04 ก.ย. 2568 | 18:40 น.
KEY
POINTS
จากนายกรัฐมนตรี 31 คน มี 14 คนที่มาจากกองทัพ
‘ทัศนัย เศรษฐเสรี’ เผยตัวเลขที่หลายคนอาจไม่เคยนับ และตั้งคำถามที่หลายคนอาจไม่อยากได้ยินคำตอบ…
ชายที่ลูกศิษย์ลูกหาประเมินว่ามีอายุร่วม 5,000 ปี เป็นทั้งศิลปิน นักวิชาการ และคนที่ไม่กลัวจะชี้นิ้วไปยังบาดแผลที่ยังไม่หายของสังคมไทย ผลงานศิลปะของเขาไม่ใช่ของประดับ ไม่ใช่ของสวยงาม แต่เป็น ‘กระจก’ ที่บังคับให้เราต้องส่องดูตัวเอง (แม้จะไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไร) เพื่อดูผลจากการที่เราดื่มกิน ‘เศษพิษ’ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
งานศิลปะชุดล่าสุดของเขา ‘เศษพิษ: ปรสิตแห่งฝันทรยศ’ คือการตั้งคำถามว่า ถ้า ‘ความทรงจำ’ ของเราถูกบิดเบือนมาตลอด ถ้า ‘ประวัติศาสตร์’ ที่เราเรียนมาเป็นเรื่องเล่าที่ถูกแต่งแต้ม ถ้า ‘อนาคต’ ของเราถูกกำหนดโดย ‘อดีต’ ที่ล้าสมัย แล้วเราจะหาทางออกได้อย่างไร? เราจะสร้างความฝันใหม่ได้อย่างไร? เมื่อทุก ‘ความฝัน’ ดูเหมือนจะถูก ‘ทรยศ’ ก่อนที่มันจะเริ่มต้นเสียอีก
“แรงบันดาลใจมันคงไม่ได้เป็นหรือมาจากแหล่งเดียว แต่มันเป็นความรู้สึกที่คละเคล้ากันระหว่างความทุกข์ ความเจ็บปวด ความฝันถึงโลกที่เราอยากเห็น” อาจารย์ทัศนัยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าแต่มุ่งมั่น
งานศิลปะของเขาไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจแบบโรแมนติก แต่มาจาก “สิ่งที่เรามีอยู่ในใจในสภาพสังคมบรรยากาศของโลกที่มันเป็นอยู่ในทุกวัน” การทำงานของเขาคือการพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเอง ชีวิตของคนรอบข้าง และสิ่งที่เป็นข่าวหรือเรื่องราวบรรยากาศทางสังคมการเมืองที่เราประสบอยู่ในทุกวัน
หนึ่งในภาพที่โดดเด่นที่สุดในงานชิ้นนี้คือใบหน้าของผู้นำที่มาจากกองทัพที่ถูกทำให้พร่าเลือน
“คือมันเป็น fact ว่าประเทศเราตอนนี้มันมีนายกรัฐมนตรี 31 คน แล้ว 14 คนเป็นนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นทหารมาก่อน หรือมาจากค่ายทหาร ตรงนี้มันสะท้อนอะไร มันสะท้อนถึงประเทศด้อยพัฒนา”
เขาชี้ให้เห็นว่า “มีไม่กี่ประเทศในโลกที่ผู้นำประเทศหรือนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มันไม่ควรที่จะมีกองทัพหรือคนที่มีอำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญมาเป็นผู้นำประเทศ”
ความพร่าเลือนของภาพในงานไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘การเซ็นเซอร์’ ซึ่งเป็นการทำให้ทุกอย่างพร่าเลือน แม้กระทั่งความทรงจำของเรา ความทรงจำทางสังคม หรือความทรงจำร่วม
“สังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบเซ็นเซอร์ สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง”
เขาเปรียบเทียบกับประเทศสวีเดน ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติมีการขอโทษชาวโลกเรื่องภาพลักษณ์ที่ผิดของ ‘ชาวไวกิ้ง’ ที่ดูโหดร้ายเกินความจริง ทั้งที่พวกเขาเป็นเพียงชาวประมงทั่วไป “เขาเขียนขอโทษชาวโลกเอาไว้ว่า สิ่งที่เราเข้าใจต่อชาวไวกิ้งเป็นความเข้าใจผิด เป็นเรื่องเล่าที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น”
ขณะที่ประเทศไทย อาจารย์ทัศนัยมองว่า “ยังติดยึดอยู่กับเรื่องเล่าที่ถูกเขียนโดยชนชั้นนำแบบเดิม แล้วเราก็เรียนสอนกันแบบนั้น”
ปัญหาของการไม่มีประวัติศาสตร์และความทรงจำ
