Slowness is the Key? สำรวจผลิตภาพในความช้า เมื่อความรีบเร่งอาจไม่ได้ดีเสมอไป

Slowness is the Key? สำรวจผลิตภาพในความช้า เมื่อความรีบเร่งอาจไม่ได้ดีเสมอไป

ว่าด้วยเรื่องราวของความเร็วและความช้าในโลกของการทำงาน ที่ขะช่วยทำให้เราเห็นว่าความรวดเร็วกับปริมาณอาจไม่ได้ดีเสมอไป จากบางส่วนของหนังสือ Slow Productivity หรือ Stolen Focus

นี่เราใช้ชีวิตกันเร็วไปหรือเปล่า?

อาจจะกลายเป็นค่านิยมไปเสียแล้วที่คำว่า ‘ผลิตภาพ’ (Productivity) กลายเป็นมาตรวัดมาตรฐานของศักยภาพการทำงานของผู้คนในระบบเศรษฐกิจ หากคุณคาดหวังที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในสายตาขององค์กรหรือแม้แต่กับตัวเอง การสำแดงว่าคุณมีผลิตภาพในการสร้างงานออกมาหรือสามารถสะสางภาระหน้าที่ต่าง ๆ ได้ในปริมาณมากต่อวันก็ถือเป็นความสำเร็จที่รู้สึกได้อย่างประจักษ์ชัดแล้ว

ในยุคสมัยนี้หากว่าเราสามารถทำงานให้ ‘มากขึ้น’ และ ‘เร็วขึ้น’ ก็อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าคุณคือคนที่มีศักยภาพในการทำงาน และอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นที่หมายปองของบรรดาองค์กรมากมาย อีกทั้งยังทำให้ตัวคุณขยับเข้าใกล้คำว่า ‘เก่ง’ และ ‘ขยัน’ มากกว่าเดิม

แต่ในขณะเดียวกันท่ามกลางผลิตภาพในนิยามแบบนั้น กลับมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้สึก ‘หมดไฟ’ (Burnout) กับสิ่งที่ตนเองทำอยู่ และทำให้แรงจูงใจในการคงรักษาผลิตภาพแบบเดิมลดลงไป… ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกัน?

ในช่วงหลังมานี้เราได้เห็นทั้งหนังสือและกระแสแนวคิดมากมายที่ตั้งคำถามถึง ‘ความเร็ว’ ในโลกปัจจุบัน และลองหันมาพลิกดูแง่งามของ ‘ความช้า’ เพราะในบางครั้ง ความเร็วก็อาจไม่ได้เป็นวิถีที่ตอบโจทย์เสมอไป อีกทั้งมันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผลิตภาพของพวกเราลดลงก็เป็นได้

The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้จึงอยากจะชวนผู้อ่านขบคิดถึงความช้าและความเร็วที่เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ที่มีต่อผลิตภาพในสังคมปัจจุบัน ไปจนถึงผลพวงของการที่เราใช้ชีวิตรวดเร็วเกินไป เพราะคำว่า ‘เร็ว’ และ ‘มาก’ อาจไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่ามันคือผลิตภาพที่มากขึ้นเสมอไป

ไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่าน ‘Slow Productivity: The Lost Art of Accomplishment Without Burnout’ (2024) หนังสือโดย คาล นิวพอร์ต (Cal Newport) ที่ชวนตั้งคำถามว่าทำไมในยุคปัจจุบันนี้ที่ผู้คนดูจะรู้สึกหมดไฟกับงานที่ตัวเองทำอย่างเห็นได้ชัด พร้อมพาไปสำรวจว่าบางทีคำตอบอาจจะซ่อนอยู่ในวิธีที่เราตีคุณค่าของคำว่าผลิตภาพเสียมากกว่า แง่มุมที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการพูดถึงนิยามของคำว่า ‘ผลิตภาพ’ 

(โดยตอนนี้หนังสือเล่มดังกล่าวก็มีฉบับแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ Bookscape)

 

Slowness is the Key? สำรวจผลิตภาพในความช้า เมื่อความรีบเร่งอาจไม่ได้ดีเสมอไป

Slow Productivity: The Lost Art of Accomplishment Without Burnout (2024)

 

ก่อนอื่นเราคงต้องเราคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าผลิตภาพมีความหมายอย่างไร ซึ่งถ้าเราแปลกันแบบตรงตัว—ผลิตภาพก็คือปริมาณผลผลิตที่หน่วยการผลิตหนึ่งสามารถมอบคืนกลับมาต่อปริมาณทรัพยากรที่ถูกใส่เข้าไป หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือปริมาณที่ได้ออกมาจากทรัพยากรที่ใส่เข้าไป

ในยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับผลิตก็ดูจะมีแนวโน้มที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหากมองในมุมของเศรษฐศาสตร์แล้ว การจ้างแรงงานมาทำงานก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้สอยทรัพยากรอื่น ๆ ที่คาดหวังผลผลิตกลับมา ซึ่งกลไกนี้ก็ถูกครอบว่าจะทำอย่างไรถึงจะจัดสรรทรัพยากรทั้งหมดออกมาให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงตามมาด้วยการขูดรีดหลากหลายรูปแบบจากบรรดานายทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากที่สุด

ประเด็นสำคัญคือแนวคิดเหล่านี้สะท้อนให้เราเห็นว่ารากของผลิตภาพถือถูกมองผ่านเลนส์ของสิ่งที่จะมอบตอบแทนให้กับนายทุนเป็นหลัก—ยิ่งมาก ก็หมายความว่ายิ่งเยอะ 

อย่างไรก็ตามก็ต้องไม่ลืมว่าไม่ใช่ทุกการผลิตที่มีกลไก ธรรมชาติ หรือแม้แต่คุณค่าแบบเดียวกับ ‘ระบบอุตสาหกรรม’ ที่มุ่งเน้นผลิตสินค้าที่มีคุณค่ามาตรฐานแบบเดิมในปริมาณที่มากที่สุด โดยเฉพาะในสายงานที่ผลผลิตอาศัย ‘ความคิด’ หรือ ‘ไอเดีย’ เป็นคุณค่าสำคัญ—นี่คือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะชวนเราตั้งหลักการมองนิยามของคำ ๆ นี้

เพราะเมื่อเรากล่าวถึงงานเชิงความคิดที่ผูกโยงกับการสร้างสรรค์ ไอเดีย หรือแม้แต่ความแปลกใหม่ คุณค่าของมันอาจไม่สามารถผูกโยงกับปริมาณได้อีกต่อไป แต่อยู่ที่ผลกระทบที่งานนั้น ๆ ได้สร้างมากกว่า หนังสือจึงได้อธิบายต่อถึงคำอย่าง ‘ผลิตภาพเทียม’ (Pseudo-productivity) ที่หมายถึงผลิตภาพฉบับภาพลวงตา (The Illusion of Productivity) ที่ทำให้คนทำงานรู้สึกดีเพียงระยะสั้นว่าตัวเองงานยุ่ง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่ได้มีประสิทธิภาพ

สาเหตุเป็นเพราะการที่เราอาจให้คุณค่า ‘ความยุ่งที่เห็นเป็นประจักษ์’ (Visible Busyness) มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ ที่สร้างผลกระทบอย่างแท้จริง ซึ่งอาจเกิดได้จากระบบการทำงานที่มุ่งเน้นภาพรวมของการทำงานว่าพนักงานแต่ละคนนั้นกำลังงุ่นอยู่กับการก้มหน้าทำงานอยู่ โดยที่ไม่ได้ประเมินด้วยผลลัพธ์ในภาพรวมที่เกิดขึ้น 

แน่นอนว่าเมื่อแรงจูงใจกลายเป็นอยู่ที่การ ‘สร้างภาพ’ มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ ประสิทธิภาพในการทำงานก็อาจถดถอยลง คาล นิวพอร์ต จึงพยายามจะบอกว่า บางทีช้า ๆ ได้พร้าสองเล่มงาม หรือช้า ๆ แล้วได้งานที่สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ก็อาจเป็นทั้งผลดีให้กับบริษัทและพลังใจให้กับผู้ทำงานมากกว่าพยายามก็ได้นะ

เมื่อพูดถึง ‘ความโปรดักทีฟ’ ในบางค่านิยมก็อาจมาพร้อมกับการทำงานแบบ ‘มัลติทาส์กกิง’ (Multitasking) หรือการที่เราทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ประชุมไปด้วย ทำงานประจำวันไปด้วย และสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นการใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยผิวเผินอาจใช่ ที่ว่าทรัพยากรที่มีจำกัดก็ต้องรีดเค้นผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด แต่ในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ใช่เครื่องจักร บางทีก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ในหนังสือ ‘Stolen Focus’ (2022) โดย โยฮันน์ ฮารี (Johann Hari) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียที่พรากสมาธิไปจากเรา ได้กล่าวถึงกลไกในสมองของมนุษย์เราที่มีต่อการมัลติทาส์กกิง ว่าแม้การได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างภายในช่วงเวลาหนึ่งจะดูเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ต่างอะไรจากการทำงานหลายอย่างแต่ไม่เสร็จ หรือไม่ดีสักอย่าง

 

Slowness is the Key? สำรวจผลิตภาพในความช้า เมื่อความรีบเร่งอาจไม่ได้ดีเสมอไป

Stolen Focus (2022)

 

อาจจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่เราจะทำงานสักชิ้นให้ดีและมีความคืบหน้านั้น การจดจ่อและมีสมาธิในสิ่ง ๆ นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจจะคล้าย ๆ กับการนอนหลับ ไม่ใช่ว่าหลับตาปุ๊ปแล้วเราจะสามารถหลับลึกได้ทันที แต่ต้องใช้เวลาในการดำดิ่งไปถึงระดับ ‘Rapid Eye Movement’ (REM) และทำให้ร่างกายและสมองได้ฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่ การจดจ่อก็ต้องใช้เวลาในการตั้งหลักและดำดิ่งเช่นกัน ก็ใช้เวลากว่าที่เราจะขยับไปถึง ‘ภาวะธารไหล’ (Flow State) — ภาวะที่เราดื่มด่ำกับการทำงานจนหลงลืมคอนเซปต์เรื่องเวลาไป

เพราะฉะนั้น เมื่อเราประชุมไปด้วย คิดงานไปด้วย เช็คข่าวบนโซเชียลมีเดียไปด้วย และคุยงานในไลน์ไปด้วยจะดูเป็นการใช้ทุกนาทีอยู่คุ้มค่า แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เราต้องเริ่มต้นใหม่ทุก ๆ ไม่กี่นาที เพราะการสลับการจดจ่อสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งต้องแลกมาด้วยค่าผ่านทางที่เรียกว่า ‘ต้นทุนการสลับ’ (Switch Cost Effect)

หมายความว่าการมัลติทาส์กกิงงานที่อาศัยการจดจ่อ สมาธิ หรือแม้แต่ความคิดสร้างสรรค์สูง อาจทำให้การทำงานของเราไม่ขยับไปไหนไกลเท่าไหร่หรือแม้แต่ลดทอนคุณภาพดั้งเดิมไปเสียด้วยซ้ำ เพราะต้นทุนในการลงแรงของเราถูกเจียดไปอยู่ในต้นทุนการสลับหรือแม้แต่การที่เราต้องมาดำดิ่งใหม่ทุก ๆ ครั้ง กลายเป็นภาวะ ‘ประสิทธิภาพทางความคิดที่ถดถอย’ (Diminishing Cognitive Efficiency)

เดิมทีเราอาจมองว่ายิ่งทำงานได้รวดเร็วและมากเท่าไหร่ ก็แปลว่าเรามีผลิตภาพมากเท่านั้นจนกลายความสัมพันธ์ที่แปรผันตรงระหว่างความรวดเร็วกับผลิตภาพ แต่หากมองผ่านกรอบที่ว่านี้ ก็อาจทำให้เราสรุปได้ว่าในบางครั้ง การที่เราพยายามจะยึดคำว่าโปรดักทีฟในเชิงปริมาณมากเกินไป ก็อาจทำให้ผลผลิตในภาพรวมด้อยคุณภาพลง หรือแม้แต่กระทบกับความรู้สึกในระยะยาวของเราเอง จากการที่ผลตอบรับที่ดีต่อใจหรือความสำเร็จที่ได้คืนกลับมาไม่เท่ากับเรี่ยวแรงที่ลงไปในการรีดเค้นปริมาณงานออกมาเพื่อสนองคำว่า ‘โปรดักทีฟ

