ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

The Hidden Dilemma Special กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ที่ว่าด้วยเรื่องอิทธิพลของพระเจ้าที่อยู่บนฟ้ากับบทบาทของเพศในคริสต์ศาสนา

เทพเจ้าพระองค์นี้ไม่เพียงส่องแสง แต่ยังสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้บนโลก เป็นผู้ปกป้องและเฝ้ามองจากเบื้องบน ลองเปรียบเทียบดู ถ้าคุณนับถือ ‘ผีบรรพบุรุษ’ การที่คุณย้ายไปอาร์เจนติน่าก็ลำบากแล้วนะ เพราะเขาคงไม่ได้ไปกับคุณด้วย

บนโลกใบนี้มีเทพพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย ขึ้นอยู่กับศาสนาและความเชื่อของสังคมนั้น ๆ เทพพระเจ้าจากแต่ละความเชื่อก็ล้วนมีสิ่งที่ยึดโยงหรือสถิตอยู่ในอาณาบริเวณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ผืนแผ่นดิน สายน้ำ ป่า หรือแม้แต่เครื่องดื่มบางชนิด ทว่าภาพจำของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และมีอำนาจมากที่สุดล้วนอยู่บนท้องฟ้า

การที่พระเจ้าผู้ทรงอำนาจอาศัยอยู่บนท้องฟ้าไม่เพียงสะท้อนถึงความสูงส่งและการอยู่เหนือสรรพสิ่งทางโลก แต่ยังส่งอิทธิพลสำคัญให้กับมนุษย์เดินดินกล้าออกเดินทางไปทั่วทั้งโลก อีกทั้งยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการสถาปนาอำนาจของผู้ชายทั้งในทางศาสนาและสังคม

เมื่อโปรเตสแตนต์ขึ้นมามีอิทธิพลอำนาจของผู้หญิงก็ลดลงเรื่อย ๆ เพราะเมื่อไม่มีพระนางมารีย์อยู่ในระบบความเชื่อ ศาสนาก็กลายเป็นพื้นที่ของผู้ชายอย่างสมบูรณ์

ในขณะเดียวกับที่อำนาจของผู้ชายที่สถาปนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งในศาสนา ผนวกกับการแผ่ขยายไปของโลกอาณานิคม บทบาทของผู้หญิงในแต่ละสังคมก็เริ่มถดถอยลงไป ดังที่เคยกล่าวถึงไปในตอนก่อน ๆ เรื่องการจัดระเบียบสังคมและครอบครัวจากแนวคิดของคริสต์ศาสนา แต่การกำเนิดขึ้นของนิกายโปรเตสแตนต์ยิ่งทวีคูณควาถดถอยนี้ โดยเฉพาะเมื่อพระนางมารีย์ถูกลบหายออกไป

ใน The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษคราวนี้ อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา จะเล่าถึงเรื่องราวควาเป็นมาของพระเจ้าแห่งฟากฟ้าที่สัมพันธ์ต่ออำนาจของผู้ชายในสังคม ไปจนถึงบทบาทของผู้หญิงในคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะกับนิกายโปรเตสแตนต์ ที่เป็นหนึ่งในอิทธิพลสำคัญต่อการเกิดขึ้นของนวนิายอย่าง ‘The Da Vinci Code

- ลำดับต่อไปคือถ้อยคำของอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -

 

ทำไมพระเจ้า
ถึงอยู่บนฟ้าและเป็นผู้ชาย?

หากย้อนกลับไปดูในกลุ่มคนที่เรียกว่า ‘Proto-Indo-European’ กลุ่มชนเร่ร่อน (Nomad) ที่กระจายตัวอยู่ในทุ่งหญ้าสเตปป์ (Steppe) บริเวณคาซัคสถานตอนเหนือ อ้างอิงตามหลักฐานทางโบราณคดี คนกลุ่มนี้คือผู้ที่เริ่ม domesticate ม้า หรือใช้ม้าเป็นสัตว์พาหนะเป็นกลุ่มแรก ๆ ของโลก และสิ่งนี้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างมหาศาล

ในมุมของนักโบราณคดี เขามักอธิบายว่า เมื่อมนุษย์เริ่มขี่ม้าได้ มนุษย์ก็เริ่มมี ‘พื้นที่’ ที่เคลื่อนย้ายไปกับตนเองได้ โลกของเขาไม่จำกัดอยู่กับผืนดินเฉพาะแห่งอีกต่อไป และเทพเจ้าของพวก Proto-Indo-European ที่มีนาว่า ‘Dyēus’ ก็สะท้อนสิ่งนั้น เทพเจ้าของพวกเขามักเป็นเทพแห่งแสงสว่างหรือเทพเจ้าผู้ชายบนฟากฟ้า (Sky Father) ไม่ได้อยู่บนดิน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ ‘พระแม่ธรณี’ หรือ ‘พระแม่คงคา’ 

เพราะฉะนั้น พระเจ้าของพวกเขาอยู่บนฟากฟ้า อยู่เหนือพื้นดิน และเมื่อพวกเขาเดินทางไปไหน ก็มีพระเจ้าตามไปด้วยเสมอ

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพวาด God the Father (1510-1517) โดย Cima de Conegliano
(Photo: Public Domain)

 

ถ้าคุณเคารพแม่นากพระโขนง แม่นากพระโขนงไม่เคยไปสามย่านนะ ลองนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเจ้าป่าเจ้าเขาต่าง ๆ ที่ผูกติดอยู่กับ ‘พื้นที่’ สิ่งเหล่านี้เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘Territorial-based’ มาก ไปไหนไม่ได้ ถ้าคุณเป็นเทพเจ้าแห่งพื้นดินแล้วไปเจอแม่น้ำหรือทะเล แล้วจะไปยังไงต่อ?

แต่ถ้าคุณเป็นเทพเจ้าแห่งฟากฟ้า ไม่ว่าจะแห่งหนใดคุณก็ไปได้ทั้งสิ้น

 

ที่สำคัญไปกว่านั้น เทพ Dyēus เป็นเพศชาย

 

อีกทั้งคำว่า ‘Dyēus’ ยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า Divine, Diva, Deity, Deus หรือแม้แต่คำว่า Day ไปจนถึงภาษาสันสกฤตที่กลายมาเป็นคำว่า ‘เทวะ’ (Deva)

นี่คือจุดเริ่มต้นของเทพเจ้าที่ทรงอำนาจมาก สามารถไปไหนมาไหนก็ได้ และพวกเขาเป็น ‘ผู้ชาย

Dyēus คือเทพเจ้าผู้ส่องสว่างบนฟากฟ้า ซึ่งเป็นรากความเชื่อสำคัญของอารยธรรมโปรโต-อินโด–ยูโรเปียน คุณจะเห็นได้ว่าในระบบความเชื่อนี้จะไม่มีเทพเจ้าที่อยู่ในความมืด เพราะความมืดถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะที่แสงคือความดี ความบริสุทธิ์ และความศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศาสดาหรือบุคคลสำคัญทางศาสนา ภาพของพวกเขาในงานจิตรกรรมจึงมักถูกห่อหุ้มด้วย ‘รัศมีแห่งแสง’ ที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย หรือเป็นวงอัลมอนด์ล้อมรอบทั้งตัว ราวกับจะบอกว่าแสงนั้นคือพลังของพระเจ้าและอำนาจของเพศชาย

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพวาด The Transfiguration (1520) โดย Raphael 
(Photo: Public Domain)

 

อารยธรรมของกลุ่มชนที่นับถือเทพเจ้าบนฟากฟ้าเช่นนี้ ซึ่งพูดภาษากลุ่มโปรโต-อินโด–ยูโรเปียน เราจะพบตั้งแต่เปอร์เซีย กรีกโบราณ ไล่ไปจนถึงยุโรป ทั้งหมดต่างมีเทพผู้ชายบนฟากฟ้าที่ครอบคลุมทุกสิ่ง

เทพเจ้าพระองค์นี้ไม่เพียงส่องแสง แต่ยังสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้บนโลก เป็นผู้ปกป้องและเฝ้ามองจากเบื้องบน ลองเปรียบเทียบดู ถ้าคุณนับถือ ‘ผีบรรพบุรุษ’ การที่คุณย้ายไปอาร์เจนติน่าก็ลำบากแล้วนะ เพราะเขาคงไม่ได้ไปกับคุณด้วย แต่ถ้าคุณมีเทพเจ้าบนฟ้าคุณไปที่ไหน ท่านก็ไปด้วยได้

เพราะฉะนั้น การมีเทพเจ้าผู้ชายอยู่บนฟากฟ้าแบบนี้ จึงหล่อหลอมให้วิถีชีวิตของผู้คนพร้อมจะเคลื่อนที่ พร้อมจะขยายอำนาจออกไปเรื่อย ๆ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ พร้อมจะแพร่ขยายดีเอ็นเอของผู้ชายไปทั่วทุกพื้นที่ของโลก

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพวาด Jupiter and Thetis (1811) โดย Jean Auguste Dominique Ingres 
(Photo: Public Domain)

 

อำนาจของพ่อ
ในศาสดาเอกของโลก

ศาสนาอย่างยิว–คริสต์เอง ก็เป็นศาสนาที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกัน คุณจะเห็นได้ว่าศาสดาเอกของโลกก็เป็น ‘ผู้ชาย’ และพระเจ้าของพวกเขาก็เป็นพระเจ้าที่จริงและถูกต้องที่สุด หมายความว่าของคนอื่นเป็นของปลอมทั้งหมด

ดังที่สะท้อนผ่านประโยคอย่าง  “In the name of the father” ซึ่งก็เป็นตัวอย่างอำนาจของพ่อ และพระเจ้าของเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมาท้าทาย แต่ก็เป็นเรื่องตลกเพราะเมื่อคุณบอกว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาท้าทาย  นั่นก็หมายความว่า “In the name of the father” ฉัน (พ่อ) ก็ไม่ต้องการให้คุณมาท้าทายอำนาจฉัน ในครอบครัวระบบนับญาติผ่านผู้ชาย คุณจะไปท้าทายอำนาจของพ่อคุณได้อย่างไร

 

แต่ก็เป็นเรื่องตลกที่สิ่งนี้ถูกท้าทายมาโดยตลอด

ไม่มีใครเชื่ออำนาจของพ่อ

 

แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิล ก็เห็นตัวอย่างชัด พระเจ้าสั่งไว้ชัดเจนว่า “อย่ากินผลไม้ต้องห้าม” แต่สุดท้าย อดัมกับอีฟก็กิน

และถ้าคุณรู้จัก ‘ปมโอดิปัส’ (Oedipus complex) จากแนวคิดของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จะเห็นได้ว่าโอดิปัสไม่ใช่แค่ไม่เชื่อฟัง แต่ยังฆ่าพ่อของตัวเองด้วยซ้ำ 

เพราะฉะนั้นการคัดง้างกันกับอำนาจของพ่อก็หลอกหลอนสังคมเหล่านี้มาโดยตลอด เพราะอำนาจของพ่อดันมีอำนาจมากเหลือล้น จึงมีคนที่เกิดความรู้สึกอยากท้าทายหรือยกเลิกอำนาจนี้ 

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพวาด Adam and Eve โดย Workshop of Lucas Cranach
(Photo: Public Domain)

 

พระนางมารีย์ที่หายไป

คริสต์ศาสนาเองก็ยืนยันอำนาจของพ่อไว้อย่างชัดเจนผ่าน พระบิดา พระบุตร และพระจิต พระเยซูคือพระบุตร ส่วนพระบิดาก็คือพระเจ้า แต่ในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก (Catholic) มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากโปรเตสแตนต์ (Protestant) นั่นคือ ‘พระนางมารีย์’ (Virgin Mary) (ผู้เป็นตัวแทนของความเมตตา ความบริสุทธิ์ และความเป็นแม่ พระนางมารีย์คือผู้หญิงคนเดียว ที่ยังคงมีที่ยืนในโครงสร้างศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา)

ทว่าเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนา (Reformation) โดย มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรเตสแตนต์ได้ตัดพระนางมารีย์ออกจากระบบความเชื่อ 

นำไปสู่สงครามยืดเยื้อยาวนานในยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16–17 นักประวัติศาสตร์บางคนเรียกช่วงนี้ว่า Long Reformation กินเวลาตั้งแต่ราวปี 1450 ถึง 1750 ที่เปลี่ยนแปลงยุโรปมหาศาล เพียงแค่สงครามศาสนาในฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวที่ยาวนานถึง 36 ปี ก็มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 ล้านคนแล้ว

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพโมเสกศตวรรษที่ 6 ของพระนางมารีย์บนบัลลังก์ 
ภายในมหาวิหารซานตามอปโปลินาเร นูโว เมืองราเวนนา ประเทศอิตาลี 
(Photo: Public Domain)
 

เมื่อโปรเตสแตนต์ขึ้นมามีอิทธิพลอำนาจของผู้หญิงก็ลดลงเรื่อย ๆ เพราะเมื่อไม่มีพระนางมารีย์อยู่ในระบบความเชื่อ ศาสนาก็กลายเป็นพื้นที่ของผู้ชายอย่างสมบูรณ์ พร้อมกันนั้น รัฐเองก็เริ่มมีบทบาทเหนือศาสนา อำนาจของกษัตริย์และกฎหมายเริ่มขยายตัว พระสันตะปาปาไม่อาจท้าทายอำนาจของรัฐได้เหมือนเดิม

ภาพที่ชัดเจนที่สุดคือเหตุการณ์เมื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ต สวมมงกุฎให้ตัวเอง เป็นสัญลักษณ์ของยุคที่อำนาจทางโลกเหนือกว่าศาสนาโดยสมบูรณ์

เมื่อศาสนาเริ่มไม่ยอมรับอำนาจของผู้หญิง นับตั้งแต่การปฏิเสธพระนางมารีย์ในยุคปฏิรูปศาสนา สิ่งที่ตามมาก็คือการเพิ่มอำนาจของพ่อ เพิ่มอำนาจของพระเยซูให้สูงสุด ไม่มีใครสามารถแข่งขันหรืออยู่ในระดับเดียวกันได้อีกต่อไป

แต่การลบภาพของพระนางมารีย์ออกจากศาสนา ไม่ได้หยุดอยู่แค่เชิงสัญลักษณ์ มันนำไปสู่ความรุนแรงจริงในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาที่เรารู้จักกันในชื่อว่า ‘ยุคล่าแม่มด’ (Witch Hunt)

นี่คือช่วงที่ผู้หญิงจำนวนมหาศาลถูกกล่าวหาว่า ‘นอกรีต’ หรือ ‘งมงาย’ ถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มด ไม่ว่าจะเป็นหมอพื้นบ้าน คนทรง คนเจ้าพิธีกรรม หรือผู้หญิงที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบของศาสนาและผู้ชาย สิ่งเหล่านี้คือการฆ่าอำนาจของผู้หญิง และสถาปนาอำนาจของผู้ชายในทางศาสนาให้โดดเด่นและบริสุทธิ์มากขึ้น

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ภาพวาด The Witch No. 1
(Photo: Public Domain)

 

จากความรักของพระเยซู
ถึงนวนิยายของ แดน บราวน์

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ ในคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิกเราก็จะรู้กันว่าพระนั้นแต่งงานไม่ได้ (แน่นอน ความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้นทั้งหมด มีพระหรือแม้แต่พระสันตะปาปาหลายองค์ที่มีลูกลับ ๆ) จนเมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ขึ้นมาปฏิรูปศาสนา เขาก็แก้ปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมาผ่านการให้พระแต่งงานได้ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โปรเตสแตนต์แยกตัวออกมาอย่างชัดเจนจากคาทอลิก

แนวคิดนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อที่ว่า พระเยซูเองก็เคยมีความรัก แต่งงานกับ มารีย์ มักดาลีน (Mary Magdalene) และมีลูกด้วยกัน โดยความเชื่อนี้ยังดำรงอยู่มาจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนจะถูกตีแผ่ในหนังสือชื่อ ‘The Holy Blood and the Holy Grail’ (1982) โดย ไมเคิล ไบเจนท์ (Michael Baigent), ริชาร์ด ลีห์ (Richard Leigh) และเฮนรี ลินคอล์น (Henry Lincoln) ที่ต่อมา แดน บราวน์ (Dan Brown) ก็นำแนวคิดนี้ไปขยายต่อเป็นนิยาย ‘The Da Vinci Code’ 

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

The Holy Blood and the Holy Grail (1982)

 

ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา
The Da Vinci Code (2003)

 

เมื่อนิกายโปรเตสแตนต์ขยายอิทธิพลมากขึ้นผู้หญิงก็ต้องแต่งงานอยู่ในครอบครัว เพราะพระนางมารีย์ไม่มี มันก็ส่งผลต่อการที่พวกเขาไม่ต้องการให้ ‘แม่ชี’ มีบทบาทในศาสนา เมื่อก่อนนี้ คนที่เป็นแม่ชีนั้นไม่ใช่ชาวนา แต่จะเป็นลูกของชนชั้นสูงนอกจากนั้น ในอดีต เมื่อแต่งงานผู้หญิงก็ต้องเอาทรัพย์สินไปให้ผู้ชาย 

แล้วถ้าคุณเป็นลูกสาวคนที่สอง ที่สาม หรือที่สี่ของตระกูล พ่อคุณจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นสินสอดให้ทุกคนแต่งงานหมด? การเป็นแม่ชีในคอนแวนต์จึงเคยเป็นทางรอดที่ยังคงเกียรติและฐานะไว้ได้

แต่เมื่อโปรเตสแตนต์เข้ามา ระบบนี้ถูกลบออกไป ผู้หญิงไม่มีคอนแวนต์ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก ‘ต้องแต่งงาน’ และเมื่อแต่งงานแล้ว เธอก็ต้องทำหน้าที่เป็นแม่ ระบบจึงบังคับโดยอ้อมให้ผู้หญิงต้องอยู่ในกรอบของครอบครัว และนั่นยิ่งทำให้อำนาจของผัว และอำนาจของพ่อในสังคมโปรเตสแตนต์ เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม

คุณไม่มีทางรอดเลยตอนนี้ โปรเตสแตนต์ทำให้ช่องทางที่ผู้หญิงจะอุทิศตัวเองให้ศาสนาจบลง ดังนั้นผู้หญิงจึงถูกบีบให้เหลือหน้าที่เดียวที่เธอสามารถทำได้ คือการเป็น ‘เมียที่ดี

 

 

สำนึกแบบปัจเจก
กับนิกายโปรเตสแตนท์

นิกายโปรเตสแตนต์เนี่ย สิ่งที่มันสำคัญที่สุดคือหลัก ‘sola scriptura’ หรือการเชื่อในพระคัมภีร์เท่านั้น พระคัมภีร์คือสิ่งสูงสุด คุณอ่านพระคัมภีร์เอง ไม่ต้องผ่านพระหรือศาสนจักรเหมือนในคาทอลิก 

เพราะฉะนั้นคุณลองนึกภาพดูนะครับว่าในสมัยก่อน ใครจะอ่านภาษาละตินได้ ถ้าไม่ใช่พระหรือคนชนชั้นสูง แน่นอนว่าสิ่งที่โปรเตสแตนต์ทำ คือมาร์ติน ลูเธอร์ แปลพระคัมภีร์จากภาษาละตินให้เป็นภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษาเยอรมัน

แต่ถ้าแปลเป็นภาษาเยอรมัน แล้วชาวนาที่ไหนจะอ่านรู้เรื่อง ย้อนกลับไป 500 ปี ในดินแดนสยาม ชาวบ้านธรรมดาจะอ่านออกได้อย่างไร ผมเชื่อมั่นเลยว่าไม่มีสิทธิ์ ก็ต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้น

เมื่อการอ่านออกเขียนได้ของผู้หญิงนั้นมาทีหลัง สิ่งนี้จึงได้เพิ่มอํานาจให้กับผู้ชาย อีกทั้งยังสร้างแนวคิดว่าพวกเขาไม่ต้องพึ่งพระอีกต่อไป เพราะสามารถติดต่อโดยตรงกับพระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยตนเอง

เพราะฉะนั้นก็ทําให้คนโปรเตสแตนต์เนี่ย มีความเป็นปัจเจก (individualism) มากขึ้น ฉันไม่ต้องพึ่งพาใคร ฉันอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยตัวเอง สํานึกแบบปัจเจกก็เริ่มชัดมากขึ้น นอกจากนั้นสายสัมพันธ์ทางสายเลือดก็สําคัญน้อยลง เพราะฉันนั้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ดังคำกล่าวว่า “God be with you” หรือจะ “The Force be with you” ก็ได้นะ

เมื่อก่อนในสังคมเกษตร การทำนาหนึ่งครั้งต้องใช้แรงงานขนาดไหน พลังงานมหาศาล ข้าวสาลีอะไรต่าง ๆ ทำคนเดียวไม่ไหวหรอก ก็ต้องมีการลงแขกเกี่ยวข้าว ต้องมีทั้งชุมชนมาช่วยกัน ทุกคนอยู่ได้ด้วยการช่วยกันและกัน เพราะฉะนั้นเมื่อก่อน เลือดถึงได้ข้นกว่าน้ำ โลกแบบนั้นมันคือโลกแห่งสายสัมพันธ์ โลกของครอบครัว โลกของชุมชน

แต่โลกของพวกเราทุกวันนี้ โลกแห่งปัจเจก มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว เลือดไม่ข้นกว่าน้ำอีกต่อไป เพราะครอบครัวหรือเครือญาติไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น คุณมีบัตรเครดิต คุณมี GDP คุณมี AI คุณมีทุกอย่างที่ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งพาใครทั้งสิ้น

คุณอยู่บ้าน ก็กดโทรศัพท์เรียกแกร็บ ส่งของ ส่งงาน คุยกับใครก็ได้โดยไม่ต้องออกไปเจอใครเลย คุณไม่จำเป็นแม้กระทั่งจะต้องพูดกับคนอีกต่อไปด้วยซ้ำ