11 ต.ค. 2568 | 17:00 น.
“การรับรู้ของพวกเรานั้นน่ากลัว
เพราะเราเอาต้นแบบการศึกษาวิจัยต่าง ๆ
จากสังคมตะวันตกเป็นตัวตั้ง”
ฃท่ามกลางโลกที่ปลกคลุมไปด้วยสังคมที่นับสายเลือดผ่านพ่อและมนุษย์เพศชายถือครองอำนาจสำคัญในสังคม ก็ยังมีสังคมอีกไม่น้อยที่นับสายเลือดผ่านแม่หรือ ‘หญิงเป็นใหญ่’ หรือแม้แต่ไม่มีบทบาทของ ‘พ่อ’ ที่ถูกกำหนดอย่างเฉพาะเสียด้วยซ้ำ
[ สามารถอ่านเรื่องราเหล่านี้ได้ในบทความ ‘ผู้หญิง’ ในโลกของ ‘ผู้ชาย’ จากการนับสายเลือดถึงคุณค่าความบริสุทธิ์ กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ]
ในเนื้อหาส่วนนี้ อาจารย์ธเนศได้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สังคมสยามในอดีต ประชาชนระดับชาวบ้านก็การนับสายเลือดแบบระบบสองทาง ก่อนที่จะมีพระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ. 2456 ที่ทำให้การรับญาติผ่านฝ่ายชายกลายเป็น ‘กฎหมาย’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าอำนาจของพ่อหาได้ถูกมอบให้ในรากของธรรมชาติ หากแต่เป็นการสถาปนาขึ้นเฉพาะในสังคมนั้น ๆ
อิทธิพลสำคัญที่ตีแผ่แนวคิดเหล่านี้ก็คงหนีไม่พ้นสังคมตะวันตกที่มีการนำเสนอแนวคิดหรืองานวิจัยที่จะบ่งชี้ความสำคัญของ ‘พ่อ’ ต่อครอบครัวและลูก จนกลายเป็นแนวคิดกระแสหลักที่ถูกส่งผ่านมาในระบบการศึกษา จากกลุ่มคนที่ โจเซฟ เฮนริก นิยามเขาเหล่านี้ว่า ‘WEIRD’ ที่ได้เผยแพร่แนวคิดของตนผ่านงานวิจัยและการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อสำนึกของผู้คนไปทั่วทั้งโลก
- ลำดับต่อไปคือถ้อยคำของ อาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า แนวคิดเรื่องการสืบสายเลือดผ่านพ่อ (Patrilineality) จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความสำคัญของพ่อ ทรัพย์สินก็ตกอยู่กับฝ่ายชาย ลูกสาวไม่มีความสําคัญเพราะคุณจะกลายเป็นสมาชิกของบ้าน ‘คนอื่น’ จะเห็นได้ชัดเจนมากในวัฒนธรรมจีน แล้วต่อมาสังคมตะวันตกก็พัฒนาแนวคิดในการที่จะให้ลูกคนโตรับทรัพย์สมบัติ (Primogeniture) ก็เกิดขึ้นในสมัยยุคกลาง จึงทําให้โครงสร้างของสังคมและทรัพย์สินของสังคมตะวันตกไม่แตกตัว กระจุกอยู่ที่เดียวโดยไม่หายไปไหน
ถ้านับอินเดีย บางสังคมในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ไปจนถึงยุโรป ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ภาษาเปอร์เซีย เหล่านี้คือภาษาอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European languages) ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสังคมเหล่านี้ก็จะนับญาติสายผู้ชาย นับถือคริสต์ศาสนา คนผิวขาว และคนอินเดียเหนือ ถึงแม้ว่าจีนจะไม่ได้ใช้ภาษาอินโดยูโรเปียน แต่จีนก็นับญาติสายผู้ชาย ดังนั้นในดินแดนบริเวณนี้ก็จะมีสองวัฒนธรรมใหญ่ ๆ ที่นับญาติสายผู้ชาย ซึ่งคือจีนและอินเดียเหนือ (ซึ่งก็เป็นฝั่งของอินเดียที่มีอิทธิพลต่อประเทศอินเดียมากกว่าอินเดียใต้)
