รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

บทสัมภาษณ์ ‘อุ้ย - รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค’ ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ (A Useful Ghost) กับมุมมองต่อการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืมในประวัติศาสตร์

ผีมันคือคนที่ตายไปแล้วแต่ว่าไม่ยอมตาย หมายถึงว่าตายไปแล้วแทนที่จะตายแล้วก็หายไปอยู่ในอดีต… ผีเขากลับมาอยู่ในปัจจุบันด้วย ดังนั้นแล้วผีมันเลยเป็นสิ่งที่ครอบคร่อมอยู่ทั้งสองฝั่ง คือทั้งอดีตและปัจจุบัน

ผี’ ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย จากตำนานเล่าขานถึงเรื่องเล่าบนคลื่นวิทยุ เราได้ยินเรื่องราวความลึกลับสยองขวัญในหลากหลายรูปแบบ อาจเป็นความน่ากลัวอาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาหรือยั่วยวนความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วผีอาจมีหน้าที่มากกว่านั้น เพราะผีอาจเป็นภาพสะท้อนโครงสร้างสังคม ความกลัวร่วม และสิ่งที่ผู้คนพยายามซ่อนเร้นหรือแม้แต่ขจัดออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์และความทรงจำ

ในโลกของภาพยนตร์ ‘ผี’ มักถูกเล่าด้วยความลึกลับและสยองขวัญ ไม่ว่าจะเป็นผีที่กลับมาหลอกหลอนเพราะความรักที่ไม่สมหวัง การตายอย่างไม่เป็นธรรม หรือการผูกพันกับสถานที่ที่ยังไม่คลี่คลาย แม้หนังผีจะสร้างความบันเทิงและทำรายได้มหาศาล แต่หลายครั้งก็วนเวียนอยู่กับความหวาดกลัว ทว่าไม่นานมานี้ ได้มีผีรูปแบบใหม่ปรากฏขึ้นบนจอภาพยนตร์ไทย เป็นผีที่ไม่เพียงน่ากลัว แต่ยัง ‘ใช้ได้’ อีกด้วย ผ่านผลงาน ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ (A Useful Ghost) ผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ ‘อุ้ย - รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค

สำหรับรัชฏ์ภูมิ การทำหนังไม่ได้หยุดอยู่ที่การสร้างความสะพรึง หากแต่คือการใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเป็นพื้นที่ทดลองและตั้งคำถาม ผีอาจไม่ใช่เพียงแค่สิ่งลี้ลับ แต่เป็นเครื่องมือสะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การกีดกัน และความทรงจำที่ยังหลอกหลอนอยู่ในสังคม การก้าวจากหนังสั้นที่ตั้งคำถามถึงสิทธิ์ในการพูดแทนผู้อื่น ความเป็นอื่น และสำนึกแบบอาณานิคม มาสู่การทำหนังยาวที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ คือเส้นทางที่บ่งบอกถึงพลังของ ‘ผี’ ในแบบที่แตกต่างออกไป

บทความนี้จะพาไปสำรวจเส้นทางของรัชฏ์ภูมิ ตั้งแต่ความทรงจำวัยเด็กที่หล่อหลอมให้เชื่อในพลังของการเล่าเรื่อง การทดลองผ่านหนังสั้นที่นำไปสู่การพบเจอโอกาสและเพื่อนร่วมทาง ไปจนถึง ผีใช้ได้ค่ะ ที่พาเขาก้าวสู่เวทีโลก จนภาพยนตร์ของเขาได้เดินทางมาสู่สายตาชาวไทยและชาวโลกในวันนี้

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

โลกแห่งการอ่าน (ๆๆๆ)

แม้จะเติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศการดูหนัง แต่สำหรับ ‘อุ้ย–รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค’ เด็กชายในวันนั้นกลับ ‘กลัวโรงหนัง’ มากกว่าจะหลงใหล เขาย้อนความทรงจำว่า “มันมืดแล้วคนมันเยอะ บางทีก็แอบคิดว่าถ้าไฟจะไหม้แล้วเราจะหนีไม่ทัน” แต่อย่างไรก็ตาม การมีคุณพ่อเป็นคอหนังก็ทำให้เขาพอจะรู้จักกับหนังมาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่ได้เข้าใจหรือเข้าถึงหนังแต่ละเรื่องที่พ่อดูก็ตาม

ทว่าสิ่งที่มีอิทธิพลต่อรัชฏ์ภูมิอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลานั้นกลับไม่ใช่ภาพยนตร์ แต่เป็น ‘วิดีโอเกม’ โดยเฉพาะเกม RPG ญี่ปุ่น หรือที่เรามักเรียกันว่า ‘เกมภาษา’ ซึ่งหนึ่งในเกมที่รัชฏ์ภูมิหลงใหลมากคือ Final Fantasy VII เขาหลงใหลการเล่าเรื่องในเกมถึงขั้นบังคับให้พ่อและแม่ฟังเรื่องราวทั้งหมด

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

ผมเล่า Final Fantasy VII ตั้งแต่ต้นจนจบ บังคับให้พ่อกับแม่ฟัง เขาก็มานั่งฟังเราเป็นอาทิตย์เลยมั้ง

นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเห็นคุณค่าของการเล่าเรื่องว่าสามารถสร้างพลังและความสนุกได้

เมื่อเข้าสู่วัยมัธยม ความสนใจในการเล่าเรื่องขยายจากเกมสู่การเขียน รัชฏ์ภูมิเริ่มฝันอยากเป็นนักเขียน แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ‘ทำอย่างไรถึงจะเป็นนักเขียนได้?’ แนวคิดและแรงบันดาลใจสำคัญที่ได้จากแม่ของเขาคือ “นักเขียนคงอ่านหนังสือเยอะ เขาถึงเขียนหนังสือได้” ด้วยเหตุนั้น รัชฏ์ภูมิจึงพยายามอ่านหนังสืออย่างจริงจัง วันละหนึ่งถึงสองเล่ม ตั้งแต่วรรณกรรมเยาวชนไปจนถึงงานระดับคลาสสิกและโนเบล

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

การอ่านหนังสือควบคู่ไปกับการอ่านนิตยสารภาพยนตร์ที่พ่อซื้อมา ทำให้เขาเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของการเล่าเรื่อง “ผมว่าพ่อผมซื้อหมดเลยนะ แทบจะทุกหัวที่มี แล้วผมก็อ่าน อ่านรีวิว อ่านอะไร ได้เห็นหนังแปลก ๆ ที่ไม่ได้เข้ามาฉายในไทย” บทวิจารณ์และบทแปลจากต่างประเทศเปิดโลกให้เขาได้รู้จักหนังที่ไม่เคยฉายในไทย และทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ว่าหนังสามารถเล่าเรื่องได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การเล่าแบบเส้นตรง การหักมุม ไปจนถึงการใช้ภาษายียวน

จากเด็กที่เคยกลัวโรงหนังและหลงใหลเกม รัชฏ์ภูมิค่อย ๆ กลายเป็นวัยรุ่นที่ใช้การอ่านและการดูหนังเป็นพื้นที่ค้นหาวิธีการเล่าเรื่องของตัวเอง ประสบการณ์เหล่านี้หล่อหลอมจนเขามองเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ไม่ว่าจะเป็นเกม หนังสือ หรือภาพยนตร์ ล้วนมีสิ่งเดียวกันคือ ‘พลังของเรื่องเล่า’ ที่ดึงดูดใจและเป็นแรงผลักดันให้เขาเดินเข้าสู่เส้นทางนักเล่าเรื่องในเวลาต่อมา

 

ชิมลางภาพยนตร์

แม้จะเริ่มต้นด้วยความฝันอยากเป็นนักเขียน แต่ยิ่งอ่านและดูหนังมากเท่าไร รัชฏ์ภูมิก็เริ่มรู้สึกว่าภาพยนตร์คือสื่อที่มีพลังในการเล่าเรื่องไม่แพ้วรรณกรรม ความชอบและความสนใจในภาพยนตร์ก็เริ่มก่อตัวจนกลายเป็นความปราถนาที่ชัดเจนกว่าก่อนว่าเขา

 

อยากเรียนหนัง

 

ประสบการณ์ที่รัชฏ์ภูมิยกเป็นหมุดหมายสำคัญคือการได้ดูภาพยนตร์จากไตรภาค ‘Three Colors’ อย่าง ‘Blue’ ของ คริสตอฟ คีสโลว์สกี (Krzysztof Kieślowski) แม้ตอนแรกจะไม่รู้เรื่องเลย แต่การค้นคว้าภายหลังทำให้เข้าใจว่าหนังทั้งเรื่องกำลังเล่าเรื่องเสรีภาพผ่านสัญลักษณ์ของสีธงชาติฝรั่งเศส “ผมรู้สึกว่า เอ้ย หนังมันสามารถที่จะลึกซึ้งได้เบอร์นี้เลยนะ” นี่ทำให้รัชฏ์ภูมิมั่นใจว่า ภาพยนตร์สามารถพาเรื่องเล่าไปไกลกว่าที่เคยคิดไว้ และยืนยันกับตัวเองว่าอยากเรียนหนังจริงจัง

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

เส้นทางนั้นพาเขาเข้าสู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในด้านภาพยนตร์ ช่วงเวลาที่เขาเรียนคือยุคที่หนังนักศึกษาส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจาก GTH มุ่งเน้นความสดใส ฟีลกู๊ด แต่ตัวเขากลับสนใจประเด็นที่จริงจังและซับซ้อนกว่า “สิ่งที่เราสนใจมันอาจจะไม่ได้แมสมาก…ก็เลยแอบรู้สึกว่ายากนิดนึงกับตัวเอง” ความแตกต่างนี้ทำให้เขาต้องหาทางของตัวเองที่อาจจะแตกต่างจากภาพรวมทั้งหมด

รัชฏ์ภูมิยอมรับว่าช่วงแรกเขาไม่ได้หลงใหลการทำงานกองถ่ายนัก “พอเราต้องไปเจอระบบกองจริงๆ แล้วอะ เราไม่ชอบ เรารู้สึกว่าเหนื่อย…ฉันจบมาเป็นอาจารย์ดีกว่า” ความคิดในตอนนั้นคือการต่อโทและเป็นอาจารย์ Film Studies แต่ข้อจำกัดเรื่องทุนการศึกษาทำให้เส้นทางนั้นไม่เกิดขึ้น เขาจึงเลือกเริ่มจากการทำงานเขียนบทละคร ซีรีส์ และเขียนบทความวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์แทน

จนกระทั่งเขาได้ลองทำหนังสั้นจริง ๆ ครั้งแรก จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เมื่อส่งผลงานไปประกวดของมูลนิธิหนังไทยโดยไม่ได้ตั้งความหวัง แต่กลับเข้ารอบและได้รางวัลอันดับที่สอง เหตุการณ์นั้นทำให้เขาเชื่อมั่นว่าตัวเองอาจพอมีทางในเส้นนี้ได้ ซึ่งเรื่องนั้นมีชื่อว่า ‘เสียงออกไม่ได้ในราชอาณาจักรทางภาษาของคุณ’ ที่ตั้งคำถามถึง ‘ความเป็นอื่น’ ผ่านซับไตเติล

 

ถ้าปีนั้นผมไม่ได้รางวัล
ผมอาจจะไม่ได้ทำหนังสั้นต่อ

 

หลังจากนั้น รัชฏ์ภูมิจึงทำหนังสั้นต่อเนื่องอีกหลายเรื่อง เช่น ‘มะนีจันเปล่งเสียงไม่ได้ในทวิภูมิทางภาษาของคุณ’ ที่ขยายการตั้งคำถามไปถึงสิทธิ์ในการพูดแทนผู้อื่น และ ‘แหม่มแอนนา หัวนม มาคารอง โพนยางคำ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน’ ที่เสียดสีผลพวงของอาณานิคมในสังคมไทยผ่านตัวละครสมมุติ ผลงานนี้เองที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ ‘พี่บี๋’ (คัทลียา เผ่าศรีเจริญ) และ ‘พี่ทอง’ (โสฬส สุขุม)  โปรดิวเซอร์ที่เห็นศักยภาพและติดต่อเข้ามา

น่าจะเป็นเรื่องนี้มั้งที่พี่บี๋พี่ทองโปรดิวเซอร์ดูแล้วแบบชอบ…มันไม่ค่อยมีใครทำหนังตลกไปประกวด ผมว่ามันมีอารมณ์ขันเยอะ มันก็เลยค่อนข้างอาจจะไม่ค่อยเหมือนหนังเชิงรางวัลคนอื่น

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก
 ‘ผีใช้ได้ค่ะ’

รัชฏ์ภูมิเล่าว่าพี่บี๋–พี่ทองได้พูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเกิดคิดถึงหนังยาว ก็มาคุยกันได้” คำพูดนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ เพราะมันมาบรรจบกับความปรารถนาของเขาเองที่อยากลองทำหนังยาวอยู่แล้วหลังจากที่ทำหนังสั้นมาพักหนึ่ง

เมื่อเริ่มพัฒนาโปรเจกต์กับทั้งคู่ เขาได้เรียนรู้ระบบการหาทุนจากต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี แม้จะใช้เวลาหลายปี แต่ก็ทำให้หนังยังคงเป็นของผู้กำกับเอง ประสบการณ์นี้ทำให้เขาเห็นโลกของการสร้างหนังในมิติใหม่ ที่ไม่จำกัดเพียงตลาดภายในประเทศ

ความร่วมมือกับพี่บี๋–พี่ทองไม่ได้หยุดอยู่เพียงการสนับสนุนให้ทำหนังยาว แต่ทั้งคู่ยังพาเขาเข้าสู่เวที pitching และตลาดทุนต่างประเทศจริงจัง ตั้งแต่การเขียน proposal จนถึงการนำเสนอโปรเจกต์ต่อกองทุนในหลายประเทศ กระบวนการเหล่านี้กินเวลาหลายปี แต่ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ระบบอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในระดับสากล ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์กับโปรดิวเซอร์คู่นี้ยังเป็นหลักที่คอยผลักดันและสะท้อนความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์อยู่เสมอ 

 

มันใช้เวลาหลายปีมาก
แต่ข้อดีก็คือหนังยังเป็นของเราเอง
ไม่ต้องยกให้ค่าย

 

โปรเจกต์ที่เขาพัฒนาขึ้นในเวลานั้นคือ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ (A Useful Ghost) หนังยาวเรื่องแรกที่ตั้งต้นจากตำนานแม่นาคพระโขนง “ตอนนั้นผมคิดตั้งต้นจากแม่นาคเฉย ๆ เลย” รัชฏ์ภูมิไม่ได้ต้องการเล่าเรื่องผีในสูตรสำเร็จ แต่ใช้ตำนานนี้มาตั้งคำถามกับการเล่าซ้ำในสังคมไทย ว่าทำไมเรื่องผียังคงวนเวียนอยู่ในวัฒนธรรม และมันสะท้อนโครงสร้างทางสังคมอย่างไร

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

ผีใช้ได้ค่ะ จึงไม่ใช่แค่หนังผี หากแต่เป็นหนังที่เต็มไปด้วยการเสียดสี อารมณ์ขัน และการตั้งคำถามเชิงสังคม ผลงานนี้พิสูจน์ว่ารัชฏ์ภูมิสามารถก้าวจากหนังสั้นสู่หนังยาว โดยยังคงรักษาลายเซ็นการใช้ภาพยนตร์เป็นพื้นที่ทดลองและตั้งคำถามกับสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็น ‘เรื่องปกติ’ ได้อย่างชัดเจน

หลังจากพัฒนาโปรเจกต์มาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นรูปเป็นร่าง ผีใช้ได้ค่ะ ก็ได้รับเลือกให้จัดฉาย รอบโลกครั้งแรกในสาย Critics’ Week ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025 แล้วคว้ารางวัล Grand Prize ที่ถือว่าเป็นรางวัลสูงสุดของสายนี้ การที่หนังเรื่องนี้คัดเลือกเข้าสายดังกล่าวถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญครั้งหนึ่งสำหรับวงการหนังไทย จนทำให้ชาวไทยได้รู้จักกับหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่มีการโปรโมตอย่างแพร่หลาย จนผีใช้ได้ค่ะ ได้เข้ามาฉายในประเทศไทยในวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และสร้างความน่าสนใจไปอย่างแพร่หลาย

 

