17 ก.ย. 2568 | 18:00 น.
“อย่าเข้าใจผิดว่าการออกแบบต้องอลังการ ต้อง typography เยอะ ๆ จัดวางซับซ้อนเท่านั้น จริง ๆ แล้ว การออกแบบคือการตัดสินใจที่ต้องแก้ไขปัญหาและยังต้องทำให้งานออกมาสวยได้ภายใต้ข้อจำกัดที่มี”
เมื่อต้องกล่าวถึง ‘การออกแบบ’ ปัจจัยที่มักจะถูกเพ่งไปเป็นจุดสนใจเป็นลำดับแรก ๆ ก็คงหนีไม่พ้น ‘ความสวยงาม’ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เฟอร์นิเจอร์ โลโก้ หรือเสื้อผ้า เพราะความสวยงามมักเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนมองเห็นและใช้ตัดสิน ทว่าหากความสวยงามถูกใช้เป็นเกณฑ์ของการตัดสิน การออกแบบอาจถูกลดทอนเหลือเพียง ‘การตกแต่ง’ โดยละทิ้งองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันไป โดยเฉพาะในมิติของการแก้ปัญหา การสอดรับกับเป้าหมายอื่น ๆ หรือแม้แต่ความเป็นไปได้ภายใต้ทรัพยากรที่มี
‘อนุทิน วงศ์สรรคกร’ นักออกแบบตัวอักษรและผู้ร่วมก่อตั้ง ‘คัดสรร ดีมาก’ คือหนึ่งในนักออกแบบที่ไม่เพียงสร้างสรรค์ผลงานจนกลายเป็นที่จดจำทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ยังเดินหน้านำเสนอพื้นฐานความรู้ของเรื่องการออกแบบตลอดมา ตั้งแต่อดีตกับการเวิร์กช็อปตามมหาวิทยาลัย ตีพิมพ์หนังสือและเขียนบทความเกี่ยวกับการออกแบบ มาจนถึงปัจจุบันที่เดินหน้าจัดรายการ ‘ระหว่างบรรทัด’ ในช่องทางของ คัดสรร ดีมาก
ในบทสนทนานี้ The People ชวนอนุทินพูดคุยถึงปัญหาการมอง ‘การออกแบบ’ ในประเทศไทยที่ยึดเพียงปัจจัยบางตัวเป็นที่ตั้งโดยละทิ้งและหลงลืมมิติอื่นของการออกแบบไป ทว่าปัญหาไม่ได้จบเพียงว่าสังคมไทยมองการออกแบบแบบไหน แต่ปัญหาสำคัญนั้นฝังลึกอยู่ในการศึกษาที่ถูกสะท้อนออกมาผ่านวิธีที่ผู้คนมองมัน โดยกว่าสองทศวรรษที่แล้ว อนุทิน เคยเขียนบทความที่ชื่อว่า ‘เกิดเป็นนักออกแบบในประเทศนี้เป็นคนมีกรรม’ ซึ่งในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่ โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่บ่มเพาะนักคิดในสาขาของตนที่ปราศจาก ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ต่อนักคิดและผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่น ๆ
“การศึกษาตอนนี้ แต่ละศาสตร์มันไม่เชื่อมต่อกัน แต่ละคณะมันไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อกันและกัน ต่างคนต่างก็ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อจะอยู่รอดในที่ประชุม”
นอกจากโลกของการออกแบบกับปัญหาในระบบการศึกษาแล้ว บทสัมภาษณ์นี้ยังชวน อนุทิน วงศ์สรรคกร พูดคุยถึงหนังสือเล่มโปรดที่มีอิทธิพลต่อตัวของเขา ไปจนถึงพัฒนาการของ คัดสรร ดีมาก ที่แม้ว่าจะตั้งต้นจากบทบาทการออกแบบตัวอักษร แต่ในปัจจุบันนี้ พวกเขาได้ขยับตัวเองไปสู่อาณาบริเวณที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดนตรีภายใต้ Cadson Demark Records หรือแม้แต่โลกภาพยนตร์ ‘เรื่องในข้อแม้ของเวลา’ (Timeless Reactions) ภายใต้ Cadson Demark Films ที่กำลังจะฉายในโรงภาพยนตร์เครือ SF Cinema ในวันที่ 18 กันยายนนี้
สามารถอ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่บทความนี้
ผมไม่ได้เอาหนังสือมานะ แต่เตรียมลิสต์ไว้ ตอนแรกก็คิดว่าจะเริ่มคุยตรงนี้เพื่อไม่ต้องเดินตามแนวคำถาม 1-2-3-4 เพราะมันน่าเบื่อ เริ่มจากเรื่องทั่วไปก่อน แล้วค่อยไปเรื่องออกแบบก็ได้ บางทีการคุยเรื่องหนังสือช่วยให้เข้าใจว่าทำไมมันถึงตกตะกอนมาเป็นแบบนี้ในงานออกแบบของเรา
แต่อยากจะบอกว่าการ ‘คุยเรื่องหนังสือ’ มันคลีเช่มาก
แทบทุกสัมภาษณ์ที่อยากทำให้คนดูฉลาด มักเริ่มด้วย “คุณอ่านหนังสืออะไร?” แล้วก็มีความคาดหวังต่อคำตอบประมาณหนึ่ง เหมือนจะบอกว่า “อ๋อ อ่านเล่มนี้ แสดงว่า highly intelligent” ซึ่งผมเข้าใจนะ หน้าที่ของ The People ก็ไม่อยากได้คอนเทนต์ที่ดูไม่ประเทืองปัญญาอยู่แล้ว เราขายด้วยความจริง เพียงแต่ความจริงอีกชั้นคือ มันคลีเช่มากจริง ๆ และช่วงโควิดมันยิ่งหนักเข้าไปอีก ถึงขั้นต้องมีตู้หนังสือปลอมเป็นฉาก เป็น CG หรือกรีนสกรีน เพื่อผูกกับภาพลักษณ์ว่าคนมีหนังสือเยอะเท่ากับอ่านทุกเล่มและเข้าใจทุกเล่ม ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ นี่คือ hard fact ที่เราไม่ค่อยพูดกันตรง ๆ
ผมไม่เชื่อว่าทุกคนอ่านแล้วเข้าใจทุกเล่ม หนังสือที่สำคัญคือเล่มที่ ‘มันพูดกับเรา’ และ ‘ขบกันลง’ กับเรามากกว่า
หนังสือมีเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพันล้านเล่ม เราไม่มีทางที่จะอ่านได้หมด และยิ่งไม่มีทางเข้าใจหมด แต่เราอยู่ในโลกที่ชอบตัดสินกันจาก “มึงอ่านเล่มอะไร กูอ่านเล่มนี้ กู advance กว่า” มันเลยออกมาแบบนั้น
ผมเลยไม่ค่อยชอบคำถามนี้… แต่ก็จะพยายามตอบนะครับ
ถูก ๆ เขาอาจสนใจว่าทำไม มึง (ผม) ถึงเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม (หัวเราะ)
ก็ทำนองว่า What shape you ถูกต้องป่ะ What shape you หรือว่ามึงไม่อ่านเลย แต่ผมว่าเดี๋ยวนี้นะคำถามนี้มันอาจจะไม่ Valid สำหรับนักคิดในยุค Gen Z แล้วก็ได้นะ ผมว่าอีกหน่อย The People อีก 5 ปีหรือ 10 ปีอาจจะต้องสัมภาษณ์นักคิด ใน Gen Z หรือ Gen Alpha อีก 10 ปีข้างหน้า คำตอบมันอาจจะไม่ใช่หนังสือก็ได้นะ
หรือว่าคำถามมันไม่ควรที่จะเป็นหนังสือก็ได้นะ เพราะว่าการบริโภคข้อมูลหรือการเข้าถึงองค์ความรู้มันอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบของหนังสืออีกต่อไปแล้วก็ได้ แต่การที่ผมตอบแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อในหนังสือนะ ผมก็เชื่อว่าในกระบวนการการเขียนยังมีคุณค่ามาก ๆ เสมอ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในส่งที่จะพูดคุยกันในวันนี้ด้วย