เมื่อกล่าวถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสังคมสยาม (Siamese Society) ที่อยู่ระหว่างจีนและอินเดียเหนือ ก็จะนับสายเลือดแบบระบบสองทาง (Bilateral) ทว่าเพียงระดับชาวบ้านเท่า เพราะสำหรับชนชั้นสูงก็จะนับสายเลือดผ่านผู้ชาย โดยจะสามารถเห็นได้ชัดว่าชาวบ้านฝ่ายชาย เมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่ที่บ้านผู้หญิง (Matrilocal) ผู้ชายเหล่านั้นก็จะต้องเข้าไปเป็นแรงงานของครอบครัว และกลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เจ้า’ บวก ‘บ่าว’
จะเห็นได้ว่าผู้หญิงคือ ‘เจ้าสาว’ แต่ผู้ชายคือ ‘เจ้าบ่าว’
ในหลายสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าคุณตัดคําว่าประเทศจีนออกไป แล้วลองคิดว่าไม่มีเขตแดน สังคม ‘มูซู’ (Mosuo, 摩梭 ; สังคมนับญาติสายผู้หญิงที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของยูนนาน ประเทศจีนดังที่กล่าวถึงไปบทความก่อนหน้า) ถ้าคุณเคยดูหนังจีนกำลังภายใน ก็จะมีกลุ่มคนที่อยู่นอกกำแพง หรือคนจากแดนใต้อะไรเหล่านั้น ไล่มาจนถึงภาคเหนือ ภาคอีสาน ถึงแม้ว่าในสังคมเหล่านี้จะไม่มีความชัดเจนนักว่าเป็นการนับสายเลือดผ่านฝ่ายแม่หรือฝ่ายพ่อ แต่ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ระบบสายสัมพันธ์ในภูมิภาคนี้มักนับทั้งสองทาง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสังคม ‘จาม’ (Chams) ในเวียดนามตอนใต้ ที่ยังคงนับสายเลือดผ่านฝ่ายหญิง รวมถึง ‘มินังกะเบา’ (Minangkabau) ในอินโดนีเซีย ซึ่งก็มีลักษณะของสังคมที่ยึดโยงกับเพศหญิงเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ได้ยึดถือระบบผู้ชายเป็นใหญ่ตั้งแต่แรกเริ่ม
อย่างไรก็ตาม การสถาปนาของอำนาจของผู้ชายในการนับสายเลือดในสังคมสยามเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อมีการประกาศ ‘พระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ. 2456’ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การนับสายเลือดผ่านฝ่ายชายถูกทำให้เป็น ‘กฎหมาย’ อย่างเป็นทางการ และถ้าคุณไปดูในพระราชบัญญัตินามสกุลก็จะเห็นว่าเป็นชนชั้นนำทั้งนั้น ไม่ใช่ชาวบ้าน
ในสังคมที่นับสายเลือดผ่านผู้ชาย ‘ความเป็นพ่อ’ จึงแยกไม่ออกจาก ‘อำนาจ’ หากนึกไม่ออก ไม่ต้องมองอะไรไกลตัวเลย ลองดูคำว่า Dominion (อำนาจปกครอง), Dominium (อาณาจักร) หรือ Condominium ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากรากเดียวกันคือ ‘domus’ ซึ่งหมายถึง ‘บ้าน’ หรือ ‘พื้นที่’ ของผู้ชาย โลกที่มีคำเหล่านี้อยู่ คือโลกที่สร้างขึ้นจากอำนาจของเพศชาย โลกที่ ‘พ่อ’ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้ชีวิต แต่เป็น ‘ผู้ควบคุมพื้นที่’ และ ‘ผู้ครอบครองอำนาจ’
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าความเป็นพ่อกลายเป็นประเด็นใหญ่ในวิธีคิดของโลกตะวันตก จนถึงขั้นตั้งคำถามว่า
“ถ้าไม่มีพ่อแล้วจะอยู่กันอย่างไร?”
เหตุผลก็เพราะ ‘พ่อ’ ถูกทำให้เป็นตัวแทนของ authority เป็นอำนาจในการควบคุมและจัดระเบียบ ทั้งในระดับครอบครัวและทรัพย์สินที่สืบทอดต่อกันมา ความคิดแบบนี้ฝังลึกในวัฒนธรรมตะวันตกจนกลายเป็นกรอบที่กำหนดบทบาทของพ่อและแม่ไปโดยปริยาย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเรามักจะได้ยินคำพูดอย่าง “พ่อแม่อย่าหย่ากันเลยนะ” หรือคำถามที่ว่า “ใครจะดูแลลูก?” เพราะในกรอบคิดนี้ พ่อคือผู้มีหน้าที่อบรมวินัยและควบคุมระเบียบของลูก เป็นศูนย์กลางของความมั่นคงทางอำนาจในครอบครัว
เพราะฉะนั้น คุณจะสังเกตได้ว่ามีแนวคิดหนึ่งที่แพร่กระจายอยู่ในสังคม ในวงการจิตวิทยาไทย หรือแม้แต่ในคำพูดทั่วไปที่เรามักได้ยินกันอยู่เสมอ นั่นคือความเชื่อที่ว่า “ถ้าพ่อแม่หย่าร้างกัน” หรือ “ถ้าเด็กเติบโตโดยไม่มีพ่อ” ชีวิตของเขาจะต้องมีปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงเมื่อโตขึ้นโดยไม่มีพ่อก็จะถึงวัยเจริญพันธุ์เร็ว และมีแนวโน้มตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (teenage pregnancy) หรือแต่งงานและมีลูกเร็ว ในขณะที่เด็กผู้ชายก็จะโตช้าทั้งในแง่ความคิดและความรับผิดชอบ
สิ่งเหล่านี้คือภาพจำที่ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคม จนกลายเป็นความจริงชุดหนึ่ง
แต่คำถามที่สำคัญคือ ‘ความจริง’ ที่ว่านี้
จะยังถูกใช้อยู่หรือเปล่าในสังคมที่ ‘ไม่มีพ่อ’?
การรับรู้ของพวกเรานั้นน่ากลัวเพราะเราเอาต้นแบบการศึกษาวิจัยต่าง ๆ จาก สังคมตะวันตกเป็นตัวตั้ง เป็นรากฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยของประเทศเรา
เพราะฉะนั้น เมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว ก็มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่สำคัญมาก โดย ‘โจเซฟ เฮนริก’ (Joseph Henrich) กับคณะ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Behavioral and Brain Sciences งานชิ้นนี้พูดถึงคุณลักษณะของกลุ่มคนและงานวิจัย โดยเฮนริกเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า ‘WEIRD’ ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า Western, Educated, Industrialized, Rich, and Democratic
และคำว่า ‘weird’ เองก็แปลว่า ‘แปลกประหลาด’ ด้วย เฮนริกจึงตั้งข้อสังเกตเชิงประชดว่า “คนยุโรปและอเมริกันที่งานวิจัยเหล่านี้ศึกษาอยู่ แท้จริงแล้วเป็นคนประหลาด” โดยต่อมา เฮนริกย้ายมาสอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และได้ขยายแนวคิดนี้ต่อในหนังสือของเขาในชื่อ ‘The Weirdest People in the World’
The Weirdest People in the World
by Joseph Henrich
ปฏิเสธได้ยากว่าสิ่งเหล่านี้ (งานวิจัยจากสังคมตะวันตก) หรือ ‘ความประหลาด’ ที่เฮนริกพูดถึง กลายมาเป็น มาตรฐานของโลกสมัยใหม่ เราทุกคนถูกฝึกให้มองผ่านกรอบของสังคมตะวันตกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแนวคิดที่สอดไส้มากับงานวิจัยเหล่านี้ที่ถูกยึดถือก็คือการนับญาติสายผู้ชาย ที่ผู้หญิงจะถูกคุมเข้มในด้านต่าง ๆ
ในขณะเดียวกัน เรามักไม่เคยเอามูซูหรือสังคมอื่น ๆ ที่นับสายผู้หญิงเป็นตัวตั้งในการอธิบายเรื่องครอบครัวหรือบทบาทของพ่อแม่เลย ทั้งที่สังคมเหล่านี้ให้ภาพอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง — ภาพที่ ‘พ่อ’ ไม่ใช่ศูนย์กลางของสรรพสิ่งเสมอไป.
สามารถติดตาม The Hidden Dilemma Special กับอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ตอนต่อไปได้เร็ว ๆ นี้ที่ The People