ในขณะเดียวกัน บทความนี้ก็ไม่ได้พยายามจะเฉลิมฉลองวิถีสโลว์ไลฟ์ในโลกที่อุดมไปด้วยการแข่งขัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในบริบทของสังคมทุกวันนี้ ช้าไม่ได้ แต่ก็ดังที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เร็วไปก็ไม่ดี คำถามที่น่าสนใจต่อมาคือ… ตรงกลางอยู่ที่ไหน?

กฎของเยอร์กส์-ดอดสัน (Yerkes–Dodson Law) กล่าวว่าการจะสร้างงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การที่ทำงานเชื่องช้าอย่างไร้ความกดดันก็ย่อมไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันการรีบเร่งบีบเค้นตัวเองก็ไม่ต่างออกไป ทางที่ดีคือต้องหาตรงกลางให้เจอ กฎที่ว่าจึงได้ลองสร้างกราฟจากความสัมพันธ์ระหว่าง ‘คุณภาพของเนื้องาน’ (Performance Quality) และ ‘แรงกดดัน / แรงเร้า’ (Pressure / Arousal) 

เมื่อได้ลองเก็บข้อมูลและสร้างออกมาเป็นกราฟที่สะท้อนความสัมพันธ์แล้ว เราจะเห็นภาพออกมาเป็นตัว U คว่ำหัว (Inverted U-Shaped Curve) โดยมีแกน Y เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพ และแกน X เป็นปริมาณแรงเร้า 

กล่าวคือ ในช่วงแรกที่มีแรงเร้าหรือแรงขับเคลื่อนน้อย ก็อาจส่งผลให้คุณภาพงานลดน้อยถอยตามลงไปด้วย ในขณะเดียวกัน หากมีแรงกดดันที่มากเกินไปก็อาจนำไปสู่ภาวะเครียดและทำให้ผลลัพธ์ด้อยคุณภาพตามลงไป จุดที่ดูจะเหมาะสมที่สุดของการสร้างงานคุณภาพคือสภาพแวดล้อมที่มีแรงเร้าและแรงกดดันในระดับที่พอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป

ซึ่งก็ตรงกับหนึ่งในคุณลักษณะของภาวะธารไหลใน Stolen Focus ที่สิ่งที่กำลังจะทำนั้น ต้องมีความท้าทายประมาณหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์สามารถดำดิ่งลงไปในการกระทำนั้น ๆ อย่างลงลึก ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรที่จะเป็นอะไรที่ง่ายเกินจนหมดความสนใจ หรือยากเกินไปจนเกินเอื้อมถึง

ท้ายที่สุด การจะหาตรงกลางย่อมเป็นเรื่องที่หาคำตอบมาวางแบบประจักษ์ชัดได้ยาก เพราะในแต่ละเนื้องานก็ย่อมมีรายละเอียดและกรอบเกณฑ์แตกต่างกันไป ในบางงานอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวและปริมาณที่มาก ในบางงานอาจอาศัยความสดใหม่ในปริมาณที่น้อย ด้วยเหตุนั้น จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพียงแต่ต้องไม่ลืมเลือนเป้าหมายสำคัญ ว่าเราทำงานเพื่ออะไร — เพื่อสำแดงว่าฉันกำลังทำงาน หรือ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด?

หากสามารถตั้งเป้าหมายในการทำงานได้อย่างชัดเจนโดยที่คงมั่นระหว่างทาง และหาจุดสมดุลของแรงกดดันให้ช่วยขับเคลื่อนเราให้พัฒนาไปข้างหน้า ก็อาจพาเราขยับไปสู่จุดที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความหมายมากกว่าที่เคยเป็น