เพราะมันเชื่อมกันหมด ไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน เขียน มันเป็นแพ็กเกจเดียวกัน ทุกวันนี้เราอาจจะบริโภคข้อมูลจาก YouTube หรือคอนเทนต์ที่ย่อยมาแล้ว เป็นภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ แต่มันเทียบการเขียนได้ยาก เพราะงานเขียนผ่านการเรียบเรียงมาแล้ว และพอเราได้อยู่กับมัน เราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่ถูกเรียบเรียงนั้น เกิดความเชื่อมโยงของเราเอง ฟัง–พูด–อ่าน–เขียนจึงทำงานร่วมกันเป็นชุดเดียว แต่ถ้าเราแค่ฟังสรุป หรือให้ AI สรุปให้ กระบวนการเชื่อมโยงตรงนั้นมันไม่เกิดขึ้น
ในกระบวนการเขียน เวลาเราปล่อยให้ความคิดไหลผ่านเราออกมาแล้วแปรเป็นตัวหนังสือ มันไม่ได้ไหลตรง ๆ แต่มัน simplified ผ่านตัวกรองหลายชั้น ไมว่าจะเป็นประสบการณ์ ความรู้ที่อ่านมา การเชื่อมโยงต่าง ๆ หนังสือที่เราอ่านก็ถูกแปรรูปกลายเป็นฟิลเตอร์ในกระบวนการนี้ด้วย
แต่ตอนนี้เรากำลัง give up กระบวนการนี้ให้กับ AI แทบจะสมบูรณ์ และในเวลาไม่นานมันก็คงสมบูรณ์จริง ๆ
ใช่หรือการเอาหนังสือเล่มนี้ไปอ่านแล้วสรุปให้ฉันที ปัญหาคือในหนังสือหนึ่งเล่มมันมี journey หลายอย่าง มีการ break down มีบริบทข้างเคียงเยอะมาก ผมชอบอ่านชีวประวัติ เพราะถ้าสรุปแค่ biography สิ่งที่หายไปเยอะมาก เราจะเห็นเพียงว่าเขาตัดสินใจเจ๋ง ๆ อย่างไร หรือเอาวิธีนั้นไป execute ได้ แต่เราอาจไม่รู้ว่า origin มาจากไหน อะไรที่ไปสะเทือนเขา เกิดเคมีอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ ตรงนั้นสำคัญมากครับ
ผมหยิบมาทั้งหมด 9 เล่ม
1. ‘Art and Visual Perception’ โดย Rudolf Arnheim เล่มนี้ถือว่าเบสิกเลย ผมคิดใครที่เรียนดีไซน์ก็ควรที่จะอ่านเล่มนี้ ผมรู้สึกว่าผมเจอมันช้าไปเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าเล่มนี้ถูก Assign มาให้อ่านตอนที่เรียนปริญญาโท ซึ่งจริง ๆ ควรจะอ่านตั้งแต่ปริญญาตรีแล้ว แต่ปัญหาคือการเรียนดีไซน์ที่บ้านเรา สามารถที่จะจบการศึกษาปริญญาตรีได้โดยไม่ได้อ่านหนังสือสักเล่มเลย ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตกใจมากใช่ โดยเล่มนี้ก็ถือเป็น 101 ของการออกแบบเลย ผมไม่แน่ใจว่ามีแปลภาษาไทยหรือเปล่า แต่ก็ควรที่จะแปลเพราะเป็นเรื่องเบสิกหมดเลย ว่าเรา perceive shape and form อย่างไร แล้วเราตีความมันอย่างไร
2. สำหรับ Edward de Bono ก็มีหลายเล่มนะ แต่ ‘Lateral Thinking’ น่าจะเป็นเล่มที่มีอิทธิพลพอสมควร ผมว่าบ้านเราขาดเรื่องการคิดแบบนี้ เราเลยไม่สามารถพาตัวเองออกจากปัญหาได้ ในสิ่งที่มัน unorthodox หรืออยู่นอกกรอบจริง ๆ เล่มนี้มัน provoke ให้เราคิดในลักษณะนั้นได้ แต่ก็อย่างที่รู้กัน de Bono มีหลายเล่มที่ดี ๆ ที่น่าสนใจ
3. ‘A Brief History of Time’ โดย Stephen Hawking เล่มนี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับการเรียนดีไซน์เลยนะ แต่ผมว่ามันโคตรเกี่ยวเลย ผมมาอ่านเล่มนี้ตอนช่วง 90s ก็รู้สึกเสียดายว่าเริ่มช้าไป หนังสือนี้มันขยายให้เราเข้าใจ ฟิสิกส์พอไปถึงขอบหนึ่งมันเริ่มเป็น theory เป็นการคาดเดาจากพื้นฐานของความรู้ที่เรามี ซึ่งตรงนั้นแหละที่มันขยายเพดานมาก และเราสามารถ หยิบยกสิ่งนั้นกลับมาใช้กับงานดีไซน์ได้
ผมว่ามันเป็นหนังสือที่ดี แต่ก็ไม่ได้เลือกเพราะว่าเป็น Stephen Hawking แล้วมันจะดูเท่นะ แต่เพราะมันมีส่วนที่ผมชอบวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว หลายอย่างในงานผมก็อาจจะรีไซเคิลมาจากสิ่งเหล่านี้ หนังสือเล่มนี้ยังพาไปสู่เรื่องอื่นต่อด้วย ทั้ง dimension, quantum physics มีช่วงหนึ่งที่ผมอินเรื่องพวกนี้มาก จนกลายเป็นประตูที่เปิดไปสู่พื้นที่แบบนั้นเลยครับ
4. ‘Looking Closer’ โดย Steven Heller เป็นเล่มที่รวมบทความ แนะนำเลยโดยเฉพาะสำหรับคนเรียนสายกราฟิกดีไซน์ มันเป็นเล่มที่ provoke มาก และจริง ๆ เป็นทั้งซีรีส์ มี Looking Closer 1-2-3-4 หลายเล่ม รวมบทความที่เกี่ยวข้องกับกราฟิกดีไซน์ทั้งนั้น
หนังสือชุดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มเขียนบทความกราฟิกดีไซน์ภาษาไทยด้วย เพราะตอนนั้นบ้านเราไม่มี มันขาดจริง ๆ พอไม่มีหนังสือให้อ่าน ก็ไม่มีใครมาชวนคิดต่อ คนเรียนดีไซน์เลยเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เราพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า อันนี้มันก็เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นะ อันนี้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ อันนี้เกี่ยวกับนิติศาสตร์ มันเกี่ยวกับหลายอย่างหมด ผมพูดเสมอว่าดีไซน์ไม่สามารถยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างใด ๆ ในสังคม แต่ Design School กลับชอบทำให้นักศึกษาคิดว่าดีไซน์อยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่เลย
เวลาเรียนดีไซน์ เขาให้คุณไปเรียน ethics คุณก็ไม่ไป ให้เรียน marketing ก็ไม่ไป เพราะคิดว่าไม่เกี่ยว ให้เรียน calculus ก็ไม่ไป หรือพลศึกษาฟุตบอลก็ไม่ไป ทีมเวิร์กมันก็ไม่เกิด เพราะคุณคิดแค่ว่าจะทำงานสวย แต่ไม่เข้าใจ marketing ทั้งที่จริง ๆ ดีไซน์มันคือการ balance ระหว่าง commercial และ art ถ้าคุณไม่เข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์เลย คุณก็สื่อสารไม่ได้
ในโรงเรียน เราคุยกันแค่ความสวยงาม เด็กที่ออกจาก ‘Factory’ แบบนี้ก็จะไม่แตะเศรษฐศาสตร์เลย แล้วก็จะไปเถียงกับลูกค้าที่คิดแบบนักการตลาดว่า “อันนี้มันไม่เวิร์ก” ฝั่งดีไซน์ก็ตอบว่า ‘เทสต์ไม่ดี’ มันเลย disconnect กันหมด ขณะเดียวกัน อันนี้ผมก็ defend ฝั่งดีไซน์ด้วยนะ คือคนจบเศรษฐศาสตร์หรือ marketing ก็ไม่คิดเรื่อง art เหมือนกัน บ้านเรามันแยกขาดจนไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน
หนังสือ Looking Closer นี่แหละเป็นเล่มที่ดีมาก อ่านง่าย และมีทุกหมวด ทั้ง graphic design, illustration ฯลฯ รวมบทความจากหลายแหล่ง บางอันมาจาก university press หรือนิตยสาร เขารวมมาให้หมด ซีรีส์นี้ออกมานานแล้ว แต่ยัง reprint ได้เรื่อย ๆ เพราะมันอ่านสนุก ไม่ได้ซีเรียสตลอดเวลา
5. ‘Hershey: Milton S. Hershey's Extraordinary Life of Wealth, Empire, and Utopian Dreams’ โดย Michael D'Antonio คือผมเองไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสือเยอะ เลือกอ่านเฉพาะ ประเด็นที่สนใจ ไม่ได้เลือกเพราะอยากดูเชี่ยวชาญ แต่เลือกเพราะแค่ชอบเฉย ๆ อย่างชีวประวัติ Milton Hershey ก็เพราะเคยไปใช้ชีวิตอยู่ Pennsylvania รู้จักแบรนด์ช็อกโกแลต Hershey อยู่แล้วเลยอยากรู้ว่า empire นี้เกิดขึ้นได้ยังไง
เล่มนี้ดี เขาเล่าถึงจิตวิญญาณแบบอเมริกันในยุคนั้น คือทำให้คนเข้าถึงของที่เคยเข้าถึงยาก Hershey คิดสูตร milk chocolate จนขายได้ จากของที่เคยต้องไปซื้อที่ร้านเฉพาะอย่าง GODIVA กลายเป็นของที่ซื้อได้ตาม supermarket ช็อกโกแลต democratize ให้ทุกคนเข้าถึงได้
นี่เป็นเสน่ห์ของอเมริกันในยุคนั้น ที่ประยุกต์ได้กับ consumer product อื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะช็อกโกแลต จะดีไซน์ยังไงให้ทุกคนเข้าถึงได้ นี่คือคำถามสำคัญ มันคือการเดินทางที่ทำให้อุตสาหกรรมเคลื่อน เศรษฐกิจก็เดิน สังคมก็เปล่งประกายได้ ทั้งหมดเริ่มจากแค่ช็อกโกแลตบาร์เดียว ถ้าไม่มีสิ่งนี้ เราก็คงไม่มีช็อกโกแลต commercial ที่กินกันทั่วไปแบบทุกวันนี้
6. ‘Losing My Virginity’ โดย Richard Branson ซึ่ง Richard Branson ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว เล่มนี้ก็ดี แนะนำให้อ่าน แม้จะออกแนว cliché หน่อยเพราะเป็น journey แบบแฟนตาซีเหนือจริง เวลาคนเล่าความสำเร็จของตัวเองก็มักจะฉูดฉาด แต่ถ้าใครอยากได้ความสนุก ฉูดฉาด มันก็มีให้
สิ่งที่น่าสนใจคือการได้เห็น journey ของเขา เริ่มจาก catalogue order เอาแผ่นเสียงจากยุโรปมาขายในอังกฤษราคาถูกกว่า ไปจนเปิดร้านขายแผ่นเสียงที่มีโซฟาให้นั่งฟังได้ นั่นกลายเป็นการวางรากฐานของ distribution channel ในอุตสาหกรรมเพลง ก่อนจะเติบโตเป็น record company และขยายไปอีกหลายธุรกิจ จนถึงการเปิดสายการบิน
พอเห็น journey แบบนี้ มัน inspire มาก จนทำให้ผมคิดว่า จริง ๆ แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ แค่ put your heart into it
7. ‘Outliers’ โดย Malcolm Gladwell ผมว่าเล่มนี้คนคงแนะนำกันเยอะ เพราะ Gladwell ก็มีหลายเล่มที่ดี อันนี้ก็แบบดีเพราะว่าผมว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีความเป็นตรรกะ มีเศรษฐศาสตร์อะไรอย่างนี้คือมันเป็นการสมดุลที่ดี แล้วแบบความน่าจะเป็น มีคณิตศาสตร์ด้วย คือแบบครบ ดีงาม ดีไซน์เนอร์ควรอ่านจริง ๆ เพื่อที่จะให้ปรับไปใช้เป็นกลยุทธ์ในการออกแบบ โดยเฉพาะพวก Branding พวกอะไรต่อมิอะไร ผมว่าเล่มนี้ก็ดี ดีมาก ๆ
8. ‘Visual Thinking’ โดย Rudolf Arnheim เล่มนี้เป็นเหมือนการต่อยอดจากเล่มแรก ตามชื่อเลย หนังสือนี้สอนให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่เราเห็นมันถูกตีความอย่างไร สิ่งเดียวกันถ้าวางอยู่ในบริบทต่างกัน ความหมายก็เปลี่ยนไป แต่ละสังคมก็ตีความไม่เหมือนกัน
สำหรับคนที่ทำ Visual Design หรือ Visual Communication Design ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Visual Thinking งานที่ออกมาก็จะไม่ค่อย sophisticated เท่าไหร่ครับ
9. ‘DisneyWar’ โดย James B. Stewart น้อยคนจะรู้ว่าผม fascinated กับดิสนีย์มาก ฟังดู -ขัดกันมากเลยใช่ไหม แต่จริง ๆ ผมเป็นแฟนดิสนีย์นะ อาจไม่ถึงขั้นแฟนพันธุ์แท้ แต่ก่อนเคยเขียนเรื่อง Disney Park ลงสื่ออยู่เหมือนกัน ผมไป theme park เยอะมาก สนุกด้วย แต่ที่สำคัญคือได้เรียนรู้จากวิธีเล่าเรื่องของเขา ว่าเขาสามารถพาคนเข้าไปอยู่ใน theme journey ที่ถูกดีไซน์ไว้ จัดการเราแบบแนบเนียนโดยไม่ต้องมาจูงมือ
หนังสือ DisneyWar โฟกัสช่วงที่ Michael Eisner เป็น CEO เล่าถึง conflict ระหว่าง Eisner, Frank Wells และ Jeffrey Katzenberg จน spin off ไปเป็น DreamWorks ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจากความแค้น สิ่งที่น่าสนใจคือเราได้เห็น personal interest ของคนระดับนี้ที่หลอมรวมเข้ากับการทำงาน
อีกอย่างที่ผมได้จากเล่มนี้คือ รสนิยมของ taste ของ CEO สำคัญมาก พอเปลี่ยน CEO รสนิยมของบริษัทก็เปลี่ยนไปด้วย เล่มนี้เล่าเฉพาะยุค Eisner แต่ถ้าไปอ่านเล่มของ Bob Iger แล้วเทียบกับ Eisner จะเห็นชัดเลยว่า Iger กับ Eisner ไปคนละทาง และเราจะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ Iger กลายเป็น Iger ทุกวันนี้ ดิสนีย์ถึงเป็น IP-based หมด
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามองในฐานะแฟน theme park ผมก็จะบอกว่า IP ทำลาย theme park ไปเยอะ ความวิเศษมันเบาบางลงไป แต่เรื่องนี้ถ้าจะคุยจะยาวมาก เพราะเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ว่าผมสนใจ และผมก็วิจารณ์บ่อย ๆ ว่าดิสนีย์สมัยใหม่ทำให้แบรนด์ตัวเองเจือจางลงไปมาก
แต่นี่ไม่ได้เยอะนะ ผมยืนยันว่าผมเลือกมาหลายเล่ม แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมอ่านหนังสือเยอะ นี่ก็จะกลับมาตอบคำถามเรื่องว่าไม่ต้องอ่านเยอะ ถ้าบอกว่าไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะมันก็จะถูกจับใจความไปว่ามึงไม่ต้องอ่านเยอะหรอก แต่ที่หมายถึงคืออ่านเล่มที่เราชอบ แล้วเล่มที่ให้แรงบันดาลใจเรา เล่มไหนถ้าอ่านไปแล้วสัก 1 ใน 3 ของเล่ม แล้วแม่งยังไม่ทำเคมีกับคุณ ผมว่าก็ไม่จำเป็น นอกเสียจากว่ามันเป็น 101 จริง ๆ นะ ไม่ใช่เรียนคณะของคุณ แล้วบอกว่าอ่านเล่ม 101 ไป 1 ใน 3 ของเล่ม แล้วบอกว่ายังไม่คลิก อันนั้นก็คงต้องย้ายคณะแล้วไหม
เหมือนที่เคยคุยกันว่าคนเรามี ‘ลิ้นชักความสนใจ’ อยู่หลายลิ้นชัก ดิสนีย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้างหลังหัวเรามีความสนใจเป็นร้อยเป็นพัน แต่สิ่งที่ต้องถามคือ ในแต่ละลิ้นชัก เรามี index card อยู่หรือเปล่า