“การไม่มีประวัติศาสตร์ การไม่มีความทรงจำ การถอดบทเรียน ทำให้เราก้าวไม่พ้นกับระเบียบการเมืองการปกครองเดิม ๆ ซึ่งยึดจารีตของการบริหารประเทศในอดีต”
อาจารย์ทัศนัยมองว่าสังคมไทย “ถูกแช่แข็งเอาไว้กับความทรงจำร่วมแบบเดิม และความทรงจำร่วมดังกล่าวเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่”
“อนาคตที่เรายังไม่รู้จัก กลับถูกสร้างโดยอดีตซึ่งล้าสมัย แทนที่คนในอนาคตหรือคนรุ่นใหม่จะเป็นคนที่ขีดเขียนอนาคตของเขาเอง” เขากล่าวอย่างน่าคิด
เมื่อถูกถามถึง ‘บทบาทของศิลปะ’ ในฐานะการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง อาจารย์ทัศนัยตอบด้วยความตรงไปตรงมา “ผมไม่เคยเห็นศิลปะหรือศิลปินคนไหน หรือผู้ชมศิลปะ ที่เดินเข้ามาในแกลเลอรี แล้วก็ออกไปทำการปฏิวัติสังคมโดยทันที มันเป็นความกังวลโดยกลุ่มคนที่ตกยุคตกสมัย”
แต่ศิลปะสามารถ “เปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางความรู้ เปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางความคิดของผู้คนในสังคมในระยะยาว และเมื่อกระบวนทัศน์มันเปลี่ยน มันไม่สามารถที่จะกลับคืนไปสู่จุดเดิมได้”
อาจารย์ทัศนัยมองว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่อยากแก้ไขเป็นลำดับแรกคือ “โครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบเดิม ซึ่งยังมีตัวละครแบบเดิม นักการเมือง นายทุนผูกขาด คนที่อยู่ที่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ”
เขาเน้นว่า “คนรุ่นใหม่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีอายุน้อยเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่มีความพยายามที่จะเข้าใจสังคมที่มันเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
“ปัญหาของประเทศเรามันไม่ใช่ว่าเราไม่มีคนที่เก่งที่จะบริหารประเทศ เรามีศักยภาพอยู่ในทุกที่ แต่ศักยภาพเหล่านั้นมันไม่ได้ถูกนำมาใช้”
หนึ่งในประเด็นที่คมที่สุดคือการวิพากษ์แนวคิดเรื่อง ‘ความดี’ ในสังคมไทย:
“ความดีในสังคมไทยมันคือระเบียบทางศีลธรรมแบบหนึ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นปกครองเอามาใช้ มันไม่ทำให้เราได้ทดลองกับความผิดพลาด”
เขายกตัวอย่างศิลปินระดับโลก แจ็กสัน พอลล็อก, ฟรานซิส เบคอน และเทรซี เอ็มแมน คนเหล่านี้ทดลองกับชีวิต คนเหล่านี้คือศิลปินแถวหน้าที่โลกและประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมสมัยยอมรับ แต่ “ถ้ามาอยู่ประเทศไทยคงไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ”
“ศิลปิน ถ้าดีเกินไป มันทำศิลปะไม่ได้”
เรื่อง ‘เพศสภาพ’ ในงานศิลปะก็ไม่ได้แยกออกจากปัญหาการเมืองใหญ่ “มันไม่ได้หมายถึงปัญหาของเพศสภาพเพียงอย่างเดียว ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบเดิม มันยึดโยงกับองค์ชาติ ยึดโยงกับสังคมชายเป็นใหญ่”
เขาขยายไปถึงปัญหาในวงการสงฆ์ “ที่ใดที่มันเป็นองค์กร อะไรก็ตามที่มันมีคำว่า ‘องค์’ อยู่ข้างหน้า องค์กร องคชาติ มีปัญหาทั้งนั้น เพราะมันยึดโยงกับสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว”
เมื่อพูดถึง พรบ.นิรโทษกรรม เขาตั้งคำถามตรง ๆ:
“มันเป็นการนิรโทษกรรมที่ทุกคนได้รับความยุติธรรม หรือมันอนุญาตให้เพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงความยุติธรรม แต่คนบางกลุ่มติดคุกไปเหอะ?”