‘ผี’ ในสายตาของรัชฏ์ภูมิ

เมื่อสัมภาษณ์ผู้กำกับที่สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับผี ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องถามเรื่องผี ๆ ด้วย ทว่าสำหรับรัชฏ์ภูมิ คำถามที่น่าสนใจไม่ใช่ว่า “ผีมีจริงหรือเปล่า?” แต่คือ “ผีทำงานยังไงในฐานะเรื่องเล่า?” เขาอธิบายว่าเวลาพูดถึงผี มันคืออดีตที่ยังไม่ถูกจัดการจนหมด และยังย้อนกลับมามีอิทธิพลกับปัจจุบัน “มันคือการหลอกหลอน (haunt) ที่ยังอยู่กับเรา” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าการหลอกหลอนนี้เองทำให้ผียังมีพลังในวัฒนธรรมไทย

รัชฏ์ภูมิยังทดลองขยายความหมายของ ‘ผี’ ให้ออกไปไกลกว่าความเชื่อพื้นบ้าน ใน ผีใช้ได้ค่ะ ผีไม่ได้ปรากฏในบ้านร้างหรือสุสาน แต่กลับไป ‘สิง’ อยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้า การวางผีไว้ในสิ่งไร้ชีวิตที่เราใช้ประจำวัน ทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคน–เทคโนโลยี–ความเชื่อ และสะท้อนวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงอาณาบริเวณของความเป็นผีด้วย

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

เมื่อพูดถึง แม่นาคพระโขนง เรื่องเล่าที่ถูกนำมาดัดแปลงอยู่บ่อยครั้ง รัชฏ์ภูมิยอมรับว่านี่คือวัฒนธรรมร่วมที่คนไทยทุกคนรู้จัก และการที่เรื่องแม่นาคยังคงอยู่ ทำให้เขาเลือกหยิบมันมาเป็นจุดตั้งต้นของ ผีใช้ได้ค่ะ เพื่อถามต่อไปว่า ทำไมเรายังคงเล่าเรื่องผีเหล่านี้ไม่รู้จบ

แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ผีไม่ได้เป็นเพียงภาพแทนของคนตายผู้ล่วงลับหรือคสสามอาฆาตแค้น แต่ผีเป็นทั้งภาพแทนของอดีตที่ยังไม่หายไป อดีตที่ยังไม่ถูกสะสาง เป็นอดีตที่คร่อมมาในห้วงเวลาปัจจุบัน ดังที่รัชฏ์ภูมิได้อธิบานว่า “ผีคือคนที่ตายไปแล้วแต่ว่าไม่ยอมตาย หมายถึงว่าตายไปแล้วแทนที่จะตายแล้วก็หายไปอยู่ในอดีต… ผีเขากลับมาอยู่ในปัจจุบันด้วย ดังนั้นแล้วผีมันเลยเป็นสิ่งที่ครอบคร่อมอยู่ทั้งสองฝั่ง คือทั้งอดีตและปัจจุบัน

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม

 

ดังนั้น ผีใช้ได้ค่ะ ไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามว่า ‘ผีมีอยู่จริงไหม?’ หากแต่ถามว่า ‘ทำไมเรายังเล่าเรื่องผีอยู่เรื่อย ๆ?’ หรือแม้แต่ ‘ทำไมผีหรือความทรงจำบางอย่างยังคงหลอกหลอนสังคมไทยจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน?’ ซึ่งเป็นการชวนผู้ชมมองผีใหม่ เป็นการมองผีจากสิ่งลี้ลับไปสู่ปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีบทบาทในชีวิตประจำวัน และผีในฐานะบาดแผลในประวัติศาสตร์ที่คนบางกลุ่มพยายามกลบเกลื่อนลบเลือนให้หายไป

 

อดีตที่ค้างคา อดีตที่ยังไม่คลี่คลาย… ทำให้คนในปัจจุบันยังรับรู้อยู่ มันเลยเป็นผีมั้งครับ ถ้าเกิดคนตายแล้วก็ตายไปเลยก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ายังกลับมาหลอกหลอน… อันนั้นคือผี

 

รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค : กว่าจะเป็น ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ กับการหลอกหลอนของผีที่ถูกหลงลืม