จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ ในประเทศด้านตะวันออกตั้งแต่จึนถึงญี่ปุ่นและเกาหลี ใน The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษร่วมกับอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

สังคมชายเป็นใหญ่ถูกสะท้อนชัดผ่านกรณีศึกษามากมายในประวัติศาสตร์สังคมตะวันตกที่สะท้อนผ่านทั้งสงครามของชนชั้นนักรบและความเชื่อและคำสอนของคริสต์ศาสนาที่ได้หล่อหลอมสำนึกของผู้คนและได้ส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกันหากตัดกลับมาฟากของตะวันออก แม้กรณีศึกษาที่ถูกกล่าวถึงไปในตอนก่อน ๆ จะมาการผสมผสานกันของทั้งการสืบสายเลือดผ่านแม่และผ่านทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากในอาณาบริเวณนี้ อิทธิพลและความยิ่งใหญ่ของพ่อก็ถูกสะท้อนชัดไม่แพ้กันเลยแม้แต่น้อย

สำหรับหัวข้อในครั้งนี้ อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา จะชวนไปสำรวจอิทธิพลและแนวคิดแบบ ‘ขงจื๊อ’ ที่แผ่ขยายไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก เริ่มต้นจากจีน ไปถึงเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งสร้างผลกระทบในแบบที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกัน  แต่ทั้งสองอารยธรรมมีขงจื๊อในฐานะอิทธิพลและแรงขับเคลื่อนการสถาปนาอำนาจของพ่ออย่างมีนัยสำคัญ จากที่ดั้งเดิมไม่ได้เป็นเช่นนั้น

และเพื่อทำความเข้าใจว่าแนวคิดขงจื๊อได้กลายเป็นรากของความคิดเรื่องอำนาจในโลกตะวันออกอย่างไร The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษครั้งนี้ อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา จะพาเราย้อนสำรวจต้นกำเนิดของมัน ตั้งแต่แนวคิดขงจื๊อดั้งเดิมในจีน ไปจนถึงการกลายร่างเป็นระเบียบของรัฐในเกาหลีและญี่ปุ่น

 

- ลำดับต่อไปคือถ้อยคำของอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -

 

เมื่อเราพูดถึงดินแดนอีกฟากหนึ่งของโลก โลกในแบบ ‘ขงจื๊อ’ (Confucius) เรากำลังพูดถึงประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน เวียดนามหรือแม้แต่สิงคโปร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะเวียดนามที่อยู่ร่วมกับจีนมานานนับพันปี และเมื่อพูดถึง ‘จีน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิขงจื๊อ เรามักจะนึกถึง ‘พ่อ’ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ซึ่งเป็นภาพจำของขงจื๊อในสายตาของคนทั่วไป

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

ภาพวาด ขงจื๊อ จากปี 1727
(Photo: Public Domain provided by Unknown Author)

 

แต่จริง ๆ แล้ว ขงจื๊อไม่ได้พูดเพียงเรื่อง ‘พ่อกับลูก’ เท่านั้น เพราะขงจื๊อพูดถึง ‘ระบบสายสัมพันธ์’ (relations) สารพัดรูปแบบ เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงทุกระดับของชีวิตมนุษย์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง พ่อกับลูก สามีกับภรรยา พี่กับน้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกรวมเข้าไว้ในสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว

แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าครอบครัวในความหมายของขงจื๊อนั้น เป็น ‘ครอบครัวแบบจีน’ ซึ่งขงจื๊อให้ความสำคัญกับภาระผูกพันที่แต่ละคนมีต่อครอบครัว มากกว่าความเป็นปัจเจกบุคคลหรืออัตตา เพราะในกรอบคิดนี้ ‘ตัวตน’ ของเราไม่สำคัญเท่ากับ ‘ชุมชน’ หรือ ‘ครอบครัว’ ขงจื๊อให้ความสำคัญกับการควบคุมคนตามสายบังคับบัญชาหรือ ‘การควบคุมตามลำดับชั้น’ (hierarchical order) ตั้งแต่จากสวรรค์ลงมาจนถึงมนุษย์ 

ดังนั้น สิ่งที่แนวคิดแบบขงจื๊อตอกย้ำหรือส่งอิทธิพลอยู่ตลอดก็คือระบบลำดับชั้นนี้เอง ระบบที่ยืนยันความสำคัญของ ‘พ่อ’ หรือการสืบสายเลือดฝั่งพ่อ (Patrilineality) ในฐานะจุดศูนย์กลางของอำนาจภายในครอบครัวและในสังคมโดยรวม

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

ภาพวาดโบราณสะท้อนเรื่องความกตัญญูกตเวที (Filial piety)
จากในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty)
(Photo: Public Domain provided by Unknown Author)

 

‘ขงจื๊อใหม่’ ในเกาหลี

อิทธิพลของขงจื๊อที่มีต่อครอบครัวอย่างเข้มข้นนั้น แสดงออกชัดเจนที่สุดในสังคมเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสังคมที่เปลี่ยนผ่านระบบสายสัมพันธ์ครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยนับสายเลือดสองทาง (Bilateral System) หรือทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ในสมัยของราชวงศ์โครยอ (Goryeo) ก็เปลี่ยนมาเป็นพ่อเพียงฝ่ายเดียวในยุคสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในสมัยราชวงศ์โชซอน (Joseon) 

ในช่วงที่เกาหลีนับสายเลือดทั้งพ่อและแม่ ผู้หญิงจะมีสถานะทางสังคมที่ดี พวกเธอสามารถรับมรดกได้ สามารถหย่าร้างและแต่งงานใหม่ได้โดยไม่ถูกตีตราทางศีลธรรมใด ๆ แต่พอเมื่อวิถีชีวิตตามแนวคิดแบบขงจื๊อที่เข้ามาในช่วงราชวงศ์โชซอนก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เกาหลีรับขงจื๊อเข้ามาในภายหลังหรือ ไม่ได้เป็น ‘ของแท้’ ตั้งแต่เริ่มต้นเหมือนกับจีน ก็ทำให้เกาหลีเคร่งครัดและปฏิบัติในแนวคิดเหล่านี้เข้มข้นกว่าเดิม พวกเขาเลยกลายเป็น ‘Neo-Confucianism’ ที่หนักข้อขึ้นกว่าขงจื๊อเดิม — เหมือนกับ ‘Neo-Catholicism’ ในยุโรปมีความเคร่งศาสนากว่าคริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิม — เหมือนกับคนที่พยายาม ‘พิสูจน์ความแท้’ ของตนเอง ด้วยการยึดถือกฎระเบียบและศีลธรรมของขงจื๊ออย่างเคร่งครัดกว่าประเทศต้นแบบเสียอีกและนี่คือสิ่งที่มักเกิดขึ้นกับ ‘ผู้รับอิทธิพล’ ทั้งหลาย 

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

พิธีการแห่ศพในเกาหลีช่วงต้นศตวรรษที่ 20 
ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบขงจื๊อ
(Photo : Methodist Episcopal Church)

 

ญี่ปุ่น ‘ชายเป็นใหญ่’ จริงหรือ?

จากพลังของแนวคิดระบบนับสายเลือดทางฝ่ายพ่อและแนวคิดเรื่องลำดับชั้นก็แพร่ขยายต่อไปยังญี่ปุ่นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผ่านอิทธิพลของจีน ที่ส่งต่อทั้งระบบราชการ วัฒนธรรม และศาสนาความคิดไปพร้อมกัน

การสถาปนาอำนาจสายพ่อในญี่ปุ่นเกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุดในยุคเมจิ (Meiji Dynasty) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 นับเป็นช่วงเวลาที่อำนาจของฝ่ายพ่อได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ และระบบการนับสายเลือดผ่านฝ่ายพ่อถูกยกให้เป็นหลัก ขณะที่การนับสายเลือดผ่านฝ่ายแม่หรือฝ่ายหญิงสิ้นสุดลงอย่างชัดเจน

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก ภาพวาดเหตุการณ์ Haibutsu Kishaku กับการกวาดล้าง
พุทธศาสนาในยุคเมจิตามนโยบายบูรณะและรวชาติ
(Photo: Tanaka Nagane)

 

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้ายุคเมจิ ผู้หญิงในญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญมากในศาสนาชินโต โดยเฉพาะในระดับรากหญ้า หากแยกออกจากชินโตของชนชั้นนำ จะเห็นว่าชินโตของชาวบ้านนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘ผู้หญิง’ แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีกรรม การติดต่อกับผีบรรพบุรุษ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘คนทรง’ (Spirit Medium)

 

แต่เมื่อถึงยุคเมจิ สิ่งเหล่านี้ถูกกวาดล้างทั้งหมด 

 

เพราะการทำลายอำนาจทางจิตวิญญาณของผู้หญิง โดยเฉพาะเหล่าคนทรง หมอผี หรือสื่อกลางทางวิญญาณ ก็คือการทำลาย ‘อำนาจท้องถิ่น’ ไปพร้อมกัน เพราะเมจิคือยุคของการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่รัฐ และเพื่อให้รัฐมีศาสนา ‘ที่ถูกต้อง’ เพียงหนึ่งเดียว รัฐจึงต้องล้มล้างความเชื่อพื้นบ้านเหล่านี้ ด้วยการบอกว่า “มึงงมงาย!” ความเชื่อของชาวบ้านถูกมองว่าเป็น ‘สิ่งงมงาย’ เพราะตราบใดที่ผู้คนยังเชื่อในวิญญาณ ผี หรืออำนาจเหนือธรรมชาติจากท้องถิ่น รัฐก็ยังไม่สามารถควบคุมความคิดของพวกเขาได้

แน่นอนว่า มันไม่ใช่กระบวนการที่ง่ายเลย โดยเฉพาะในประเทศที่มีลักษณะเป็นหมู่เกาะอย่างญี่ปุ่น ถ้าไปสำรวจทางตอนใต้ของญี่ปุ่น พวกหมู่เกาะริวกิว (รวมถึงโอกินาวะที่เป็นส่วนหนึ่ง) จะเห็นร่องรอยของระบบนับสายเลือดทางแม่ยังคงอยู่ชัดเจน ในพื้นที่เหล่านี้ ระบบนับสายเลือดผ่านแม่ก็ยังมีให้เห็นอยู่

อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือกลุ่มคนพื้นเมืองทางตอนเหนือของญี่ปุ่นอย่าง ‘ไอนุ’ (Ainu) ซึ่งพวกเขาเป็นกลุ่มคนพื้นเมืองของญี่ปุ่น กระจายอยู่ตั้งแต่แถบชายฝั่งเหนือไล่ไปจนถึงฮอกไกโด พวกเขาเหล่านี้ก็นับสายเลือดผ่านผู้หญิง รวมทั้งพื้นที่หมู่เกาะคูริล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นของรัสเซีย ซึ่งมีชนพื้นเมืองไอนุอาศัยอยู่ และความเป็นอยู่ของพวกเขานั้น ผู้ชายไอนุที่แต่งงานแล้วจะไม่ได้ไปอยู่บ้านผู้หญิง แต่ถ้าอยากจะเจอภรรยาก็สามารถเดินไปหาได้ที่บ้าน บ้านเป็นของผู้หญิง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สามีต้องขออนุญาติภรรยาเสียก่อน 

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

กลุ่มชนพื้นเมืองไอนุ
(Photo: Torbenbrinker)

 

เวลากล่าวถึงญี่ปุ่น ภาพที่ตามมาคือสังคมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) แต่ถ้าลองไล่ลงไปตามภูมิภาค จะเห็นความหลากหลายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น ญี่ปุ่นเคยมีจักรพรรดิผู้หญิง พระธิดาคนโตของของราชวงศ์ในช่วงศตวรรษที่ 8 ก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ซึ่งทุกวันนี้ ญี่ปุ่นก็เริ่มหยิบยกประเด็นเหล่านี้มาพูดถึงมากขึ้น 

เพราะอะไร?

มันย้อนกลับไปสู่สิ่งที่ผมพูดไว้ตั้งแต่ตอนต้นของบทสนทนา (สามารถอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้ที่ ‘เมื่อคน WEIRD ครองโลก กับอำนาจของพ่อในสำนึกของโลก กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา’)  ถ้าคุณอยากให้ผู้ชายเลี้ยงลูกได้อย่างมีเหตุมีผล คุณก็ต้องสร้างความชอบธรรมให้กับมัน ต้องมีงานวิจัย ต้องมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มารองรับว่า ‘ผู้ชายก็เคยเลี้ยงลูก’ หรือ ‘ผู้หญิงก็เป็นผู้นำได้’ 

คำถามต่อมาคือ ญี่ปุ่นตอนนี้เผชิญกับปัญหาอะไร?

 

ใครจะเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป?

 

เมื่อเริ่มมีปัญหาเรื่อง ‘การสืบราชสันตติวงศ์’ ก็ทำให้ญี่ปุ่นย้อนกลับไปมองอดีตว่าบางสิ่งบางอย่างก็เคยเกิดขึ้นในอดีต พอเริ่มขุดดูในประวัติศาสตร์ ก็พบว่าญี่ปุ่นเคยมีจักรพรรดิผู้หญิงอยู่จริง เคยมีช่วงเวลาที่ผู้หญิงสามารถสืบทอดอำนาจได้อย่างชอบธรรม ดังนั้นจึงเริ่มมีการตั้งคำถามว่า จารีตที่ว่าจักรพรรดิจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น มันเป็นของญี่ปุ่นจริงหรือ? หรือแท้จริงแล้ว มันเป็นแนวคิดนำเข้าจากจีน?

จะเห็นได้ว่างานวิจัยต่าง ๆ ในปัจจุบันล้วนพยายามรื้อค้นอดีตเพื่อสร้างฐานความคิดใหม่ให้กับปัจจุบัน ว่าสังคมญี่ปุ่นในยุคก่อนก็ไม่ได้ผูกขาดอำนาจไว้ที่ผู้ชายเสมอไป 

 

จีนกับการนับสายเลือดผ่านแม่

เมื่อเราย้อนกลับ 6,000 ปีก่อนนั้น หลักฐานทางโบราณคดี เช่น การขุดค้นทางโบราณคดีที่สายตระกูล ‘บันโป’ (Banpo, 半坡) ในเขตซีอาน (Xi’an, 西安) เป็นสังคมที่นับสายเลือดทางแม่ ต่อมาก็มีการค้นพบทางโบราณคดีอีกว่าในหลุมโบราณคดีในเขตซานตง (Shandong, 山东省) เมื่อ 4,500 ปีที่แล้วก็มีชุมชนที่นับสายเลือดผ่านแม่ ที่สะท้อนผ่านวิธีการฝังศพว่าข้าวของเครื่องใช้และของมีค่าที่ถูกฝังไปกับศพของเพศใดมากกว่ากัน 

 

จาก ‘ลัทธิขงจื๊อ’ ถึง ‘ยุคเมจิ’ กับการสถาปนาอำนาจของ ‘พ่อ’ แห่งโลกตะวันออก

การขุดค้นทางโบราณคดีในเขตซีอาน
(Photo: Bairuilong)

 

เพราะฉะนั้นเราก็สามารถเห็นได้ว่าแม้แต่จีนเอง เมื่อย้อนกลับไปก็ไม่ได้เป็นสังคมของผู้ชายตั้งแต่แรกเริ่ม

 

แล้วการนับญาติสายผู้ชายท่านได้แต่ใดมา?