสิ่งที่คนอื่นมองตนมากขึ้น สำนึกในความเป็นปัจเจกจึงมีบทบาทเหนือแนวคิดดั้งเดิมที่เป็นการร่วมหมู่ 

บ้างก็อาจหมกมุ่นในตัวเองไม่ต่างอะไรกับ ‘นาร์ซิสซัส’ (Narcissus) จากตำนานกรีก ที่หลงรักในตนเองจนพบกับจุดจบ เพราะการได้เห็นตัวเองทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และแรงกดดันจากมาตรฐานความงามที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะเดียวกัน การเพ่งเล็งไปที่ตนเองอาจทำให้มนุษย์มองเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น รู้จักตนเองมากขึ้น ดังที่นักปรัชญากรีกโบราณนาม ‘โสกราตีส’ (Socrates) หยิบยกแนวคิดอย่าง ‘Know Thyself’ หรือ ‘การรู้จักตนเอง’ มาใช้ในบทสนทนาและการตั้งคำถาม จนเป็นรากฐานสำคัญในวิธีการสอนแบบโสกราตีส (Socratic Method)

ในภาพที่ใหญ่กว่านั้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่จุดไฟให้ระบบทุนนิยมมีความชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสะสมทุน (Capital Accumulation) หรือการแบ่งงานทำเฉพาะด้าน (Specialization) ล้วนเป็นหนึ่งในตัวแปรที่ทำให้ผู้คนมีสำนึกในความเป็นปัจเจกมาขึ้น ยิ่งผนวกกับอุปกรณ์ที่ติดอยู่ในทุก ๆ บ้านอย่างกระจก 

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือจุดพลิกผลันสำคัญที่ทำให้มนุษย์เพ่งมองไปที่ตัวเองและตั้งคำถามอย่างละเอียดละออมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ของสำนึกแบบปัจเจกนิยม ที่นำมาซึ่งวิถีชีวิตแบบตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และความคิดที่มองโลกผ่านตัวเองเป็นศูนย์กลางมากกว่าอดีต… มากกว่าช่วงเวลาที่ใบหน้าของทุกคนเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของเงาสะท้อนอันเลือนรางที่แทบจะไม่มีทางประกอบกันเป็นหนึ่งได้เลย

 

อ้างอิง

Carey, J. (n.d.). How the mirror changed our identity. Jess Carey. 

Kelleher, K. (2019, July 11). The ugly history of beautiful things: Mirrors. Longreads. 

Kottke, J. (2016, November 10). The importance of seeing yourself clearly. kottke.org. 

Mortimer, I. (2016, November 9). The mirror effect. Lapham’s Quarterly. 

Schwarcz, J. (2018, June 13). How are mirrors made? Office for Science and Society, McGill University. 

Tolentino, C. (2025, March 10). Who invented the mirror? A glance into the history of the mirror. History Cooperative. 

Johnson, S. (2014). How we got to now: Six innovations that made the modern world. New York, NY: Riverhead Books.

Mortimer, I. (2016). Millennium: From religion to revolution: How civilization has changed over a thousand years. New York, NY: Pegasus Books.

Leigh, A. (2024). How economics explains the world: A short history of humanity (1st Mariner Books ed.). Mariner Books.