“ความยุติธรรมมันต้องอำนวยให้กับทุกคน ไม่ใช่คนบางกลุ่ม”
การที่ลูกชายเล่นเกม Minecraft กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในผลงานชุดล่าสุดของเขา:
“มันเป็นเกมส์ที่ผลิตออกมาให้เป็นโลกเสมือนจริงที่ทุกคนสามารถเข้าไปสร้างสรรค์โลกแห่งความฝัน ได้ทำลายสิ่งที่เขาอยากทำลาย และสร้างสิ่งที่เขาอยากเห็นและไม่อยากเห็น”
“โลกที่ผมแบกเอาไว้บนบ่าของผม มันเป็นโลกของความจริงที่เมื่อไรที่เรามีความฝันก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ดับฝันเราเสมอ”
ขณะที่ “ความฝันของลูกชายผม มันเป็นความฝันที่บริสุทธิ์ แต่ความฝันของผมมันถูกทรยศ”
“เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลที่สุดในชีวิตของผม” อาจารย์ทัศนัยพูดถึงลูกชายด้วยน้ำเสียงมีความสุข
“เขาเปลี่ยนโลกทัศน์ของผม เมื่อก่อนผมก็ไม่ต่างจากคนอื่น ผมก็ทำงานศิลปะเพื่อที่จะโชว์ pround ว่าผมคิดอะไรได้ เต็มไปด้วยความฉลาดหลักแหลม แต่หลังจากที่ผมมีลูก มันทำให้ผมเห็นคนอื่น ๆ แล้วผมเห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในอนาคต”
“ลูก remind ผม เขาย้ำเตือนให้ผมระลึกถึงเด็กคนหนึ่ง ซึ่งก็คือผมในวัยเด็กที่ทำอะไรไม่ได้มากมาย เพราะอยู่ในสังคมที่มันไม่ยุติธรรม”
เมื่อถูกถามเรื่องผู้ชมที่เข้าหอศิลป์แล้วแค่เซลฟี่ ไม่ได้ซึมซับผลงานศิลปะเต็มที่
“ทำไมล่ะ ผลงานศิลปะมันไม่ได้เหมือนพระพุทธรูปในโบสถ์วิหารที่มีความศักดิ์สิทธิ์อะไรที่คนจะต้องไปพินอบพิเทา เขาอยากจะเห็นงานศิลปะแล้วเอาไปใช้ในมุมมองแบบใดก็เรื่องของเขา”
“ผู้ชมปัจจุบันคนที่จะมาดูงานศิลปะ เขาเป็นผู้ผลิตในตัวเองอยู่แล้ว ทุกคนเป็นนักข่าว เป็นนักวิเคราะห์ข่าว เป็นนักวิจารณ์ในตัวเองในโซเชียลเน็ตเวิร์ค”
“ศิลปะมันไม่ได้บริสุทธิ์อะไรขนาดนั้นหรอก สิ่งที่มันเป็นความรุงรังในสตูดิโอของศิลปิน หลังจากนั้นเขาพยายามที่จะแช่แข็งมันไว้ พยายามจะฟรีซมันไว้และทำให้มันดูดี แต่เบื้องหลังเละเทะ มันไม่ศักดิ์สิทธิ์หรอก”
เขายกตัวอย่างสตูดิโอของตัวเอง “สตูดิโอผมรกรุงรังกว่านี้อีก งานทุกชิ้นหมาเยี่ยวใส่ แมวเยี่ยวใส่ ลูกชายเดินเตะ บางทีมันก็ซ้อมมวย เตะใส่งานพ่อบ้าง”
“คนที่พยายามมองหาสิ่งที่เขาต้องการเคารพเทิดทูนตลอดเวลา คือคนที่ไม่เคารพตัวเอง แล้วกลัวที่จะเคารพตัวเอง เพราะการเคารพตัวเองนำมาซึ่งความรับผิดชอบมากมายที่เขาต้องมี ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดภาระการเคารพตัวเองโดยการไปเคารพสิ่งอื่น”
“ระบบการศึกษา (ไทย) สอนให้คนไม่เคารพตัวเอง แล้วสอนให้คนโกหก เราสอนให้คนไม่พูดความจริง”
“สังคมไทยมีกระบวนการกล่อมเกลาที่สอนให้คนโกหกตลอดเวลา มันถึงไม่เคารพตัวเอง”
“ผมวางแผน early retire ตั้งแต่อายุ 35 ทุกวันนี้ยังทำไม่ได้” เขาหัวเราะ
“ผมคิดว่าโลกมันจะต้องสงบสุขสักวันหนึ่ง อยากจะเผาถ่าน เผาถ่านไร้ควัน อยากจะเขียนรูปดอกไม้สวย ๆ อยู่กับโลกความสวยงาม ทำงานศิลปะยามบ่าย จิบชาร้อน ฟังเพลงแจ๊ส มันก็ทำไม่ได้สักที”
อาจารย์ทัศนัยยังมีความคิดหลุดโลกถึงขั้นอยากไปใช้ชีวิตเป็น homeless แถมสำทับกับพวกเราด้วยว่า “ถ้าเจอผมที่ไหนก็ให้ข้าวกินด้วย”
เมื่อถูกถามว่าอยากให้คนจดจำในฐานะอะไร:
“ผมไม่มีความสำคัญอะไรเลย คนที่เขาชื่นชมเรา เราก็ดีใจ แต่บางคนเขาจำเราแล้วเขาอยากจะกระทืบเรา ก็เยอะไง ไม่มีใครสักคนจำอะไรเกี่ยวกับผมเลย ให้ผมอยู่ของผมเฉย ๆ ดีแล้ว”
ในท้ายที่สุด ‘เศษพิษ: ปรสิตแห่งฝันทรยศ’ ไม่ใช่เพียงชื่องานศิลปะ แต่เป็นคำถามที่อาจารย์ทัศนัยขว้างให้สังคมไทย เราจะปล่อยให้เศษพิษจากอดีตมากัดกินความฝันของคนรุ่นใหม่ต่อไปอีกนานแค่ไหน และเมื่อไหร่เราจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริงเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน