‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

The Hidden Dilemma Special กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ตอนที่สองที่ว่าด้วยเรื่องราว ‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์

 

สำหรับผม การที่ผู้หญิงรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้
มันไม่ใช่เพื่อตัวของคุณเอง
แต่มันเพื่อผัวของคุณ เพื่อสายตระกูลของคุณ

 

ในสัปดาห์ก่อนนั้น The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษที่ชวนอาจารย์ ‘ธเนศ วงศ์ยานนาวา’ มาพูดคุยในเรื่องราวของ ‘ความเป็นพ่อ’ (Fatherhood) ในสังคมมนุษย์ภายใต้ชื่อ ‘The Many Faces of Fatherhood’ เราได้สำรวจคำถามสำคัญอันเป็นรากฐานตั้งต้นของซีรีส์นี้ ซึ่งก็คือ ‘พ่อคืออะไร?’ 

ทว่าคำตอบที่น่าสนใจมากกว่าคำตอบว่าพ่อคืออะไรนั้น คือการเข้าใจว่าความเป็นพ่อไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวดังที่เราเข้าใจหรือจดจำ เพราะความเป็นพ่อนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับแต่ละสังคม เฉกเช่นเดียวกับประเด็นเรื่องบทบาทในการเลี้ยงดูลูกที่ยากจะกำหนดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน ซึ่งบทสนทนาทั้งหมดในช่วงแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

อ่านบทความได้ที่ลิงก์นี้ [ The Hidden Dilemma × ธเนศ วงศ์ยานนาวา ] พ่อคืออะไร? ทำไมสิ่งมีชีวิตเพศชายถึงต้องดูแลลูก? 

สำหรับในตอนที่สองนี้ จะเป็นการสำรวจอิทธิพลของสังคมที่มีการสืบสายเลือดทางฝั่งของเพศชาย (Patrilineality) ที่ได้ส่งผลถึงกรอบเกณฑ์ทางจารีตประเพณีในสังคมสมัยใหม่โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นมุมมองเรื่องผัวเดียวเมียเดียว หรือการพยายามตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์สายสัมพันธ์ทางชีววิทยาระหว่าง ‘พ่อ’ กับ ‘ลูก’ ดังที่อาจารย์ธเนศบรรยายในช่วงหนึ่งของการสนทนาว่า

 

การตรวจ DNA มันคือปัญหาของผู้ชาย
มันคือปมด้อยของผู้ชาย!

 

สังคมส่วนใหญ่ที่เรามักคุ้นชิ้นมักเป็นสังคมแบบแรก ที่ผู้ชายมีบทบาทสำคัญในการสืบสายเลือดและเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของสังคมจนราวกับว่าโลกใบนี้เป็น ‘โลกของผู้ชาย’ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าทุก ๆ สังคมจะเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นสังคมมูซูหรือมินังกะเบาก็ล้วนเป็นตัวอย่างของการมีอยู่ของวัฒนธรรมการสืบสายเลือดฝั่งเพศหญิง (Matrilineality) ที่สะท้อนให้เราเห็นถึง ‘โลกของผู้หญิง’ ที่มีอยู่และยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้

 

ปัญหาคือพอนับสายเลือดผ่านผู้ชาย ความทุกข์ระทมก็จะเกิดกับผู้หญิงในทันที เพราะร่างกายและการประพฤติของผู้หญิงจะถูกควบคุมอย่างหนัก

 

ในบทสนทนาตอนที่สองนี้ อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวาได้พา The Hidden Dilemma ไปสำรวจรากของอิทธิพลความเป็นพ่อที่ถูกสถาปนาตั้งแต่สังคมบรรพกาลไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบันที่ได้หล่อหลอมสำนึกและความเชื่อที่ยังคงเห็นได้อยู่ในปัจจุบันนี้

 

- ลำดับต่อไปคือถ้อยคำของ อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา - 

โลกของผู้ชาย

หากถามว่าอะไรส่งผลต่ออิทธิพลความเป็นพ่อแบบในยุคปัจจุบันมากที่สุด และถ้าเราจะใช้เกณฑ์ที่ต้องการจะหาว่าความเป็น ‘ที่สุด’ ราวกับว่ากำลังบันทึกสถิติลง Guinness World Records ซึ่งเป็นกรอบคิดที่ผมไม่ได้ใช้มองการเปลี่ยนแปลงเสียเท่าไหร่นัก แต่หากว่าต้องพิจารณาว่าปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบโครงสร้างครอบครัวแบบที่แพร่หลายในยุคปัจจุบันหรือความที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะมีแนวโน้มที่จะเป็น ‘โลกของผู้ชาย’ สิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

เวลากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ เรากำลังหมายถึงสายสัมพันธ์ แค่สังคมเข้าป่าล่าสัตว์ (Hunter-gatherer Society) นี่ก็หลายแสนปีมาแล้ว ส่วนสังคมเกษตรกรรม (Agrarian Society) ก็หมื่นต้น ๆ วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยาวไกล การเปลี่ยนแปลงของยีนมันไกลมากกว่าโบราณคดี มันไกลมากกว่าประวัติศาสตร์ 

ในแง่ของการเปลี่ยนแปลง ถ้าถือว่าสังคมเกษตรฯ เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ ‘การปฏิวัติการเกษตร’ (Neolithic Revolution) เป็นสิ่งที่มีความสําคัญ ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะมีอายุประมาณหมื่นกว่าปีแล้ว ทำให้มนุษย์จับสัตว์ป่ามา domesticate หรือการเพาะปลูกพืชผ่านการทำเกษตรกรรม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมของธรรมชาติในระยะหมื่นกว่าปีที่ผ่านมา

สิ่งนี้มีส่วนสําคัญในการที่ทําให้เกิดบทบาทของ ‘การนับสายเลือดทางผู้ชาย’ (Patrilineality) หรือการนับสายเลือดทางผู้ชายพ่อ มีความสําคัญ ย้อนกลับไป มนุษย์ในสังคมเข้าป่าล่าสัตว์ ถึงแม้ว่าผู้ชายอาจจะไปเอาเนื้อกวางหรือเนื้ออะไรต่าง ๆ มา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือการที่นำทรัพยากรเหล่านั้นกลับมา แต่นอกจากนั้นคือคุณเก็บสะสมมันไม่ได้เพราะไม่มีตู้เย็น เพราะฉะนั้นเนื้อสัตว์พวกนี้จะต้องแจกจ่ายทันที คุณก็ต้องให้คนอื่นและแบ่งกันกิน 

 

การล่าสัตว์ใหญ่ มันไม่มีวีรบุรุษคนเดียวที่เดินเข้าไปแล้วฆ่าคนทั้งกองทัพ

 

คุณต้องทํางานร่วมกัน เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีสำนึกว่า เฮ้ยไอ้คนนั้นมันเป็นฮีโร่ กูฆ่าช้างตัวนี้ตายด้วยตัวคนเดียว นึกถึง David and Goliath อะไรแบบนี้ มันไม่มีอะไรแบบนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพเขียนสีโบราณบอกเล่าเหตุการณ์การล่าสัตว์แบบเป็นกลุ่มในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของซิมบับเว (Photo: Robert Stewart Burrett)

 

เพราะฉะนั้น พอมีการเกษตร ต่างคนก็จะสามารถสั่งสมทรัพยากรได้ บางคนก็ฐานะดีขึ้น แล้วพอมนุษย์เริ่มที่จะควบคุมธรรมชาติได้มากขึ้น คุณก็จะสามารถกะได้ว่าอาหารควรจะมีเท่าไหร่ ประชากรก็จะเริ่มขยายตัวได้มาก หนึ่งสิ่งที่พอที่จะเห็นได้ชัดก็คือสัญลักษณ์ที่สําคัญอย่าง ‘ศิวลึงค์’ (Lingam) สิ่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสังคมเกษตรฯ ส่วนในอินเดียก็ชัดเจนว่าถ้ามีศิวลึงค์มักปรากฏควบคู่กับฐานโยนี ซึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดีว่าศิวลึงค์มีอายุอย่างน้อย 8,000 ปี และข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีการพบศิวลึงค์ที่มีอายุถึง 42,000 ปีในมองโกเลีย

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ศิวลึงค์บนฐานโยนี
(Photo: शिव साहिल)

 

เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น สังคมขยายตัวมากขึ้น ก็เกิดเมืองเกิดรัฐ เกิดสิ่งประดิษฐ์เพื่อจะสร้างเครื่องไม้เครื่อง มือตัวอักษร สิ่งเหล่านี้ล้วนมากับผู้ชายทั้งนั้น สังคมของการอ่านเขียนตัวอักษรเหล่านี้เป็นเรื่องของผู้ชาย กว่าผู้หญิงจะสามารถอ่านออกเขียนได้ มันถือเป็นปรากฏการณ์ที่ใหม่มาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มาพร้อมกับโลกสมัยใหม่ที่ผู้คนต้องเข้าไปอยู่ในโครงสร้างของรัฐประชาชาติที่มีการศึกษาภาคบังคับ เพราะฉะนั้นการศึกษาของผู้หญิงที่จะเข้าใจตัวอักษรเหล่านี้จะขยายตัวจริง ๆ ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ 

แต่ในอดีตนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของผู้ชาย

ตัวอักษรก็เป็นเรื่องของผู้ชาย เพราะผู้ชายเป็นคนที่อ่านออกเขียนได้ แล้วพอผู้ชายอ่านออกเขียนได้ ผู้ชายก็จะสัมพันธ์กับศาสนาเห็น ก็จะมีคัมภีร์อะไรต่าง ๆ พวกนี้ สิ่งเหล่านี้คือโลกผู้ชายเลยทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนี่คือการสถาปนาอํานาจความสําคัญของ ‘พ่อ

ก็ตัวอักษรไม่ได้มาจากผู้หญิง ที่ผ่านมาก็เป็นโลกของผู้ชายทั้งนั้น แล้วผู้ชายที่ว่านี่ก็ต้องเป็นผู้ชายชนชั้นสูงเท่านั้นนะ ไม่ใช่ผู้ชายชาวนาที่เรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้ ซึ่งตัวอักษรเหล่านี้ก็จะส่งอิทธิพลไปสู่สังคมต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะตัวอักษรก็ไม่ได้เกิดที่ป่าแอมะซอน มันเกิดจากความเป็นเมือง

 

 

เวลากล่าวถึงสังคมตะวันตก ภาพที่เห็นส่วนใหญ่ผ่านสื่อ งานจิตวิทยา งานวิจัย ส่วนใหญ่คือผู้ชายผิวขาว ในสังคมอเมริกันเอง ถ้าเปรียบเทียบแล้วผู้ชายผิวดําก็ดูแลลูกมากกว่าผู้ชายผิวขาวและฮิสแปนิก โดยแต่ละชนชั้นก็จะต่างกันออกไป (ดังที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้ เพราะผมก็จินตนาการไม่ออกว่าต้องขายตับไตไส้พุงขนาดไหนถึงจะสามารถจ้าง French Governess มาดูแลลูกผมได้) และเช่นเดียวกันว่าพ่อในทางชีววิทยาไม่ก็ไม่จําเป็นต้องมาดูแลลูก แม่ก็เช่นกัน ตราบใดก็ตามที่มีคนเลี้ยงดูลูก (พ่อ แม่ หรือผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งเลี้ยงดูลูก ส่วนการให้นมก็สามารถมีแม่นมได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องจำกัดอยู่แค่มนุษย์เพศหญิงที่มีสายสัมพันธ์โดยตรงในทางชีววิทยา, กองบรรณาธิการ) เพราะฉะนั้นสิ่งที่สําคัญอย่างหนึ่งที่มักถูกพูดถึงคือ ‘ครอบครัวขยาย’ (Extended Family) ที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า และอา

เป็นสิ่งที่ถูกพูดกันมาตลอดว่าสิ่งเหล่านี้แปรเปลี่ยนไปตามระบบนิเวศวิทยา เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ดังนั้นเวลากล่าวถึง ‘พ่อ’ และการนับสายเลือดทางพ่อหรือแม่ก็ตาม สิ่งสําคัญของการกล่าวถึงเรื่องนี้คือการหมายถึงเรื่องการกำหนดว่า ‘ทรัพย์สินมรดกอํานาจจะตกไปที่ใคร’ ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดู 

สังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) หรือนับสายเลือดทางผู้ชาย การเลี้ยงดูลูกไม่ใช่เรื่องของผู้ชายเลย เพราะฉะนั้น พ่อก็จะค่อนข้างที่จะห่างเหิน ลองนึกย้อนกลับไปในสังคมชนชั้นนักรบ คิดว่าพ่อจะมีเวลามามาดูแลลูกไหม?

ไม่ เพราะก็ต้องใช้เวลาไปกับการรบ 

ฉะนั้นสํานึกที่เกี่ยวกับคําถามที่คุณต้องการจะถามผมในวันนี้คือผู้ชายดูแลลูกได้ไหม ผู้ชาย มีความรู้สึกหรืออารมณ์ในการที่จะสนใจลูกไหม เวลาพูดถึงในโลกตะวันตกหรือคนชนชั้นนักรบ พ่อก็จะห่างเหินกับลูก ค่านิยมของการที่พ่อไม่ค่อยได้ดูแลลูก และให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงในการดูแลลูกแทน นั่นคือโมเดลที่เราเอ่ยถึงกันมาตลอดที่ฝรั่งผิวขาวเป็น 

ผู้ชายที่ทํามาหากินแล้วก็เลี้ยงดูลูกเป็นสิ่งที่โดดเด่นมาก ในสังคมเมืองที่เป็นสังคมอุตสาหกรรมของศตวรรษที่ 19 คําว่า ‘Breadwinner’ (เบรดวินเนอร์) หรือคนที่หาเลี้ยง เป็นคําที่เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 19 นี้เอง หากว่าใครคิดอะไรไม่ออก ผมแนะนําให้ไปฟังเพลงในปี 1974 ที่ชื่อว่า ‘Cats in the Cradle’ ของ ‘แฮร์รี แชพิน’ (Harry Chapin) 

 

 

My child arrived just the other day
He came to the world in the usual way
But there were planes to catch and bills to pay
He learned to walk while I was away

 

เมื่อฟังดูแล้วก็จะเห็นว่าพ่อในตอนที่มีลูกก็จะบอกว่าฉันไม่มีเวลา ฉันต้องบินไปนู่น บินไปนี่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก 

 

Son, I'm proud of you, can you sit for a while?"
He shook his head and he said with a smile
"What I'd really like, dad, is to borrow the car keys
See you later, can I have them please?

 

พอลูกโต ลูกก็บอกว่า เฮ้ย ฉันก็จะไปของฉัน เหมือนกับสมัยเราเป็นวัยรุ่น มาขอกุญแจรถพ่อแล้วก็ไปโดยไม่ได้พูดคุยกัน เมื่อถึงวันที่พ่อเกษียณ เขาก็จะอยากจะอยู่กับลูก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะลูกก็โตแล้ว ย้ายออกไปแล้ว ทํางานแล้ว ไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว เพลงก็จะจบด้วยเหตุผลจากผู้เป็นลูกว่า

 

You see, my new job's a hassle
and the kids got the flu
But it's sure nice talking to you, dad
It's been sure nice talking to you

 

แต่ตอนจบมันยังมีความหวังเล็ก ๆ แบบฝรั่งอยู่บ้าง ลูกก็บอกพ่อว่าผมไม่มีเวลาเพราะกำลังยุ่งอยู่กับงานใหม่ แถมลูกของผมก็กำลังเป็นหวัดอยู่ (อย่างน้อยลูกชายก็ได้อยู่กับลูกของเขา)

 

And as I hung up the phone,
it occurred to me
He'd grown up just like me
My boy was just like me

 

เพลงก็จะสื่อว่า ลูกฉันก็เหมือนตัวฉัน ท้ายที่สุดก็ไม่เคยอยู่ด้วยกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะเห็นได้ว่าผู้ชายฝรั่งในชนชั้นกลางที่ค่อนข้างจะห่างเหินกับลูก 

 

 

เวลาย้อนกลับไปในสังคมเกษตรฯ
มนุษย์จะไปไหนได้ไกลจากถิ่นฐานตัวเอง?

 

มนุษย์ในยุคนั้นจะเดินทางไปไกลได้แค่ไหน? เวลาจะบอกว่าในสังคมเกษตรฯ หรือสังคมเข้าป่าล่าสัตว์ที่ผู้ชายเป็นก็หาเลี้ยงทั้งหมด อ้าว ผู้หญิงก็ไปเก็บข้าวของ พืชพรรณ ของป่า (Gatherer) เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าในสังคมเกษตรฯ ผู้ชายจะมีบทบาทมากขึ้น แต่เมื่อลงนาหรือทําต่าง ๆ พวกนี้ มันไม่ใช่ผู้ชายเพียงอย่างเดียว มันก็ต้องมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง สังคมเข้าป่าล่าสัตว์ก็เช่นกัน 

สังคมเข้าป่าล่าสัตว์ โดยส่วนใหญ่คือผู้ชายที่ไปล่าสัตว์ แต่ก็มีบางสังคม เช่น สังคม ‘แอ็กตา’ (Aeta) อยู่ทางตอนเหนือของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ ผู้หญิง 85 เปอร์เซ็นต์ ออกไปล่าสัตว์กันเป็นกลุ่มโดยมีสุนัขร่วมทางไปด้วย ดังนั้นเวลาจะบอกว่าสังคมเข้าป่าล่าสัตว์เป็นสังคมมีแต่ผู้ชายที่ออกไป มันก็ไม่ใช่อีกแล้ว มันมีข้อยกเว้นตลอดเวลา ชีวิตเรามันเต็มไปด้วยข้อยกเว้นเสมอ มันคงยากที่จะสรุปหรือนิยามสิ่งใดอยู่กับที่ 

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

สังคมแอ็กตาในเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์
(Photo: Oscar Ekholm)

 

โลกของผู้หญิง… อยู่ที่ไหน?

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสังคมส่วนใหญ่คือโลกของผู้ชาย ตั้งแต่ตัวอักษรไปจนถึงชนชั้นนักรบและการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญเลยไม่ใช่แค่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่ เพราะอีกคำถามที่สำคัญมากคือ 

 

ทรัพย์สินและอำนาจที่มีจะถูกส่งต่อไปที่ใคร?

 

มันไม่ใช่ว่าตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ ไม่ใช่เลย — ตายไปฉันให้ลูกหลานฉัน ให้ลูกชายฉัน (ถ้าคุณนับญาติสายผู้ชาย) ทั้งหมดคือเรื่องของทรัพย์สินเงินทองรวมไปถึงอำนาจ ถ้าคุณมาจากชนชั้นสูง

แต่ปัญหาคือ เมื่อต้องนับญาติในสายผู้ชายทุกอย่างมันจะเริ่มยุ่งแล้ว ในปัจจุบันอาจไม่ยุ่งเท่าไหร่ เพราะว่าตั้งแต่ 1980 เป็นต้นมาก็มีการตรวจ DNA แล้ว ในสังคมที่นับญาติสายผู้หญิง ยังไงถ้าผู้หญิงมีลูก — คลอดลูกออกมา — เนี่ย อย่างไรก็คือลูกของผู้หญิงคนนั้น ไม่ต้องตรวจ DNA 

 

การตรวจ DNA มันคือปัญหาของผู้ชาย
มันคือปมด้อยของผู้ชาย!

 

เพื่อที่จะสามารถพิสูจน์ว่าทารกที่ออกมาคือลูกในทางชีววิทยาจริง กลับกันถ้าเป็นสังคมที่นับญาติสายผู้หญิงก็ไม่เห็นจะจำเป็นว่าต้องไปตรวจ DNA เพราะยังไงก็ตามลูกที่ออกมาก็คือลูกของผู้หญิงคนนั้น เพราะเขาเป็นคนตั้งครรภ์เอง (เว้นแต่ในเรื่องการสับเปลี่ยนเด็กทารกแล้วต้องตรวจ DNA อันนั้นก็อีกกรณีหนึ่ง) ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นหลักฐานยืนยันในตัวอยู่แล้ว 

การตรวจ DNA จึงเป็นภาพสะท้อนของสำนึกความเป็นพ่อเพื่อยืนยันว่าฉันเป็นพ่อในทางชีววิทยาจริง 

สังคมตะวันตกในสองพันปีที่ผ่านมาก็ถูกกำกับโดยคริสต์ศาสนา ซึ่งก็นับสายเลือดผ่านผู้ชาย เพราะฉะนั้นใครเป็นพ่อทางชีววิทยาเป็นเรื่องสําคัญของสังคมตะวันตก

สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น ถึงแม้ว่าสังคมในตะวันออกกลางหรืออินเดียเหนือจะนับสายเลือดผ่านผู้ชาย แต่พวกเขานั้น มีการแต่งงานที่ใกล้ชิดกัน เช่นแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ที่เราเรียกว่า Cross-cousin Marriage

 

แต่คริสต์ศาสนาไม่ยอม... 

 

คริสต์ศาสนานี่ห้ามเด็ดขาดเลย ลูกพี่ลูกน้องนี่ก็นับไปเลย เจ็ด-แปดชั้นนับไป ด้วยเหตุนั้น โดยคุณลักษณะของคริสต์ศาสนาก็ทำให้คนต้องแต่งงานกับคนนอก ที่คุณจะไม่เคยรู้จัก ที่นี้ระบบ Cross-cousin Marriage ซึ่งผมก็จะไม่กล่าวถึงในที่นี้ เพราะว่ามันจะซับซ้อนมาก จากการที่มันเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติ ดังที่เรามักได้ยินกันในภาษาไทยว่า “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน” เพราะว่านี่มันคือสายตระกูล ซึ่งทําให้อินเดียเหนือและประเทศบริเวณตะวันออกกลางมองการแต่งงานกันในเครือญาติเป็นเรื่องสําคัญ ส่วนคริสต์ศาสนาก็จะประสาทรับประทาน เพราะกูรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้

เมื่อถามว่า DNA สําคัญไหม? เราอาจจะต้องยกตัวอย่างสังคมที่เข้าป่าล่าสัตว์หนึ่งที่ชื่อว่า ‘ฮิมบา’ (Himba) ในนามิเบีย พวกเขาเป็นสังคมที่มีชื่อเสียงมาก แถมบรรดาเด็กทารกที่เกิดมาเกินครึ่งหนึ่งมีพ่อที่ไม่ใช่ผัวของแม่ แต่เกิดจากผู้ชายคนอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า “แม่มีชู้” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่ผู้หญิงไปร่วมเพศกับผู้ชายคนอื่น ๆ เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ เพราะผู้ชายในสังคมฮิมบาก็จะออกเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ ส่วนผู้หญิงเองก็มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นของตัวเอง การแต่งงานเป็นแบบคลุมถุงชน แต่งกันด้วยเหตุผลที่เหมาะสม

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ผู้หญิงในสังคมฮิมบาในนามิเบีย
(Photo: Rempros)

 

เมื่อผู้หญิงเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจเอง ก็หมายความว่าผู้ชายก็จะควบคุมผู้หญิงลำบากขึ้น เฉกเช่นเดียวกับในปัจจุบันที่ผู้หญิงมีการศึกษา ร่ำรวยมีฐานะ แล้วยิ่งหนักข้อขึ้นไปกว่านั้นดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ (ในตอนแรก) ว่าในระบบเหล่านี้ผู้หญิงเป็น ‘ผู้เลือก’ 

สังคมฮิมบาสะท้อนให้เห็นว่ามีอีกหลายสังคมเลยว่า การตรวจ DNA หรือการพยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงนั้นไม่ได้เป็นประเด็นที่สำคัญเลย เพราะไม่ว่าใครจะเป็นพ่อเด็ก อย่างไรก็ตามลูกที่ออกมาก็เป็นลูกของฉัน ยังไงลูกที่ออกมาก็คือลูกของแม่

ในขณะเดียวกันหากมองไปที่อีกด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน หรือสังคมตะวันตกที่มีการสืบสายเลือดฝั่งผู้ชาย การที่คุณจะยอมรับว่าผู้หญิงไปมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก

ในขณะเดียวกัน เมื่อเรากล่าวถึงการสืบสายเลือดทางผู้ชาย สิ่งนี้ไม่ได้จํากัดอยู่แค่ในโครงสร้างครอบครัวแบบครอบครัวเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสายตระกูลแบบจีน แบบอินเดียเหนือ หรือสังคมอาหรับ ไล่ไปจนถึงแอฟริกาตะวันตกในส่วนที่ต่ำกว่าทะเลทรายซาฮาร่า (Sub-Sahara) ลงมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้ลงไปถึงแองโกลา 

ในปัจจุบันนี้ สังคมที่นับสายเลือดทางผู้หญิงหรือสายแม่ก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ ด้วยอํานาจของสังคมที่นับญาติสายพ่อที่ได้ขยายตัวไปพร้อมกับพลังของอาณานิคมตะวันตกที่มาพร้อมกับคริสต์สาสนา สังคมเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนจากการนับสายเลือดฝ่ายแม่ไปเป็นฝ่ายพ่อ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือในอินเดียใต้ ตอนที่อังกฤษเข้ามาปกครอง อังกฤษก็จะค่อย ๆ สังคมพวกนี้ให้กลายเป็นสังคมที่นับสายเลือดผ่านพ่อ

สังคมคนพื้นเมืองอเมริกัน (Indigenous Peoples) จํานวนมากก็นับสายเลือดทางผู้หญิง นะครับ ต้องไม่ลืมว่าเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่เข้าไปในอเมริกา เข้าไปในแคนาดา ก็นับสายเลือดทางผู้ชาย เพราะฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่เคยยอมรับการนับสายเลือดแบบคนพื้นเมือง

สังคมที่นับสายเลือดทางผู้หญิงที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันและโดดเด่นมาก ๆ คือสังคม ‘คาซี’ (Khasi) ในแคว้นเมกะลายา (Meghalaya) ที่ติดกับรัฐอัสสัม (Assam) และชายแดนประเทศเมียนมา ในสังคมคาซี ทรัพย์สินเงินทองและสมบัติจะถูกสืบทอดผ่านผู้หญิงทั้งหมด ส่วนผู้ชาย เมื่อแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่ในบ้านของผู้หญิง

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

การแต่งงานในสังคมคาซี
(Photo: Wann Majaw)

 

ส่วนสังคมที่สืบสายเลือดฝั่งแม่ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันคือสังคม ‘มินังกะเบา’ (Minangkabau) ในสุมาตรา (Sumatra) อินโดนีเซีย ซึ่งน่าจะใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ มีประชากรหลายล้านคน สิ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับสังคมมินังกะเบาคือความสามารถที่จะยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้

ดังที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าสังคมตะวันตกนั้นนับสายเลือดทางพ่อ ส่วนอินโดนีเซียเป็นมุสลิม (ซึ่งก็นับสายเลือดทางผู้ชาย) แต่ท่ามกลางสังคมเหล่านี้ มินังกะเบายังสามารถรักษาจารีตของตัวเองไว้ได้ ทรัพย์สมบัติทุกอย่างยังคงผ่านผู้หญิง มินังกะเบาสามารถที่จะต้านทานพลังของอาณานิคมที่เป็นผู้ชายแบบมุสลิมได้ 

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

การแต่งงานในสังคมมินังกะเบา
(Photo: Mamasamala)

 

ในบรรดาของสังคมที่นับสายเลือดผ่านทางผู้หญิง สังคม ‘มูซู’ (Mosuo, 摩梭) คือสังคมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สังคมมูซูจะเป็นชนเผ่าที่มีอยู่หลายหมื่นคน อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของยูนนาน ประเทศจีน พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการนับสายแม่ โดยเฉพาะในเรื่องของการร่วมเพศของผู้หญิงในสังคมมูซูที่มีความคล้ายคลึงกับสังคม ‘สยาม’ (Siam) — ผมใช้คําว่า ‘สยาม’ ไม่ใช่คําว่า ‘ไทย’ — ที่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘การขึ้นหา’ (Night Crawling) 

ผู้หญิงในสังคมมูซู เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ (เอากันได้หรือมีลูกได้) เธอจะมีห้องเป็นของตัวเอง และเมื่อชอบพอกับผู้ชายคนไหนก็ให้ผู้ชายมาหาตอนกลางคืนเพื่อที่จะมาร่วมเพศกัน พอเอากันเสร็จแล้วไม่แฮปปี้ ไม่สนุก ไม่ชอบผู้ชายคนนี้ ผู้หญิงก็เปลี่ยนใหม่ ก็เอากันตอนกลางคืน ร่วมเพศกันเสร็จ ตอนเช้าผู้ชายก็ไป ถ้าผู้หญิงพอใจผู้ชายคนนี้ก็มาเอากันต่อ 

 

‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ผู้หญิงจากสังคมมูซู
(Photo: Rod Waddington)

 

ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งก็อาจจะสามารถร่วมเพศกับผู้ชายสัก 30 คน หากว่าป๊อปหน่อยก็คืนหนึ่งก็อาจจะมีมากกว่าสองคน และเมื่อผู้หญิงท้อง ลูกก็เป็นของผู้หญิง ฝ่ายผู้หญิงก็จะดูแลเด็กคนนี้ ครอบครัวฝ่ายผู้หญิงจะเป็นผู้ที่ช่วยกันดูแลเด็กที่เกิดมา จะเห็นได้ว่าพ่อในทางชีววิทยาไม่ได้มีความสําคัญอะไรเลยการจะรู้หรือไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครไม่มีความสำคัญเลย 

 

เพราะฉะนั้นในสังคมแบบนี้จึงไม่มีสิ่งที่พวกเราคุ้นเคยที่เรียกว่า — ถ้าพูดแรง ๆ แบบสุดขั้ว — ‘พ่อ’ และ ‘ผัว’ 

 

แต่นี่ก็เป็นสังคมที่ ‘จีนฮั่น’ (Han Chinese) เกลียดชังมากในอดีต เพราะจีนฮั่นดังที่ทราบกันว่านับสายเลือดผ่านผู้ชาย ถ้าผู้หญิงจะไปนอนกับคนนู้นคนนี้นี่ฉิบหายเลย สมมุติว่าคุณกลับมาบ้าน แล้วคุณเป็นลูกสาว แล้วบอกกับพ่อกับแม่คุณว่า “โอ้ย คืนนี้ หนูฟาดกับผู้ชายมาห้าคน” คงได้เป็นลมล้มชักกันตาย แต่ถ้าเป็นสังคมแบบมูซู คำถามที่ว่าใครคือพ่อเด็กมันไม่เป็นประเด็นเลยเมื่อผู้หญิงท้อง ซึ่งทั้งสังคมจีนหรืออังกฤษก็ไม่สามารถยอมรับสังคมแบบนี้ได้ 

อังกฤษก็จะมองเลยว่าสังคมนับสายแม่ — ผมขอใช้คํานี้เลยนะครับ — ผู้หญิงจะดอกทอง คุณจะไปเอากับใครก็ได้ คุณไม่รู้ว่าพ่อคือใคร ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าทําไมบางสังคมถึงได้บ้าคลั่งกับการตรวจ DNA ก็เพราะว่าคุณอยากรู้ว่าใครคือพอเด็กไง

ปัญหาคือพอนับสายเลือดผ่านผู้ชายความทุกข์ระทมก็จะเกิดกับผู้หญิงในทันที เพราะร่างกายและการประพฤติของผู้หญิงจะถูกควบคุมอย่างหนัก ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนก็จะเป็นเครื่องยืนยันว่าลูกในท้องเป็นของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนแรกที่ได้ร่วมเพศกับเธอคนนี้ ร่างกายผู้หญิงจึงห้ามแปดเปื้อน เพราะต้องสงวนเอาไว้ให้กับผู้ชายของคุณ 

แนวคิดแบบนี้ก็ถูกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนมากไม่ว่าจะเป็นการมองเลือดสาวบริสุทธิ์ที่เลอะผ้าปูที่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในวิธีคิดแบบฟิวดัลของยุโรป เพราะมันคือตัวค้ำประกันผู้หญิงที่บริสุทธิ์ ต้องมีการพยายามตรวจหาว่าเยื่อพรมจรรย์อยู่หรือเปล่า แถมวิธีคิดของเลือดที่ปรากฎอยู่บนผ้าปูที่นอนก็ยังปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วย

ผู้หญิงจึงถูกควบคุมอย่างหนักในสังคมที่นับสายเลือดผ่านผู้ชายหรือสังคมที่มักนิยมเรียกว่า กันว่า ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ และสำหรับผม ความเป็นใหญ่ของผู้ชายนั้นสำคัญตรงที่การควบคุมทรัพย์สินและมรดก และผู้หญิงที่ผู้ชายได้ร่วมเพศโดยมีลูกของผู้ชายคนดังกล่าว ทรัพย์สินถึงจะถูกส่งต่อไปได้ ความมั่งคั่งเหล่านี้ไม่ได้จบที่รุ่นไหน แต่ถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ

สำหรับผมการรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้มันไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง แต่เพื่อผัวของคุณ เพื่อสายตระกูลของคุณ มันถึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘Honor Killing’ ขึ้น เช่นกรณีที่ลูกสาวหนีตามผู้ชายไป และมีพี่ชาย-น้องชาย ตามไปฆ่าพี่สาวหรือน้องสาวของตัวเอง รวมไปถึงผู้ชายที่ผู้หญิงหนีตามไปด้วย เพราะทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของวงศ์ตระกูล 

มันเลยมีความคิดว่าผู้หญิงแปดเปื้อน แต่ลองคิดดูถ้าคุณอยู่ในสังคมกาซีหรือมูซู อะไรเหล่านี้มันไม่เป็นประเด็นเลย มันไม่มีคำว่าแปดเปื้อนด้วยซ้ำ เพราะยังไงเด็กที่ออกมาก็ลูกฉัน สมมุติว่าผู้ชายมาหาเยอะ ก็แสดงว่าเธอป็อปปูลาร์เสียด้วยซ้ำ ใคร ๆ ก็อยากมาเอาด้วย ก็เหมือนมีคนมากดไลก์คุณเยอะ แต่ถ้าเป็นสังคมนับสายผู้ชาย ผู้หญิงจะแปดเปื้อนในทันที.


ติดตาม The Hidden Dilemma Special กับอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ตอนต่อไปได้เร็ว ๆ นี้ที่ The People