ถ้ามีแต่ลิ้นชักเปล่า ๆ มันจะ integrate กันไม่ได้ สมมุติเรามี 100 เรื่อง 100 ลิ้นชัก จริง ๆ มัน connect กันได้หมด แต่ต้องมี card อยู่ในนั้นก่อน ซึ่งก็คือประสบการณ์ ซึ่งมาจากการอ่าน การดู การฟัง ทุกอย่างสร้าง card ขึ้นมาในแต่ละลิ้นชัก
พอมี card มากพอ มันจะกลายเป็นระบบอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกันเอง เวลาคุยเรื่องหนึ่ง คุณก็สามารถเปิดลิ้นชักนี้แล้วเชื่อมกับอีกลิ้นชักหนึ่งได้ทันที กระบวนการแบบนี้จะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องฝืน แต่ถ้าอ่านน้อยหรือบริโภคข้อมูลเหล่านี้น้อย แค่การดูอย่างเดียวโดยไม่อ่านเลย มันก็จะกลายเป็นข้อมูลอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงได้ยากกว่า
เรื่องสวยงามเป็นเรื่อง Subjective มาก แล้วก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย บางคนชอบตี๋หมวย เขาก็จะชอบตี๋หมวยมากกว่าผมสีบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสองคนนี้เถียงกันให้ตาย มันก็ไม่มีประโยชน์ แต่ผมไม่ได้บอกว่าความสวยงามมันไม่ดีนะ
ในโลกของการออกแบบคุณไปเรียน 4 ปีก็เพราะเขาก็อยากให้คุณสร้างความสวยงามนี่แหละ แต่ว่าเขาลืมบอกคุณว่าเขาอยากให้คุณเข้าใจเรื่องความสวยงาม คุณต้องหาจุดสมดุลของความสวยงามลงไปในความต้องการของการตลาดด้วย ของระบบเศรษฐศาสตร์ ของโลกแห่งความเป็นจริงด้วย
ถ้าคุณจะเอาความงามไปบอก ไปโยนให้คนอื่น แล้วบอกว่านี่คือความสวยงาม คุณต้องชอบ ชอบเดี๋ยวนี้ เพราะกูเรียนมา 4 ปี แบบนี้คือมันไม่ใช่ แต่ก่อนผมก็คิดแบบนั้น ก่อนที่ผมจะมาค้นพบว่ามันไม่ใช่ เพราะว่าเราจะเถียงกันไม่จบ แต่เราไม่ได้บอกว่าไม่ให้เถียง เราไม่ได้บอกว่าให้คิดแบบนี้เพื่อที่จะให้มันจบ ไม่ใช่ แต่คุณต้องเข้าใจว่ามันมีจุดสมดุลนี้อยู่จริง This is how the world operates.
ถ้าทุกคนเขาผ่าน 4 ปีในรั้วโรงเรียนดีไซน์เหมือนคุณทั้งหมด มันอาจจะง่ายกว่านี้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เราต้อง Get real ด้วย เวลาสอนในโรงเรียนดีไซน์ สอนในโรงเรียนอาร์ตมันคุยกันแต่เรื่องความสวยงาม อย่างมากก็มีแค่ว่าตรงกลุ่มเป้าหมายไหม มันคร่าวมาก ๆ แต่มันไม่มีข้อแม้เลยว่าแบบลูกค้ามีเงินเท่าไหร่ เราทำอันนี้ได้ไหม สิ่งที่คุณคิดมาทั้งหมดมันทำได้ไหม มันทำได้จริงหรือเปล่า
‘สุด’ มันต้องสุดในข้อแม้ ถ้าอยากได้สุดแบบไม่มีข้อแม้เลย ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้ ทุกคนทำได้ แต่ความ ‘สุด’ นั้นมันก็อยู่ในกรอบขององค์ความรู้ที่มี อยู่ในงบประมาณที่มี หรือแม้แต่ในช่วงชีวิตที่จำกัด มันก็สุดได้แค่นั้นแหละ
อย่าลืมว่านี่คือ commercial work สุดท้ายคุณก็ต้องขาย และโศกนาฏกรรมที่สุดก็คือ ถ้าคุณช่วยลูกค้าทำงานเพื่อให้เขาเอาไปขายต่อ แล้วเขาขายไม่ได้ อันนั้นคุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็ไม่ใช่นักอกแบบแต่เป็นศิลปินไปเลย เพราะฉะนั้น การทำงานมันต้องเข้าใจโจทย์ และต้องไปให้สุดในข้อแม้นั้น ๆ ให้ได้
การจะรู้ว่างานไปได้สุดหรือยัง ก็ดูจากเงื่อนไขที่เขาเจอ เพดานของงานคืออะไร ปัญหาคืออะไร เขาแก้ปัญหานั้นได้หรือยัง แน่นอน วิธีแก้ปัญหาอาจจะมีที่สวยงามกว่านี้ แต่โจทย์มันมีข้อแม้อื่นเข้ามา ทำให้ความสวยงามต้องลดลงมาระดับหนึ่ง ซึ่งมันมีเหตุผลทั้งนั้น แม้กระทั่งความชอบของลูกค้าที่ดื้อจะเอาสีเหลืองอย่างเดียว แบบยืนกระต่ายขาเดียว อันนั้นก็เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง
แต่หน้าที่ของนักออกแบบคือหาทางก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดไปให้ได้ เช่น ถ้าโจทย์คือต้องเหลืองอย่างเดียว เราอาจจะขอปรับเป็นเหลือง 70% หรือใช้เหลืองร่วมกับสีอื่นเป็น secondary color ที่ช่วย support ได้ หรือเลือกเฉดเหลืองที่สมดุลกับสีอื่นเพื่อให้สามารถตกลงกันได้ นั่นก็คือการออกแบบเหมือนกัน
อย่าเข้าใจผิดว่าการออกแบบต้องอลังการ typography เยอะ ๆ จัดวางซับซ้อนเท่านั้น จริง ๆ แล้ว การออกแบบคือการตัดสินใจที่ต้องแก้ไขปัญหาและยังต้องทำให้งานออกมาสวยได้ภายใต้ข้อจำกัดที่มี
แต่ถ้าคุณไม่ label เหตุผลเหล่านี้ให้ชัด แล้วเอาศิลปะนำอย่างเดียว บางทีมันก็ไม่เวิร์กแบบว่าตายตัว บางงานมันก็อาจจะแบบเขาปล่อยให้ดีไซน์นำ เพราะเขาอยากจะขายในแบบนั้นก็ได้ มันก็อยู่ที่ว่าเราจะหาจุดสมดุลยังไงให้มันตรงประเด็น
แต่ทั้งหมดนี้ ถ้าจะมีคนไม่เห็นด้วยกับผมก็ได้นะ ไม่เป็นอะไร
ก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ ในเมื่อตอนแรกที่เราเริ่มคุยกัน แล้วเราเห็นความที่แต่ละศาสตร์มันไม่เชื่อมต่อกันแต่ละคณะมันไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อกันและกัน คือผมว่าการเรียน พอมันถูกแยกขาดจากกันหมด คนเรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เรียนศิลปะเลย มันก็จะไม่มีความเข้าใจภาษาของศิลปะ ก็จะขาดความเห็นหน้าอกเห็นใจต่อศาสตร์อื่น ๆ และเข้าใจเหตุผลว่าที่มันเป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะอะไร
พอแต่ละศาสตร์มันถูกแยกขาดจากกันหมด ต่างคนต่างก็ต้อง ‘Fight for your existence’ (ดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อจะอยู่รอด) ในที่ประชุม เพราะมันขาดความเห็นอกเห็นใจกันในระหว่างทีม แต่ทุกวันนี้ผมว่ามันก็น้อยลง ๆ เช่น Software Engineer ผมว่าตอนนี้เริ่มจะต้องทำความเข้าใจแบบ UX UI ดีไซเนอร์ มากขึ้น เพราะว่ามันแบบมันโดน Modern Work บีบอัดให้แบบต้องเข้าใจ แต่มันไม่ต้องรอให้สถานการณ์มันบีบอัดให้เราต้องเข้าใจคนอื่นที่ร่วมงานกับเราก็ได้นะ
อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงว่าเวลาคนพูดถึงการออกแบบ เขาก็จะนึกถึงจการออกแบบ Visual อะไรอย่างนี้ แต่ Communication Design มันคือการออกแบบการที่เราจะสื่อสารกัน แล้วตรงนี้ทุก )ขอโทษนะครับ) ทุกมหาวิทยาลัยที่สอน Communication Design แม่งห่วยเรื่องนี้…
หลักฐานจากอะไร? หลักฐานจากเด็กที่เรียน Communication Design แม่งพรีเซนต์หน้าห้องยังไม่ได้เลย
แล้วคุณจะ Communicate อะไร?
ก็คงได้ แต่ถ้าผมดูงานที่คุณออกแบบมาแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะอะไร? ก็เพราะเด็กไม่ได้ถูกสอนให้เข้าใจจิตวิทยา ไม่ใช่แค่การพูดอย่างเดียว แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในการพูดมันมีทั้งจิตวิทยา สังคมวิทยา มนุษย์วิทยา สิ่งเหล่านี้เราแทบไม่พูดกันเลยในโรงเรียนที่สอน Communication Design
สิ่งที่เด็กทำกันก็คือคุยนอกรอบ แบบว่า “ครูคนนี้ชอบอะไร เดี๋ยวต้องพูดแบบนี้” อันนี้ก็ใช่ เป็นจิตวิทยา แต่มันบางมาก เป็นแค่กลยุทธ์ในการเอาตัวรอดเฉพาะหน้า แต่โลกความจริงต้องการมากกว่านั้นเยอะ เด็กไม่ได้ถูกสอนให้เข้าใจกลยุทธ์แบบถ่องแท้
นี่ยังไม่นับเรื่องความสามารถในการพูดในที่ชุมชนอีก ซึ่งมันก็วนกลับไปสู่การฟัง–พูด–อ่าน–เขียนทั้งหมด
ถ้าเขียนไม่ได้ก็แปลว่าอ่านน้อย อ่านน้อยก็เขียนไม่ได้ และถ้าเขียนไม่ได้ก็มีแนวโน้มสูงที่จะพูดไม่ได้ด้วย
เราไม่เคยบรีฟเด็ก Communication Design ให้เขียนเยอะ ๆ เพราะเข้าใจว่าจะไปบรีฟให้เขาพูดแทน คิดว่าสอน presentation ก็พอแล้ว แต่จริง ๆ presentation ต้องเริ่มจากการเขียนก่อน พอเขียนได้ เขาก็จะเรียงลำดับความคิดจากขบวนความคิดออกมาได้ แล้วก็พูดตามขบวนความคิดนั้น ส่วนที่เหลือคือการเติมความกล้า เติม character ลงไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ฟัง–พูด–อ่าน–เขียนมันคือเรื่องเดียวกันทั้งหมด เพียงแต่มันอยู่คนละ chapter ของกระบวนการ ถ้าฟังน้อยก็พูดไม่ได้
ตรงนี้ขอเชื่อมโยงให้เห็นอีกมุมหนึ่ง ในเรื่อง ‘การฟัง’ ผมเคยไปเรียนร้องเพลง เพราะอยากเข้าใจกลไกของมัน เวลาดูรายการร้องเพลง เรามักจะบอกว่า “คนนั้นร้องเพราะ คนนั้นร้องเพี้ยน” อย่างรายการ I Can See Your Voice ผมชอบดูมาก แต่พอไปเรียนจริง ๆ ก็ได้รู้ว่าการร้องเพลงมันมีกลไกของมัน ซึ่งส่วนใหญ่คนมองข้าม คิดว่าแค่ใช้ปากร้องไปก็จบ แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย
อย่างแรกที่คนไม่ค่อยเข้าใจกันเลย (ซึ่งผมไม่ได้เป็น professional ทางนี้นะ เพียงแต่เคยเรียนแล้วพยายามเชื่อมโยงให้เห็นภาพ) ก็คือจริง ๆ แล้ว ‘คนร้องเพี้ยน’ แทบไม่มี หรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก เพราะสาเหตุของการร้องเพี้ยนคือคุณ ‘ไม่ได้ฟัง’
เขากดโน้ตนี้ แต่คุณไม่ได้ฟัง คุณได้ยินแค่ว่ามีเสียงเกิดขึ้น แต่คุณไม่ได้แยกว่ามันคือโน้ตอะไร ถ้าคุณฟังแต่ไม่ยิน คุณก็ไม่สามารถเปล่งเสียงเดียวกันออกมาได้ นั่นแหละถึงเรียกว่าร้องเพี้ยน จริง ๆ มันมีอยู่แค่นั้น แล้วมันก็กลับไปที่เรื่องเมื่อกี้เลย — ถ้าคุณฟังไม่รู้เรื่อง คุณจะเขียนได้ยังไง ก็เขียนไม่ได้
ใช่ คือคุณฟังเฉย ๆ แต่ไม่ได้ยินจริง ๆ ก็จับใจความไม่ได้ ปัญหาการจับใจความนี่แหละโคตร ร้ายแรงเลยในยุคปัจจุบัน เด็กสมัยนี้จับใจความไม่ได้ เพราะพวกเขาฟังแต่สิ่งที่ถูกสรุปมาแล้ว
ผมไม่ได้ดูถูกเด็กยุคนี้นะ แต่อยากพูดตรง ๆ ว่าเขาโตมากับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ ผ่านเทคโนโลยี ผ่านทุกอย่าง เราลำเลียง content แบบนี้ไปให้เขาเอง You are what you eat เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฝึกฟังจริง ๆ มันก็พูด อ่าน เขียนไม่ได้ มันติดกันหมด
ทักษะการฟังในยุคสมัยนี้น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะในยุคที่เราไถ TikTok ทุกคนต้องการแต่ความฉูดฉาดของคำ เพื่อจะได้ attention ได้ engagement เนื้อหาที่ถูกผลิตขึ้นมาก็เลยเต็มไปด้วยความฉูดฉาด อารมณ์ ท่าทาง ทุกอย่าง crop เฉพาะส่วนที่โดนที่สุด แล้วคนก็มักลืมใจความ
และยิ่งกว่านั้น ใจความยังไม่พอ ต้องไปถึงเจตนาด้วย แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงเจตนา กลับไปจับที่เปลือก เช่น “ไม่ชอบเลย เพราะพูดจาแบบนี้” ทั้งที่เจตนาแม่งโคตรดีเลย แต่มันถูกกลบไปหมดแล้ว
อยู่กับการเสพแบบนี้ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง นานเป็นสิบปี คุณคิดว่าจะได้คนแบบไหน? คุณก็จะได้คนที่ฟังไม่แตก เพราะสมองสร้างตัวกรองใหม่ไปแล้ว คือการฟังแต่สิ่งฉูดฉาด ฟังแต่ punch line ฟังแต่คำที่เสียดแทงหรือเรียกความสนใจ แต่ใจความจริง ๆ ที่ต้องการนำเสนอก็หายไปเลย
ทุกคนอยากโลกสวย ไม่อยากฟังอะไรที่ไม่ดี ทั้งที่บางทีใน ‘สิ่งที่ไม่ดี’ นั้น ถ้าคุณข้ามไปดูเจตนา คุณจะเจอของที่มีค่า แต่มันไม่ไปถึงตรงนั้นแล้ว เพราะคนไปจอดอยู่แค่ที่เปลือกของคำพูด
ผมว่ามันไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมการออกแบบนะ แต่มันทุกอุตสาหกรรม และทุกคณะวิชา
ทุกวันนี้เรากำลังถูกบีบอัดให้ต้องมีหลักสูตรแบบ ‘Multidisciplinary’ (สหสาขางวิชา) จริง ๆ คำนี้มีมานานเป็นสิบปีแล้ว เคยฮิตอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้เกิดจากอุดมศึกษาเป็นผู้นำ มันเกิดจากแรงกดดันของสังคมที่เรียกร้องให้อุดมศึกษาต้องสนับสนุน เพราะสิ่งที่สอนอยู่มันไม่ตรงกับความต้องการของโลกภายนอก
อุดมศึกษาไม่ได้ทำตัวเป็นผู้นำของสังคมเลย ทั้งที่จริง ๆ บทบาทของอุดมศึกษาควรจะผลิตคนที่มาบอกว่า “สังคมมันจะไปทางนี้นะ เราเดินไปทางนี้กันเถอะ” ต้องฟูมฟัก นักคิดที่นำพาสังคมไปข้างหน้า
เอาเฉพาะ 30 ปีที่ผมสอนหนังสือมา อุดมศึกษาไทยมีหน้าที่แค่ตอบโจทย์ว่า “อยากได้กราฟิกดีไซเนอร์ใช่ไหม ก็ผลิตกราฟิกดีไซเนอร์ให้” มันเลยกลายเป็นผู้ตาม กลายเป็นการผลิตแบบโรงงาน ไม่ใช่ว่าโรงงานมันผิดนะ แต่คำถามคือโรงงานผลิตอะไรออกมา? คนเก่ง ๆ ที่มี very high entrepreneurship ถามว่ามีไหม? มี แต่โคตรน้อย น้อยจนต้องบอกว่ามันควรมีได้มากกว่านี้เยอะ ถ้าระบบมันถูกออกแบบมาให้รองรับ
ตรงนี้คือประเด็น ระบบที่เรามีอยู่ มันออกแบบให้คนแบบนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า? คำตอบผู้อ่านคิดได้เองเลย ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เราจะหวังพึ่งโชคอย่างเดียวไม่ได้ ประเทศมันขับเคลื่อนแบบนี้ไม่ได้ ที่ว่าโชคดีมี ภราดร ศรีชาพันธุ์ โชคดีมี สมรักษ์ คำสิงห์ โชคดีมี ต๋อง ศิษย์ฉ่อย แล้วก็จบ ไม่มีต่ออีกแล้ว แต่ทุกอย่างมันสร้างได้ มัน design ได้
นี่ก็คือ design ใช่ไหม แต่บ้านเรายังทำเหมือนว่า “โอ้ โชคดีชนะคณิตศาสตร์โอลิมปิก” แล้วก็แห่กันไป แล้วก็จบ
ถ้าว่าอะไรแบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะอะไร? ก็เพราะว่าบ้านมีตังค์ส่งลูกเรียน แล้วลูกมันก็เอาถ่านด้วย พ่อแม่เขาดีไซน์มาดี ประเทศไม่ได้ดีไซน์เขา พ่อแม่เขาแค่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาของสังคมที่มันภาคใหญ่ ปกป้องไม่ให้มันไปกระทบกับลูกเขา หรือว่าไม่ไปกระทบกับอนาคตของลูกเขา แต่ทำไม ครอบครัวต้องลำบากขนาดนี้ในการที่จะแบบให้ลูกได้ดี มันควรจะเป็นสิทธิพื้นฐานหรือเปล่า? แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบว่า ทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ อันนั้นเราก็ต้องอยู่บนความจริงด้วยแต่ว่า Percentage มันมีได้มากกว่านี้เยอะ ๆ เลย แต่เราไม่ยอมให้เกิดขึ้น
ผมพูดตรง ๆ เลยนะ (แต่อันนี้ Painful มากนะ อาจจะทัวร์ลงแน่นอน) ทุกวันนี้ถ้ามีคนมาถามผมว่า “จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัยไหม” ผมยังตอบว่า “ไม่ต้องก็ได้” รุ่นนี้อาจจะเป็นรุ่นสุดท้ายด้วยซ้ำที่สังคมยัง give a shit กับใบปริญญา ถ้ามหาวิทยาลัยยังรันไปแบบเดิม ผมว่ามันไม่ไหวแล้วนะครับ
คำถามง่าย ๆ คือ อาจารย์มีความรู้มากกว่า YouTube ไหม? มีมากกว่า Google ไหม? ถ้าอาจารย์มีความรู้แค่เท่าหรือยังน้อยกว่า Google ตรงนี้ไม่ valid แล้วนะ แต่สิ่งที่จะทำให้มหาวิทยาลัยยังรอดได้ คือการ serve สิ่งที่เด็กจะไม่ได้จาก YouTube หรือ Google สิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ประสบการณ์เทียม’
YouTube ให้ได้แค่ how-to แต่ YouTube ไม่ได้ให้ discussion สิ่งที่เด็กขาดคือการได้ถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิด และตรงนี้อาจารย์ต้องพร้อมที่จะ discuss กับเด็ก แต่ปัญหาคือ… อาจารย์หลายท่านอาจจะไม่พร้อม เพราะ discussion มันน่ากลัวสำหรับคนที่สอนแบบ routine มาตลอด มันเปิดโปงเลยว่าคุณมีลิ้นชักความรู้เยอะแค่ไหน และในแต่ละลิ้นชักมี index card อยู่แค่ไหน
มันจะฟ้องเลยว่าอาจารย์หยุดการเรียนรู้เพิ่มเติมไว้ตรงไหน
เพราะว่าเราจะรู้จาก discussion ที่คุยกันนั่นแหละ น่ากลัวนะ แต่มันเป็นตัวชี้วัดที่ดีมาก ๆ เลย ผมบอกได้เลยว่านี่แหละคือวิธีรอดของมหาวิทยาลัยยุคใหม่
ขอไม่แตะคณะอื่น เอาเฉพาะคณะดีไซน์ก็พอ ถ้าคุณจะสอนดีไซน์แล้วคุณยังไม่สามารถให้ได้แม้แต่ discussion จริง ๆ แล้วคุณไม่ต้องไปสอน how-to การใช้โปรแกรมอะไรพวกนั้นเลยก็ได้ด้วยซ้ำ แค่ assign ให้เด็กไปเรียนรู้เอง เพราะถ้าแค่วิธีใช้โปรแกรม เด็กไม่จำเป็นต้องมาเรียนมหาลัยหรอก ถูกต้องไหมครับ?
เช่น คุณไปดูเรื่องนี้มา คุณคิดยังไงกับมัน? คุณคิดแบบนี้ใช่ไหม โอเค ผมมีความคิดอีกแบบหนึ่งนะ จากประสบการณ์ของผมมันเป็นอย่างนี้ ๆ … คุณเคย concern เรื่องนี้หรือยัง ถ้ายังไม่เคย ผมแนะนำนะ ลองไปอ่านหนังสือเล่มนี้ ลองดูเว็บไซต์นี้ งานวิจัยนี้ หรือ YouTube คลิปนี้ก็ได้
หรือบางทีผมเองก็กลับมาเล่าให้ฟัง เช่น “อาทิตย์ที่แล้วผมไปเจอสารคดีเกี่ยวกับเรื่องที่เราเรียนเลย อาจจะฟังยากหน่อยเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วมันมีแก่นเดียวกับการแก้ปัญหาด้าน communication นะ” อย่างเรื่อง Game theory ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วเอาไปโยงกับ Branding ได้ มันจะทำให้วางกลยุทธ์ให้ลูกค้าได้ลึกกว่าแค่เรื่องสวยงามอีก
นี่แหละ discussion ที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่อาจารย์ทุกคนจะทำได้ เพราะการสอนเพื่อ ‘สอน’ อย่างเดียวไม่พอ
Good teacher teaches, Great teacher inspires. แล้วการ inspire ไม่จำเป็นต้องสอนเป็น routine เลยนะ คุณเชื่อไหม แค่คุณ inspire ใครสักครั้งเดียว มันกดปุ่ม self-learning ให้เขาได้ ทุกอย่างจะรันต่อเองอัตโนมัติ
หน้าที่ของอาจารย์จริง ๆ คือหาปุ่มนั้นให้เจอ แล้วกดมันด้วย inspiration สมมติเด็กสนใจ type design อยู่แล้ว ถ้าเรา inspire เขาได้จริง ๆ ที่เหลือเขาจะไปขุด YouTube ไปหาหนังสือ ไปโกยความรู้ทุกอย่างเองหมดเลย เราไม่ต้องคอยเอาใส่ช้อนแล้วป้อนให้เลยด้วยซ้ำ
ใช่แล้วครับ พอปุ่มนั้นถูกกดขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะกลายเป็น Lifelong Learning ที่ไปไกลกว่าสี่ปีมหาวิทยาลัย และนั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้เด็กอยู่รอดได้
ถ้าไม่มีกระบวนการนี้ จะเกิดอะไรขึ้น? รุ่นผมสมัยก่อนเรียนจบ 4 ปี ความรู้ที่ได้มาก็เป็นความรู้แบบ บอกต่อ หนังสือแทบไม่มี ออกมาแล้วก็ยังพอใช้เป็นข้อได้เปรียบอยู่สิบปี เพราะโลกภายนอกยังเดินช้ากว่า
แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ความรู้ใหม่มันมาเร็วในระดับรถไฟความเร็วสูง
สมัยก่อนพอเรียนจบ ใบปริญญายังการันตีได้ว่าคุณเป็น professional อย่างน้อยสิบปี แต่ทุกวันนี้ Dead on arrival เลยครับ คือเรียนจบมาก็หมดอายุทันที ไม่ได้แปลว่าคนไม่เก่งนะ แต่สิ่งที่เรียนมันไม่ valid แล้ว มันเป็นศูนย์ตั้งแต่แรกเข้า ทางเดียวคือคุณต้องทำให้ Lifelong learning มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกไม่อย่างนั้นก็อยู่รอดไม่ได้
ผมขอปิดคำตอบนี้ด้วยสิ่งที่อยากเน้นมาก ๆ เลยนะครับ คือ Design School ต้องเลิกสอนด้วย Mentality แบบเดิม ถ้าไม่เริ่มวันนี้จะสายเกินไป สิ่งที่ต้องใส่เพิ่มลงไปทันทีคือ History ทั้ง History of Art, Design History และ History ของโลกทุกแขนง
เพราะถ้าคุณไม่รู้ History คุณจะไม่มีไวยากรณ์ที่เอาไว้ใช้ต่อยอด โดยเฉพาะในยุคที่ AI เข้ามาเต็มรูปแบบแล้ว
จุดตัดมันจะอยู่ตรงความสามารถในการเขียน Prompt สมมุติว่าคุณจะทำโปสเตอร์ซีรีส์ 10 แผ่นในธีม Art Nouveau แค่รู้ว่า “นี่คือ Art Nouveau” มันไม่พอ เด็กศิลปะทั่วไปก็พูดได้ แต่ถ้าคุณรู้ว่าศิลปิน Art Nouveau คนไหน อยู่ช่วงปีไหน ใช้โทนสีแบบไหน เรียกว่าสีอะไร ความเฉพาะแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ Prompt ของคุณเหนือกว่าคนอื่น และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ Design ยัง Survive ได้
ปัญหาคือ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา History เป็นวิชาที่อ่อนแอที่สุดในหลักสูตร Graphic Design และ Art แต่วันนี้กลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ยกระดับเรื่องนี้ งานดีไซน์ในอนาคตจะไม่มีทางแข็งแรงพอที่จะยืนหยัดได้
ถ้าพูดถึง ‘คัดสรร ดีมาก’ คนส่วนใหญ่ก็คงตอบทันทีว่าเป็นบริษัททำฟอนต์ คำตอบนี้ก็ไม่ผิด และจริง ๆ แล้วในยุคหนึ่ง มันเป็นคำตอบที่ดีมากด้วย โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เพราะทุกบริษัทก็อยากให้โลกภายนอกรู้ว่า คุณยืนอยู่ตรงไหน ซึ่งในเวลานั้น แค่บอกว่า ‘คัดสรร ดีมาก = ฟอนต์’ ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี มันกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะการที่คนมองเราแค่ ‘ทำฟอนต์’ อย่างเดียว มันทำให้เขาคิดไปเองว่าเราคงไม่เข้าใจหรือทำอย่างอื่นไม่ได้ ทั้งที่จริง ๆ เราไม่เคยมองตัวเองว่าเป็น just a type foundry เลย เพียงแต่ในวันแรก ๆ เราต้องการให้คนเข้าใจว่า type foundry คืออะไร และเราทำให้สำเร็จโดยที่ชื่อ ‘คัดสรร ดีมาก’ ไม่ได้มีคำว่า font, type หรือ letter อยู่เลย แต่คนกลับจำได้ทันทีว่าหมายถึงฟอนต์ ซึ่งไม่ง่ายนะครับ
ปัญหาคือ วันนี้การถูกนิยามแค่ ‘ฟอนต์’ กลับทำให้เราสื่อสารเรื่องอื่นยากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น branding, เพลง หรือหนังที่เราก็ทำเหมือนกัน และเราทำได้ดีด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น หลัง ๆ ผมเลยพยายามอธิบายว่า
คัดสรร ดีมากคือ ‘อะไรก็ได้’ ที่เราสนใจและตั้งใจใส่หัวใจลงไป มันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวตรง ๆ กับฟอนต์ แต่ยังอยู่ในจักรวาลรสชาติเดียวกัน อย่างถ้าวันหนึ่งเราจะทำแฟชั่นแบบ ready-to-wear สมมุตินะ มันก็จะออกมาในแบบที่เป็น ‘คัดสรร ดีมาก’ แน่นอน
แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าเราจะไปทำทุกอย่าง เพราะแต่ละสิ่งต้องมี index card อยู่ในลิ้นชัก มีความรู้สึกและประสบการณ์ก่อน มันต้องมี ‘เชื้อ’ ของความอินจริง ๆ ไม่งั้นก็ทำไม่ได้ แต่ถ้ามีใครอยากให้เราลองทำอะไรสักอย่าง แล้วอยากได้ flavor แบบคัดสรร ดีมาก เราก็พร้อม เพราะเรามีภาษาและจักรวาลของตัวเองอยู่แล้ว
โห การทำรายการนี่ ถ้าเกิดว่ามองกลับไปใน record ของเราทั้งหมดจะเห็นว่า ก่อนหน้าที่จะมีคัดสรร ดีมาก เรื่องของฟอนต์ไม่ได้ democratize มันเป็นเรื่องที่ลึกลับมาก ใครทำก็ไม่รู้ ทำยังไง นั่ง Time Machine กลับไปดูได้ หนึ่งในสิ่งที่เราทำในระหว่างทางที่เราจะมาถึงตรงนี้ เราเริ่มทำทัวร์นะ
วันแรกที่เราตั้งบริษัท คนไทยยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่า Typography คืออะไร ไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าฟอนต์ต่างกับ Typeface ยังไง Typeface ต่างจาก Lettering ยังไง Type Design คืออะไร ไม่เข้าใจเลย เราผ่านวันแบบนั้นมา แล้วการที่จะผ่านวันแบบนั้นได้ เราต้องมีเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือแม้กระทั่งตระเวนบรรยายไปสอน และทัวร์ก็เป็นอันนึง Workshop ก็เป็น Tool แบบนึง จัดสัมมนาเล็ก ๆ ย่อย ๆ หรือว่ามีบรรยายที่ก็เป็น Tool แบบนึง
