01 ต.ค. 2568 | 17:00 น.
ไม่นานมานี้ ภาพยนตร์ The Materialist (2025) ของ เซลีน ซง (Celine Song) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของแม่สื่อบนแพลตฟอร์มหาคู่ที่ต้องเผชิญหน้ากับทาง (ต้อง) เลือกของความรัก ระหว่างชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและกายภาพ กับชายอีกคนที่มีเพียงหัวใจจริงแท้มอบให้
หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังสือสองเล่มที่ทั้งกำลังอ่านอยู่พอดีและเล่มที่อ่านจบไปนานแล้ว ซึ่งก็คือ ‘Freakonomics’ โดย ‘สตีเฟน เจ. ดับเนอร์’ (Stephen J. Dubner) และ ‘สตีเวน เลวิตต์’ (Steven Levitt) และ ‘ทำไมต้องตกหลุมรัก?’ โดย ‘สรวิศ ชัยนาม’ ซึ่งต่างชวนคิดถึงแง่มุมของความรัก โดยเฉพาะเมื่อมีแพลตฟอร์มหาคู่ (dating sites) เข้ามาเป็นสื่อกลางแห่งรักอย่างน่าสนใจ
ใน The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้ เราจะชวนสำรวจว่าพอหัวใจก้าวเข้าสู่ ‘ตลาด’ ความรักจะถูกมองอย่างไร จากปัญหาเรื่องข้อมูลไม่สมมาตรบนแพลตฟอร์มหาคู่ ไปจนถึงแรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ถูกตีค่าเป็นสมการต้นทุนและผลตอบแทน โยงมาถึงคำถามที่บาดิอูว์เคยตั้งไว้ว่า ทำไมเราต้องตกหลุมรัก และ ‘รักแท้’ ยังมีที่ยืนตรงไหนท่ามกลางตัวเลือกที่ถูกจัดวางเหมือนสินค้า ผ่านกรณีศึกษาจากหนังสือ Freakonomics และ ทำไมต้องตกหลุมรัก เพื่อทดสอบว่าเราควรปล่อยให้เหตุผลเป็นคนกำหนด หรือยอมให้ความไม่แน่นอนของความรักพาเราไป
ในบทที่สองของ Freakonomics ซึ่งมีชื่อว่า How Is the Ku Klux Klan Like a Group of Real-Estate Agents? (ทำไมกลุ่ม KKK จึงมีพฤติกรรมคล้ายนายหน้าอสังหาริมทรัพย์) บทนี้ไม่ได้ชวนคิดเรื่องการเหยียดสีผิวเป็นหลัก (แม้จะเอ่ยถึงบ้าง) หากแต่พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘Asymmetric Information’ หรือ ‘ข้อมูลอสมมาตร’
Asymmetric information คือสถานการณ์ที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีข้อมูลในมือไม่เท่ากัน จึงอาจนำไปสู่การได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการแลกเปลี่ยน หนึ่งในตัวอย่างที่หนังสือยกมาคือกรณีศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ ‘แพลตฟอร์มหาคู่’ หรือ dating site
ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ asymmetric information จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีซื้อขาย (เช่น มือใหม่ถูกผู้มีประสบการณ์เอาเปรียบทางข้อมูล), นายหน้าขายบ้านที่กินส่วนต่างระหว่างราคาที่ผู้ขายคาดหวังกับราคาที่ขายได้ในตลาด, หรือสินค้า term life insurance ที่ราคาแพงไม่ใช่เพราะสมเหตุสมผล แต่เพราะผู้ซื้อ (ในยุคที่ยังไม่มีเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา) ขาดความสามารถในการเทียบข้อมูล จนเมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามา ทำให้ผู้ขายประกันต้องทยอยลดราคาเมื่อข้อมูลของตลาดตกไปอยู่ในมือผู้บริโภค
ปรากฏการณ์ asymmetric information ยังเกิดขึ้นกับพฤติกรรมของเรา ๆ ในการหาคู่ ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือผ่านสื่อกลาง เพราะเมื่อเป้าหมายของการหาคู่ หรือการจีบใครสักคน คือการโน้มน้าวให้ ‘เขา/เธอ’ เลือกเรา สิ่งสำคัญที่สุดจึงกลายเป็นการคัดสรรแง่มุมที่ ‘ดีที่สุด’ หรือ ‘ตอบโจทย์ตลาดที่สุด’ มานำเสนอ
ด้วยเหตุนั้นเอง จากการสำรวจข้อมูลโปรไฟล์ของผู้ใช้ซึ่งเขียนบรรยายคุณลักษณะของตน พบว่า 72% ของผู้หญิงระบุว่าตัวเอง ‘ดูดีกว่ามาตรฐาน’ (above average) ขณะที่ผู้ชายก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีถึง 62% ที่บอกว่าตน ‘เหนือค่าเฉลี่ย’ (นอกจากนี้ยังมีข้อมูลด้านอื่น ๆ ที่โน้มน้าวคู่สนทนา ซึ่งก็มักมีแนวโน้มสูงกว่าความเป็นจริง) แล้วถ้าสัดส่วนราวครึ่งค่อนของผู้ใช้ทั้งหมด ‘ดีกว่ามาตรฐาน’ เช่นนี้ มาตรฐานจะอยู่ตรงไหน?
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้กล่าวหาว่าการเขียนโปรไฟล์แบบไหน ‘ผิด’ เพียงแต่ทำให้เห็นว่าใคร ๆ ก็ล้วนอยู่ในกรณีของ asymmetric information ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ต่างฝ่ายต่างกุมข้อมูลที่แท้จริงเอาไว้กับตัวเอง และเผยเพียงแค่ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ให้อีกฝั่งได้รับทราบ) อันเป็นผลจาก ‘แรงจูงใจในตลาด’ (incentive) หากคุณอยากสมหวังในการหาคู่ ความเถรตรงเกินไปอาจไม่สัมฤทธิผลนัก
อย่างไรก็ตาม ภายในหนังสือมีการกล่าวถึงกรณีของผู้ชายที่แต่งงานแล้ว มี 243 คนที่ระบุในโปรไฟล์ว่า happily married (แต่งงานแล้วอย่างมีสุข) แต่มีเพียง 12 คนเท่านั้นที่กล้าตั้งรูปโปรไฟล์ ทั้งที่รูปโปรไฟล์แทบเป็นปัจจัยที่มีนัยสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ใช้เหตุผลหรือไม่รู้กติกาตลาด แต่เพราะ ‘ผลเสีย’ หรือ ‘ความเสี่ยง’ หากภรรยาหลวงจับได้ เลวร้ายกว่าประโยชน์ที่จะได้จากการมีความสัมพันธ์กับภรรยาน้อยสักคน
นี่คือพฤติกรรมของผู้คนต่อความรัก และความต้องการจะเป็น ‘ผู้ถูกรัก’ ในตลาดการหาคู่ เมื่อมองผ่านกรอบเศรษฐศาสตร์ ส่วนอีกเล่มหนึ่งจะมองผ่านอีกกรอบที่แตกต่างออกไป
สำหรับ ‘ทำไมต้องตกหลุมรัก Alain Badiou, ความรัก และ The Lobster’ ที่เขียนโดย ‘สรวิศ ชัยนาม’ กล่าวถึงความรักในเชิงปรัชญา ว่าทำไมเราต้องตกหลุมรัก และ ‘รักแท้’ มีหน้าตาอย่างไร ผู้เขียนอ่านเล่มนี้ราวสองปีก่อน แต่เมื่อได้ชม The Materialist ก็หวนคิดถึงสิ่งที่หนังสือเล่มนี้กล่าวไว้ทันที
‘ความรัก’ ในความหมายของหนังสือเล่มนี้คือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ คุณไม่สามารถออกจากบ้านแล้วเลือกได้ว่าวันนี้จะตกหลุมรักใคร หรือไม่ตกหลุมรักใคร และเรามักตกหลุมรัก (และเลิกรัก) โดยแทบไม่รู้เหตุผล กล่าวคือ
เมื่อคุณรักใครสักคน มันยากที่จะอธิบายว่า “เพราะอะไร”
แต่ในอีกด้าน หนังสือให้แง่มุมว่า หากมองโลกแบบ ‘มนุษย์เศรษฐศาสตร์’ (homo economicus) ก็อาจ ‘รักไม่เป็น’ (หรืออย่างน้อยก็รักได้ไม่ดีนัก หรือหา ‘รักแท้’ ได้ไม่ง่าย) เพราะกรอบคิดแบบทุนนิยมคือการคิดผ่านต้นทุน-ผลตอบแทน และมุ่งเน้น ‘ตัวของตัวเอง’ มากกว่า ‘ความเป็นอื่น’ ของผู้อื่น
เมื่อมองผ่านกรอบเช่นนั้น สิ่งที่จะตามมาในการเฟ้นหาความรักคือ เราจะเริ่มเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสมการมากกว่ากรณีแรก (ที่ยอมรับอีกคนในแบบที่เขาเป็น) และหันไปยอมรับเพียง ‘อัตลักษณ์ในอุดมคติของเรา’ ข้อจำกัดในการรักใครสักคนจึงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ต้องสูงเท่าไร รวยแค่ไหน มีอุดมการณ์แบบใด หรือแม้แต่ฟังเพลงแนวไหน
ความรักจึงเริ่มมี ‘ตัวฉัน’ มากขึ้น และมีความคาดหวังว่า ‘ฉันจะได้อะไรจากความรักครั้งนี้’ ความรักกลายเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่ผู้ลงทุนคาดหวังผลตอบแทนจากเมล็ดพันธุ์ที่หว่าน
พฤติกรรมเดียวกันนี้สะท้อนผ่านการจับคู่ความรักบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่การเฟ้นหาใครสักคนเริ่มมี มาตรฐาน ความคาดหวัง และความเหมาะสม เข้ามาเกี่ยวข้อง ราวกับกำลังทำ SWOT ให้ใครคนหนึ่งเพื่อเทียบกับอีกคน
การจะรักใครสักคนจึงเริ่ม ‘มีเหตุผล’ เพราะเขาสูงเท่านี้ เพราะเธอรูปร่างแบบนั้น เพราะเขารวยเท่านี้ เพราะเธอน้ำหนักเท่านั้น เข้ามาย่างกรายมากกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่ว่าการใช้เหตุผลเป็นเรื่องไม่ดี แต่เมื่อปัจจัยดังกล่าวเข้ามาครอบงำมิติอื่น ๆ ก็อาจทำให้ใครบางคนหลงทางได้
พร้อมกันนั้น เราเองก็ต้องพยายามนำเสนอ ‘ด้านที่ดีที่สุด’ ของตนในทำนองเดียวกับ asymmetric information ใน Freakonomics
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณตัดสินใจลงหลักปักฐานกับคนรักผ่านกรอบความเป็นเหตุเป็นผลแบบมนุษย์เศรษฐศาสตร์? เมื่อปัจจัยสำคัญในการรักใครสักคนผูกอยู่กับ ‘คุณค่า’ หรือมาตรฐานในอุดมคติ หากวันหนึ่งคุณค่าเหล่านั้นเปลี่ยนไป หรือหากมีใครอีกคนที่ตรงมาตรฐานของคุณมากกว่า ความรักเดิมจะมั่นคงพอจะเหนี่ยวรั้ง ‘ความเป็นเหตุเป็นผล’ ของคุณไว้หรือไม่?
หนังสือเล่มนี้ชวนตั้งคำถามเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนผ่าน The Materialist อย่างชัดเจน ขอบคุณหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผู้เขียนอ่านกรณีศึกษาได้ถึงรสยิ่งขึ้น และได้ทบทวนความทรงจำกับหนังสือที่เคยอ่านในอดีตอีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าความรักจะถูกมองผ่านเลนส์ของเศรษฐศาสตร์หรือปรัชญา สิ่งที่เราพบคือหัวใจมนุษย์มักอยู่กึ่งกลางระหว่าง ‘เหตุผล’ และ ‘สิ่งที่ไม่มีเหตุผล’ โลกแบบ Freakonomics ทำให้เราเห็นแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่และการแลกเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยข้อมูลไม่สมมาตร หากใครสักคนถวิลหาซึ่งความรัก การนำเสนอชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเขาก็แทบจะเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ขณะที่โลกของ ทำไมต้องตกหลุมรัก และ The Materialist กลับชี้ให้เห็นว่าความรักคือสิ่งที่ไม่อาจคำนวณได้ และบางครั้งก็เกิดขึ้นท่ามกลางความบังเอิญที่เราไม่เลือกเอง และถ้าหากคุณหยิบใช้เหตุผลหรือตรรกะมากจนเกินไป ก็อาจทำให้พลังของรักแท้นั้นเลือนรางลงไป
ดังนั้น คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าเราควรยอมปล่อยให้เหตุผลหรือตามใจหัวใจเท่านั้น แต่คือการยอมรับว่า ‘ความรัก’ อาจเป็นสนามที่ต้องผสมผสานทั้งสองสิ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว เหตุผลอาจช่วยให้เราเลือกใครบางคนที่เหมาะสม แต่ความคาดเดาไม่ได้คือสิ่งที่ทำให้ความรักยังคงมีมนตร์เสน่ห์ และยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ไม่มีวันถูกอธิบายจนหมด