‘Ultra-Processed People’ เรากินอะไรเข้าไปกันแน่?

‘Ultra-Processed People’ เรากินอะไรเข้าไปกันแน่?

อาหารแปรรูปยุคใหม่ กำลังหลอกประสาทสัมผัสเราโดยไม่รู้ตัว คริส แวน ทูลเลเคน เปิดโปงเบื้องหลัง UPF ที่อร่อย กินง่าย แต่ไม่ใช่อาหารจริง

KEY

POINTS

  • Ultra-Processed Food (UPF) คืออาหารที่ผ่านการแปรรูปทางอุตสาหกรรมขั้นสูง จนสูญเสียความเป็น "อาหารจริง" และแทบไม่มีวัตถุดิบธรรมชาติหลงเหลืออยู่
  • กลยุทธ์การผลิต UPF มุ่งเน้นต้นทุนต่ำ อายุเก็บนาน และหลอกล่อประสาทสัมผัส เพื่อให้ผู้บริโภคกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • ระบบเศรษฐกิจอาหาร สร้างความเหลื่อมล้ำด้านโภชนาการ โดย UPF กลายเป็นทางเลือกหลักของคนรายได้น้อย แม้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว

“คุณคือผู้เข้าร่วมการทดลองที่ไม่เคยสมัครใจ”

คำกล่าวของ ‘คริส แวน ทูลเลเคน’ (Dr. Chris van Tulleken) ผู้เขียนหนังสือ ‘Ultra-Processed People: Why We Can’t Stop Eating Food That Isn’t Food’ บอกกับทุก ๆ คนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 

เราต่างตกอยู่ในสถานะ ‘ผู้ร่วมทดลอง’ ของระบบอาหารยุคใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ ‘อาหาร’ กลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างกำไรได้มากที่สุด ด้วยต้นทุนที่ถูกที่สุด และมีความสามารถในการหลอกประสาทสัมผัสของมนุษย์ได้แนบเนียนที่สุด

พื้นเพของ คริส เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาล University College London Hospitals (UCLH) และดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในภาควิชาการติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) เขาเป็นคนล่าสุดที่ออกมาประกาศว่า จากการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารในโลกปัจจุบัน เราอาจจะไม่ได้กินสิ่งที่เรียกว่า ‘อาหาร’ อีกต่อไป แต่กำลังบริโภค ‘สารสังเคราะห์’ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก ที่มีลักษณะ ‘คล้ายอาหาร’ มากกว่า

นั่นคือ ‘อาหารแปรรูประดับสูง’ (Ultra-Processed Food - UPF) ซึ่งครอบงำชีวิตประจำวันของเรามากกว่าที่คิด ตั้งแต่ซีเรียลอาหารเช้า โยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำผลไม้กล่อง ไปจนถึงของว่างที่มีโลโก้ ‘organic’ ก็ล้วนอยู่ในนิยามของ UPF ทั้งสิ้น หากมีส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งที่คุณไม่สามารถหาได้จากครัวธรรมดา หรือหากอาหารนั้นถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกอย่างดี และมีอายุยืนยาวเกินธรรมชาติปกติของมัน

คริส ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งในสวนสาธารณะ เมื่อ ‘ไลรา’ ลูกสาววัย 3 ขวบของเขา กินไอศกรีมแล้วเหลือไว้ในถ้วย เขาหยิบขึ้นมาถือไว้ แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ ทำไมไอศกรีมถึงยังไม่ละลาย?

“มันยังอยู่เกือบครบ ลูกกลมสีเขียวแวววาวแบบพิสตาชิโอหนึ่งลูก แล้วทำไม... ไอศกรีมถึงยังไม่ละลาย?”
 

คำตอบอยู่ในฉลากที่ระบุส่วนผสมว่า ไอศกรีมลูกนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาลกลูโคส เวย์โปรตีน สารทำให้คงตัว เช่น locust bean gum, guar gum, carrageenan และสารอิมัลซิไฟเออร์อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสูตรไอศกรีมแบบโฮมเมด แต่มีอยู่ในทุกแบรนด์ระดับอุตสาหกรรม

UPF อาหารที่ไม่ใช่อาหาร

อาหารควรเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต บ่งบอกวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ แต่ในศตวรรษที่ 21 คำว่า ‘อาหาร’ กลายเป็น ‘สินค้า’ ที่ถูกออกแบบโดยอุตสาหกรรม ที่ให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่าความคุ้มค่าทางโภชนาการ

คำถามง่าย ๆ “แล้วอาหารที่เรากินทุกวันนี้... ยังจะเรียกว่าอาหารได้อยู่หรือไม่?”

บุคคลสำคัญที่ช่วยให้ คริส เข้าใจปัญหาของ UPF กับกระบวนการแปรรูปที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เรากินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือ ‘คาร์ลอส มอนเตย์โร’ (Carlos Monteiro) นักวิชาการด้านโภชนาการจากบราซิล ซึ่งได้เสนอระบบที่เรียกว่า ‘NOVA classification’ ในปี 2010 

คาร์ลอส แบ่งอาหารออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ อาหารดิบหรือแปรรูปน้อย (Unprocessed or Minimally Processed Foods) เช่น ผักสด เนื้อสัตว์ แป้งข้าวโพด ผลไม้ นมสด ฯลฯ, ส่วนผสมเพื่อการปรุงอาหาร (Processed Culinary Ingredients) เช่น น้ำตาล เกลือ น้ำมัน พริกไทย น้ำส้มสายชู,  อาหารแปรรูป (Processed Foods) เช่น ผลไม้กระป๋อง, ขนมปังสด, ชีส หรือเนื้อรมควัน และ อาหารแปรรูประดับสูง (Ultra-Processed Foods - UPF) คือกลุ่มที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมซับซ้อน และมีสารเติมแต่งมากมาย 
 

กระบวนการผลิตและส่วนผสมในอาหารแปรรูป ‘ระดับสูง’ ถูกออกแบบมา เพื่อสร้างกำไรสูงสุด และเพื่อเข้าครอบครองตลาดอาหาร โดยอาศัยกลยุทธ์ 3 อย่าง คือ ต้นทุนต่ำ (ใช้วัตถุดิบเหลือทิ้งหรือพืชอุตสาหกรรมราคาถูก เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำมันปาล์ม),  การเก็บรักษานาน (ใช้สารเคมีคงรูป, ยับยั้งจุลินทรีย์, เพิ่มเสถียรภาพ) และ สร้างความพึงพอใจทางประสาทสัมผัส (เติมกลิ่น สี สัมผัส เพื่อให้กินต่อได้ไม่รู้ตัว)

สิ่งที่น่าตกใจก็คือ UPF ไม่ได้จำกัดแค่ฟาสต์ฟู้ดหรือขนมขบเคี้ยวเท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากว่า low-fat, organic, high-fiber, หรือ sugar-free ก็อาจตกอยู่ในนิยามของ UPF เช่นเดียวกัน หากมีองค์ประกอบหรือกระบวนการที่ออกแบบเพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ มากกว่าโภชนาการ

ระบบเศรษฐกิจที่ออกแบบให้อิ่มไม่สุด

ในระบบนิเวศธรรมชาติ สัตว์นักล่าไม่ได้ชนะเสมอ และเหยื่อก็ไม่ได้พ่ายแพ้ตลอดไป พลังงานถูกแย่งชิงผ่านกลไกที่สมดุลและมีวิวัฒนาการตอบโต้ระหว่างสายพันธุ์ แต่ในโลกของอาหารแปรรูประดับสูง กฎธรรมชาติเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นใหม่โดยองค์กรธุรกิจ

“ในระบบนี้ เราคือเหยื่อ คือแหล่งรายได้ที่ทำให้ระบบเดินหน้าได้”

คริส แวน ทูลเลเคน มองระบบอาหารอุตสาหกรรม เป็น ‘arms race’ อีกชนิดหนึ่ง แข่งขันกันผลิตสินค้าให้คน ‘ซื้อ’ สิ่งที่ชี้วัดชัยชนะในระบบนี้ คือสูตรอาหารที่ทำให้คนกินได้มากที่สุด ติดใจมากที่สุด และหยุดไม่ได้มากที่สุด

“อาหารแปรรูประดับสูง ผ่านกระบวนการคัดเลือกแบบวิวัฒนาการมายาวนานหลายทศวรรษ สินค้าไหนที่ถูกซื้อและถูกกินมากที่สุด นั่นแหละคือสินค้าที่อยู่รอดในตลาด”

เรากำลังอยู่ในสมรภูมิที่ไม่รู้ตัวว่า อาหารที่กินเข้าไป คือผลผลิตของการทดลองนับพันสูตรที่ถูกเลือกให้อยู่รอด เพราะทำให้คนกินได้เยอะ และซื้อซ้ำได้มากที่สุด ไม่ใช่เพราะดีต่อร่างกาย

โมเลกุลราคาถูกที่หลอกประสาทสัมผัส

แทนที่จะใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ UPF สร้างขึ้นจาก ‘โครงโมเลกุล’ ที่ถูกสกัดแยก ไม่ว่าจะเป็น แป้งดัดแปร (modified starch), น้ำมันพืชผ่านกระบวนการ bleaching / deodorizing, โปรตีนสังเคราะห์หรือโปรตีนไฮโดรไลซ์ และ กาวอาหาร (gums) และ สารผสมให้เข้ากัน (emulsifiers)

“มันถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบที่ถูกที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ของ 3 โมเลกุลหลัก คือ ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต”

คริส ยกตัวอย่างไอศกรีมราคาถูก ที่มีไขมันจาก palm kernel oil แทนครีมหรือเนยสด ซึ่งสามารถทนความร้อนได้ดี ขนส่งง่าย แช่แข็งซ้ำได้หลายครั้งโดยไม่เสียรูป และที่สำคัญ ต้นทุนต่ำกว่า 10 เท่า

‘พอล ฮาร์ท’ (Paul Hart) อดีตนักพัฒนาอาหารของ Unilever ซึ่งให้สัมภาษณ์ในหนังสือของ คริส อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งเดียวที่ฝ่ายบัญชีสามารถปรับเล่นได้ตามใจ คือส่วนผสมในอาหาร”

เพราะต้นทุนแรงงานและพลังงานในโรงงานอาหาร ‘ถูกลด’ ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ให้ ‘เล่นกล’ ได้ เพื่อ ‘รีดกำไรเพิ่ม’ คือ การแทนที่วัตถุดิบจริง ด้วยโมเลกุลที่ถูกกว่า แต่ให้รสสัมผัสใกล้เคียงกัน

ยิ่งหลอกประสาทสัมผัสเราได้ดีเท่าไร ยิ่งเพิ่ม margin ได้มากเท่านั้น

เพราะอาหารจริง ๆ ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมดา ๆ มีราคาสูงเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ UPF ราคาถูก มีให้เลือกเต็มชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต

“UPF แทบจะถูกกว่า เร็วกว่า และดูเหมือนจะให้คุณค่าทางโภชนาการพอ ๆ กัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำ กับอาหารที่ต้องเตรียมเองที่บ้าน”

รายงานจาก Food Foundation ในอังกฤษ พบว่าครัวเรือนยากจนที่สุด 10% จะต้องใช้เงิน 75% ของรายได้ หากต้องการซื้ออาหารที่ตรงตามหลักโภชนาการแห่งชาติ แต่การซื้ออาหาร UPF ใช้งบน้อยกว่าหลายเท่า ดูสะดวกและคุ้มค่ากว่า

1 เดือนกับอาหารที่ไม่ใช่อาหาร

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะกินเกิน... แค่กินตามปกติ... แต่ผมน้ำหนักเพิ่มขึ้น รู้สึกแย่ลง และสมองก็เปลี่ยนไป”

นั่นคือผลลัพธ์ที่ คริส บรรยายถึง หลังจากใช้ร่างกายของตนเองเป็นห้องทดลองกับภารกิจกินอาหารที่มีส่วนประกอบของ Ultra-Processed Food (UPF) ให้ได้ 80% ของพลังงานทั้งหมด เป็นเวลา 1 เดือน

คริส ทำการทดลองร่วมกับคณะแพทย์และนักวิจัยที่ University College London Hospital (UCLH) เริ่มจาก ระยะเตรียมตัว งด UPF 100% เป็นเวลา 4 สัปดาห์ (อาหารโฮมเมดทั้งหมด) เพื่อให้ร่างกายอยู่ใน baseline ตามด้วย ระยะทดลอง กิน UPF ให้ได้ 80% ของพลังงานที่บริโภคทั้งหมดในแต่ละวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์

อาหารที่เขากินในช่วงทดลองไม่ได้ผิดปกติจากที่พบในร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป เช่น ซีเรียลอาหารเช้า (Coco Pops),  ซุปกระป๋อง, ไอศกรีมบรรจุถ้วย, พิซซ่าแช่แข็ง, โยเกิร์ต low-fat, น้ำผลไม้กล่อง... เขา “กินตามปกติทุกครั้งที่หิว และกินเฉพาะสิ่งที่อยู่รอบตัว” เหมือนที่ผู้คนส่วนใหญ่ในอังกฤษและอเมริกาทำทุกวัน

“ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน น้ำหนักผมเพิ่ม 6.5 กิโลกรัม ไขมันในตับเพิ่มขึ้นมากกว่า 500% นอนหลับไม่สนิท และรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น”

นอกจากน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขายังสะสมไขมันในตับจนเกือบเข้าเกณฑ์โรคไขมันพอกตับ มีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล และสูญเสียการควบคุมความอยากอาหารอย่างชัดเจน เริ่มรู้สึกหิวตลอดเวลา แม้จะกินอิ่มแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจคือ เขารู้สึกได้ถึง การเปลี่ยนแปลงของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจและการเสพติด (reward circuits) ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์หรือพฤติกรรม แต่เกี่ยวข้องกับวงจรทางประสาทที่ควบคุมความอิ่มและความสุขในการกิน 

ความซับซ้อนของร่างกาย vs ความเรียบง่ายของตลาด

“การกิน คือการแข่งขันที่ยืดเยื้อยาวนานนับพันล้านปี แต่ตอนนี้ เรากำลังแพ้”

การกิน คือหนึ่งในพฤติกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของสิ่งมีชีวิต และเป็นกลไกวิวัฒนาการที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากที่สุด แต่ในโลกปัจจุบัน กลไกที่เคยสั่งสมผ่านกาลเวลาหลายพันล้านปีกำลังถูกเอาชนะ ด้วยสิ่งที่ดูเหมือน ‘อาหาร’ แต่ไม่ใช่

ความหิว ความอิ่ม ความพึงพอใจ ความอยาก ล้วนควบคุมผ่านฮอร์โมน ระบบประสาท และแบคทีเรียในลำไส้ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสมอง แต่ UPF ถูกออกแบบมาให้ทำลายสัญญาณเหล่านี้ UPF ไม่เพียงหลอกประสาทสัมผัสของเรา แต่ยังกระทบต่อระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความหิว เช่น ghrelin และ leptin อีกด้วย

“คนที่กิน UPF แล้วไม่อ้วน ก็ยังเสี่ยงที่จะสมองเสื่อมและลำไส้อักเสบอยู่ดี”

ในงานวิจัยที่อ้างถึงหลายครั้งในหนังสือ ซึ่งรวมถึงการทดลองของ Kevin Hall (2019) พบว่าผู้ที่กิน UPF มาก มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเรื้อรัง (ไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนักเพิ่ม) โดยเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า (Depression), โรคลำไส้อักเสบ (IBD – Inflammatory Bowel Disease), ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และ ความบกพร่องทางการรับรู้ (Cognitive Impairment)

ตัวอย่างที่ชัดคือ Polysorbate 80 และ Carboxymethylcellulose (CMC)  ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ทั่วไปที่ใช้ในไอศกรีม โยเกิร์ต low-fat และซุปสำเร็จรูป ในงานทดลองกับสัตว์แสดงให้เห็นว่า สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบ คล้ายโรค Crohn’s และ ulcerative colitis

อีกหนึ่งข้อของการค้นพบ คือความสัมพันธ์ระหว่าง UPF กับภาวะซึมเศร้า แม้กลไกยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่มีสมมุติฐานหลัก 2 ประการ คือ จุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อสารสื่อประสาท เช่น serotonin และ UPF มีส่วนกระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าในกลุ่มคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

“นักวิจัยบางคนเริ่มมองว่าภาวะซึมเศร้า คือโรคจากการอักเสบที่ถูกกระตุ้นโดยอาหารแย่ ๆ และจุลินทรีย์ในลำไส้ที่เสียสมดุล”

ทางออกคือการรู้เท่าทัน

คริส แวน ทูลเลเคน แสดงเจตนาในหนังสือว่าเขาไม่ได้ต้องการแนะนำอาหารที่ ‘ถูกต้อง’ ให้กับใคร เพราะปัญหาของ Ultra-Processed Food (UPF) ไม่ใช่เรื่องของ ‘พฤติกรรม’ ส่วนบุคคล แต่คือ ‘โครงสร้างของระบบ’ ที่ออกแบบมาให้เราควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้

เขาเปรียบเทียบแนวคิดแบบ ‘self-discipline’ ที่พบทั่วไปในหนังสือสุขภาพว่าเป็น ‘กับดักทางศีลธรรม’ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผิดต่อตัวเองโดยไม่จำเป็น “แค่บอกให้กินอาหารจริง มันก็ใช้ไม่ได้กับคนส่วนใหญ่ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีเวลา มีเงิน หรือมีเงื่อนไขชีวิตที่เอื้อให้ทำแบบนั้นได้”

ปัญหาของ UPF เป็นปัญหาเชิงระบบ จึงต้องการการตอบสนองเชิงระบบ ไม่ใช่แค่การปรับพฤติกรรมรายบุคคล

ข้อเสนอของเขาในฐานะนักวิทยาศาสตร์และผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ได้แก่ การควบคุมการโฆษณา โดยเฉพาะกับเด็ก, การเปลี่ยนระบบฉลาก ให้ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์นั้นคือ UPF หรือไม่, การจัดวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเป็นธรรม, การปรับหลักสูตรโรงเรียน เพื่อเพิ่มการเรียนรู้เรื่องอาหารจริง และ การเก็บภาษีหรือควบคุมราคาสินค้า UPF อย่างเหมาะสม

คริส เน้นย้ำหลายครั้งว่า ความรู้สึกผิด ความล้มเหลว หรือการตำหนิตัวเองว่า “ไม่สามารถเลิกกินอาหารขยะได้” ไม่ใช่เพราะเราขาดวินัย แต่เพราะสินค้าที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด เพื่อหลอกประสาทสัมผัส สมอง และฮอร์โมนของเราอย่างแนบเนียน

UPF ไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในกระเพาะอาหารของมนุษย์ แต่ยังรุกล้ำไปถึงพฤติกรรมส่วนตัว, ความเชื่อเรื่องสุขภาพ, มโนภาพของครอบครัวที่ดี และความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นทางเศรษฐกิจ

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าผลกระทบทางชีววิทยา คือผลกระทบทาง ‘การรับรู้’ เพราะ UPF เป็นสินค้าเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทำกำไรได้ จากทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกกลุ่มรายได้, เข้าถึงได้ง่ายกว่าน้ำสะอาดในบางประเทศ และมีโฆษณาเข้าถึงในโรงเรียน โรงพยาบาล และพื้นที่สาธารณะ

“การที่เราหยิบขนมซองหนึ่ง หรือดื่มโยเกิร์ตสูตรไขมันต่ำ อาจดูเหมือนการเลือก แต่จริง ๆ แล้ว เราแค่ตอบสนองต่อการออกแบบที่ถูกคำนวณไว้แล้ว”

การที่เราต้องพึ่งพา UPF อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเรากำลังอยู่ในระบบที่มี ‘ความเหลื่อมล้ำทางโภชนาการ’ (nutritional inequality)

น่าเสียดายว่า “อาหารจริง ๆ ที่แทบไม่ผ่านการแปรรูป ผูกโยงกับวัฒนธรรม และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง กลายเป็นของฟุ่มเฟือยไปแล้ว”

ผู้มีรายได้น้อยกิน UPF ไม่ใช่เพราะไม่ใส่ใจสุขภาพ แต่เพราะนั่นคือทางเลือกเดียวที่เขามีอยู่

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง คือ ‘การรู้เท่าทัน’ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ขอให้ผู้อ่านเปลี่ยนพฤติกรรมแบบหักดิบ แต่ขอให้เริ่มมองสิ่งที่เรากิน ด้วยสายตาที่รับรู้ว่า “โลกไม่ได้เป็นกลาง” เสมอไป และต้องมองด้วยความเข้าใจว่า ‘อุตสาหกรรมอาหาร’ ไม่ได้ถูกออกแบบมา เพื่อทำให้เราแข็งแรง แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการแสวงหากำไรต่างหาก

เมื่อโลกไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เรากินดีอยู่ดี แต่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เรากินไม่หยุด การรู้เท่าทันคือจุดเริ่มต้นของการต่อต้านระบบนั้น


หมายเหตุ: หนังสือ Ultra-Processed People: Why We Can’t Stop Eating Food That Isn’t Food (ปัจจุบันมีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว) เขียนโดย คริส แวน ทูลเลเคน ตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนเมษายน 2023 ถือเป็นงานเขียนแนววิทยาศาสตร์เพื่อสาธารณะที่โดดเด่น ทั้งในแง่ความลึกของข้อมูล และความเข้าถึงง่ายของภาษา หนังสือเล่มนี้ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง ทั้งจากแพทย์ นักโภชนาการ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังติดอันดับขายดีในสหราชอาณาจักร
ผลกระทบของหนังสือขยายไปไกลกว่าวงวิชาการ คริส ได้ขึ้นให้การเป็นพยานต่อรัฐสภาอังกฤษ เสนอให้มีมาตรการควบคุมการโฆษณาและการติดฉลากบนผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูประดับสูง แม้ในเวลาต่อมาจะมีรายงานว่าแนวนโยบายดังกล่าวถูกระงับหลังแรงกดดันจากอุตสาหกรรม UPF

เรื่อง: เอกประภู บรรณสรณ์

ที่มา:
- Van Tulleken, Chris. Ultra-Processed People: Why We Can’t Stop Eating Food That Isn’t Food. W. W. Norton & Company, 2023.
- "UK government drops healthy eating push after lobbying by ultra-processed food firms."
The Guardian, 17 May 2025, https://www.theguardian.com/society/ng-interactive/2025/may/17/uk-government-drops-healthy-eating-push-after-lobbying-by-ultra-processed-food-firms.