พอมาตัดเข้าเรื่องรายการ ‘ระหว่างบรรทัด’ นะ ก่อนหน้านี้เราก็ทำทัวร์มาตลอด TCDC ก็เป็นพันธมิตรที่ดี ช่วยซัพพอร์ตและประสานงานหลายอย่าง แต่ขอย้ำว่าทุกทัวร์เราก็ออกเองอยู่พอสมควร ไม่ใช่เงิน TCDC ล้วน ๆ ถ้าอาศัยแต่เงิน TCDC อย่างเดียวก็ทำในสเกลนั้นไม่ได้หรอก เพราะเราเอาคนไปทีละชุด หยุดงานกันจริง ๆ เลย บางทัวร์หายไปสองอาทิตย์ งานบริษัทก็ยังไม่ได้ทำ แต่นั่นแหละ มันคือพาร์ตของการลงทุน เราลงทุนเวลา ลงทุนคน ทีมที่ออกไปต้องนั่งซ้อมบรรยายกันจริงจังมาก
ใครที่เคยดูบรรยายของเราจะรู้ว่าเราออกแบบการสื่อสารเลย ไม่ใช่แค่ขึ้นไปพูดด้นสด เราไปแทบทุกมหาวิทยาลัย ทำทัวร์กันมาตั้งสามสี่รอบได้มั้ง บางงานจัดในที่เล็ก ๆ คนมากันสิบคนก็มี แต่ก่อนคนต้องพาตัวเองไปถึงที่ ถึงจะเข้าถึงสิ่งที่เราพยายามสื่อสาร ผมเลยพูดในรายการบ่อยว่า ‘อย่าห่วงว่ามันดู fragmented เดี๋ยวมันจะค่อย ๆ ประกอบกันเอง’ แล้วก็ชวนคนดูย้อนกลับมาดูว่า ระหว่างบรรทัด Live มีคนดูเท่าไหร่ ยอดวิวแม่งขำมาก เล่าให้ใครฟังเขาก็ขำ บางทีร้อยนึง 150 บ้าง 200 บ้าง คนอื่นคงเลิกทำไปนานแล้ว
แต่สำหรับเรา มันคนละมุมเลย เพราะเมื่อก่อนใครอยากฟังก็ต้องจอง ต้องเดินทาง ต้องถอดตัวเองออกจากงาน มานั่งฟัง 40 นาที ชั่วโมงนึง ชั่วโมงครึ่ง รับได้ทีละ 10–20 คน หรือไปตามทัวร์ บางที่ก็ทั้งห้องเพราะอาจารย์เกณฑ์เด็กมา แต่ก็ยอมรับว่ามันกระจายความรู้พื้นฐาน ได้จริง ๆ และจากการออกไปนี่แหละที่ทำให้เราเห็นชัด ๆ ว่า something went very wrong กับการสอนพื้นฐานเรื่องตัวพิมพ์ อย่างที่ผมเพิ่งเล่าว่า คนส่วนใหญ่ยังไม่แยกไม่ออกว่า typography ต่างจาก type design ยังไง ยกตัวอย่างเราไปมหาวิทยาลัยในหัวเมือง ทั้งเมืองหลัก เมืองรอง ก็พบว่าสิ่งที่เราบรรยายแทบไม่ได้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย อันนี้ช็อกกว่าอีก ขับรถตู้ไปถึงธรรมศาสตร์รังสิตก็เหมือนอีกโลกนึง ต้องสื่อสารกันใหม่หมด
จนเราต้องย้อนตั้งคำถามว่า “แล้ว design school คืออะไร?” กันจริงจัง
แน่นอน พลังงานจากตรงนั้นมัน feed passion และเจตนาของเราต่อเนื่องมาตลอด Fast forward 15–20 ปี วันนี้เรานั่งคุยเรื่อง typography กันเป็นเรื่องปกติในสังคมแล้ว มันมาไกลมาก ๆ เพราะงั้นเวลามีคนแซวยอดวิว 100–200 บนไลฟ์ ผมกลับมองว่าโคตรเจ๋ง เมื่อก่อนหอบกันมาฟังได้ 20 คน วันนี้ 200 วิวจากทุกที่ จะเรียกว่าขยายขึ้น 90% ก็ได้ (หัวเราะ)
แต่สำหรับเรามันคือการเข้าถึงที่โตแบบก้าวกระโดด และนี่แหละเหตุผลที่เรายังทำรายการอยู่จนถึงตอนนี้
ใช่ ถูก ขอบคุณมากเลย คำว่า Exotic เพราะว่าอะไรรู้ป่ะ ผมเกลียดมากในการที่ให้สัมภาษณ์สมัยก่อน แบบสัมภาษณ์หนังสือตั้งกี่เล่มมีอยู่ช่วงนึงที่สัมภาษณ์หนังสือเยอะมาก แต่เป็นเรื่องดีแล้วก็ขอบคุณหนังสือทุกเล่มมาก ๆ เพราะว่าหนังสือทุกเล่มพาเรามาตรงนี้ แต่จะบอกให้ว่าในเบื้องหลังของการสัมภาษณ์ทุกครั้ง ผมจะอ้วก ไม่ได้ดูถูกคนที่มาสัมภาษณ์ แต่ว่าเราจะอ้วกเพราะว่าเขามองเรื่องที่เราทำเป็นเรื่อง Exotic มันไม่ได้ Exotic มันเป็นเรื่องจำเป็น คือมันก็ดีที่ความ Exotic มัน… มันดึงดูดให้เขาเข้ามา แล้วก็อีกอันนึงที่มันแปะติดกับคำว่า Exotic แปลกดี เป็นอาชีพที่แปลกดี แต่พอการที่เข้ามาคุยด้วย Attitude นั้น มันก็จะได้คำถามที่ Lead ไปที่คำตอบที่มันแบน ๆ
มองกลับไปแล้วมันก็ทำให้เห็นเหมือนกันว่า ถ้าวันหนึ่งคนมองเราแค่ว่า ‘แปลกดีเนอะ’ หรือ ‘อาชีพ Exotic’ แล้วพอวันหนึ่งมันไม่ Exotic ไม่ใช่ subject ใหม่อีกต่อไป ความเข้าใจตรงนั้นมันก็กลายเป็น pain point ได้
บางรายการถึงกับพูดออกมาเลยว่า “อาชีพแปลกดีเนอะ” ซึ่งผมก็รู้สึกนะว่า กูไม่ใช่ของป่า สิ่งที่เราทำมันมีมาตั้งนานแล้ว ถ้าจะพูดให้ตรง ๆ เลยก็คือ อาชีพเราไม่ได้แปลกหรอก ถ้าไม่มี type designer โลกนี้ก็ไม่มี journalism คุณเรียนจบด็อกเตอร์ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีความรู้ที่ส่งต่อได้ผ่านหนังสือ หนังสือเกิดขึ้นได้เพราะมี type designer ไม่งั้นทุกวันนี้คุณก็คงยังต้องเขียนคัดลอกพระไตรปิฎกอยู่ หรือในโลกตะวันตก ไบเบิลมันกระจายไปทั่วโลกได้ ก็เพราะว่ามีการพิมพ์คอยหนุนหลัง นี่ไง
We’ve been here all along.
เพราะฉะนั้นเวลามีคนมาคุยกับเราแล้วมองว่าเป็นเรื่อง Exotic หรืออาชีพแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อยากนำเสนอต่อสังคม มันสะท้อนความไม่เข้าใจมากกว่า ทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์ ผมก็พยายามพูดตรง ๆ กับความรู้สึกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าสื่อเหล่านั้นไม่ดีนะ ต้องแยกออกจากกันให้ชัด.
...
แม้แต่ The People เองนั้น ในครั้งที่ติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์คุณอนุทิน วงศ์สรรคกร ก็ไปด้วยท่าทีและคำถามที่มอง ‘คัดสรร ดีมาก’ กับบทบาทการสร้างสรรค์ฟอนต์ราวกับเป็น ‘ของป่า’ ที่คนธรรมดาคงเข้าไม่ถึง ด้วยเหตุนั้น คุณอนุทินจึงเชื้อเชิญไป ณ ที่ทำการของคัดสรร ดีมาก เพื่อพูดคุยหารือ ถกหาประเด็นที่จะไปไกลกว่าคำถามที่ว่า “ฟอนต์คืออะไร?”
หากว่าเป็นเช่นนั้น บทสนทนาที่เกิดขึ้นก็คงวนเวียนอยู่เพียงเรื่องราวของตัวอักษรรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขยับไปไหนจากเมื่อหลายปีก่อน และละทิ้งประเด็นบางประเด็นที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อดีต และยังสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของการออกแบบที่ไม่ได้ถูกวัดคุณค่าเพียงเพื่อความงามอย่างเดียว หรือโดยเฉพาะการเรียน การสอน และการผลิตนักคิดในไทย ที่ยังคงแยกขาดและไร้ความเห็นอกเห็นใจต่อสาขาวิชาอื่น ๆ ราวกับว่าถือกำเนิดมาคนละสปีชีส์ แม้ว่าท้ายที่สุดจะต้องทำงานร่วมกัน
ท้ายที่สุดนั้น นอกจากจะทำให้รู้ชื่อของหนังสือทั้ง 9 เล่มที่มีความสำคัญของตัวของคุณอนุทินแล้ว บทสนทนาครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการก้าวเดินของ คัดสรร ดีมาก ที่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เรื่องราวของการออกแบบตัวอักษรอีกต่อไป แต่ยังขยับเข้าสู่โลกของเสียงดนตรี ภาพยนตร์ หรือโดยเฉพาะกับการทำให้องค์ความรู้ของการออกแบบ เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ผ่านรายการ ‘ระหว่างบรรทัด’ ที่ยังคงเดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้
ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม