12 Angry Men กับเหตุผลว่าทำไมการรับฟังเสียงที่เห็นต่างถึงเป็นเรื่องจำเป็น?

12 Angry Men กับเหตุผลว่าทำไมการรับฟังเสียงที่เห็นต่างถึงเป็นเรื่องจำเป็น?

ว่าด้วยเรื่องราวของการถกเถียงในโลกที่เห็นต่างผ่านภาพยนตร์ 12 Angry Men พร้อมด้วยแนวคิดจาก จอห์น สจ๊วต มิลล์ และ คาร์ล พอพเพอร์ เพื่อจะช่วยตอบว่าทำไมการรับฟังเสียงที่เห็นต่างถึงเป็นเรื่องจำเป็น

KEY

POINTS

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บอคติส่วนตัวออกไปจากเรื่องเหล่านี้
และเมื่อใดที่เราหลงวนไปพัวพันอยู่กับมัน
ความอคติย่อมคว้าชัยชนะเหนือความจริงเสมอ

 

วาทะการถกเถียงภายในห้อง ๆ เดียวของคณะลูกขุนทั้ง 12 คนที่ต้องทำหน้าที่ตัดสินคดีที่เด็กชายวัย 19 ปีที่ได้ก่อเหตุฆาตกรรมพ่อของตัวเองในภาพยนตร์เรื่อง ‘12 Angry Men’ (1957) ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานที่บอกว่าเรื่องราวที่ดำเนินเรื่องหลักภายในห้อง ๆ เดียว เรียงร้อยเพียงบทสนทนาของบรรดาลูกขุนที่คิดเห็นต่างกัน ก็สร้างความสนุกได้ไม่แพ้หนังแอคชั่นสักเรื่อง แต่ยังสะท้อนให้เห็นอีกว่า ‘การถกเถียง’ หรือการรับฟังความคิดของผู้คนที่คิดเห็นแตกต่างออกไปอย่างสมบูรณ์ เป็นส่วนสำคัญในการพาสังคมในภาพรวมไปสู่ความยุติธรรมหรือแม้แต่ประโยชน์ส่วนรวมอย่างไรได้บ้าง

 

12 Angry Men กับเหตุผลว่าทำไมการรับฟังเสียงที่เห็นต่างถึงเป็นเรื่องจำเป็น?

โปสเตอร์​ 12 Angry Men

 

ตั้งแต่แรกเริ่ม จากคณะลูกขุนทั้ง 12 คน จำนวน 11 คนได้ลงความเห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเด็กชายคนดังกล่าว ‘มีความผิด’ (Guilty) เหลือเพียงแค่ลูกขุนหมายเลข 8 ที่มองว่ายังคงมีข้อสงสัยบางอย่างที่สมควรสำรวจขบคิดต่อ ก่อนจะตัดสินใครสักคนหนึ่งผิดจริง จึงนำมาซึ่งการถกเถียงเฟ้นหาความจริงและโดยเฉพาะการชำแหละเหตุผลของลูกขุนแต่ละคนว่าเหตุไฉนเขาถึงปักใจเชื่อว่าเด็กชายคนดังกล่าวผิดจริง

การจะพิจารณาการให้เหตุผลของแต่ละคนว่าสมเหตุสมผลหรือเปล่าก็คงต้องย้อนกลับไปดูเสียก่อนว่าเป้าหมายของการ ‘คณะลูกขุน’ ในการตัดสินคดีนี้คืออะไร? ซึ่งก็คือการตัดสินชะตากรรมของผู้ต้องหาโดยยึดหลักความสมเหตุสมผล ความจริง และความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง—หากว่าเด็กชายผิดจริงก็เป็นการมอบคืนความยุติธรรมนั้นให้กับเหยื่อ และในทางเดียวกันหากสถานการณ์กลับด้าน ท่ามกลางคณะลูกขุนทั้ง 11 คนที่มีคำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเด็กชายคนดังกล่าว ‘มีความผิด’ อีกทั้งยังเอาเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อเหล่านั้นมานำเสนอกับลูกขุนหมายเลข 8 ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย วิธีสำคัญของในการตอบโต้ของลูกขุนหมายเลข 8 ไม่ใช่การกล่าวเพียงว่าทำไมเขาคิดว่าเด็กชายไม่ผิด แต่เป็นการตั้งคำถามกับ ‘ความเชื่อ’ ที่ถูกก่อร่างมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วของลูกขุนคนอื่น ๆ 

ด้วยเหตุนั้นจึงนำไปสู่การถกเถียงตลอดเรื่องเพื่อชำแหละหาเหตุผลและความจริงเบื้องหลังความเชื่อของลูกขุนแต่ละคนผ่านการตั้งคำถามต่อเสียงส่วนมาก ก่อนจะค้นพบว่าเบื้องหลังความเชื่อมั่นของแต่ละคนล้วนมาจากเหตุผลที่แตกต่างกัน บ้างขับเคลื่อนจากปัญหาส่วนตัว ยึดมั่นในหลักฐานเหนือสิ่งอื่นใด ต้องการอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ไม่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองจึงคิดเหมือนคนอื่น มองสรรพสิ่งอย่างผิวเผิน มีอคติทางเชื้อชาติหรือสถานะ หรือแม้แต่ต้องการให้การตัดสินนี้รีบจบ ๆ ไปเสียทีเพราะต้องการรีบไปชมการแข่งขันเบสบอลที่ได้ซื้อตั๋วไว้แล้ว

กลับกลายเป็นว่าหลายเหตุผลที่ก่อร่างจนเกือบกลายเป็นฉันทามติ กลับไม่ได้ถูกคิดจากพื้นฐานดั้งเดิมของการหาความจริงหรือมอบความยุติธรรมให้กับสังคม แต่ถูกปกคลุมผ่านอคติเฉพาะตัวที่มีหน้าตาหลากหลายรูปแบบกันไป ซึ่งหากในวันนั้นไม่ได้มี ‘คำถาม’ หรือ ‘ความคิดเห็น’ สวนกระแสขึ้นมาจากลูกขุนหมายเลข 8 ที่ฟังไม่เสนาะหูและดูเหมือนเป็นคนขวางโลกสำหรับคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา ความจริงและความยุติธรรมอาจถูกพรากไปจากอคติส่วนตัวอย่างน่าสลดใจ

 


ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลต่าง ๆ ถูกสื่อสารได้อย่างแพร่หลายและทั่วถึงมากกว่าที่เคยเป็นมา แต่ถึงกระนั้น ปัญหาการแบ่งแยกทางความคิดและการเมืองก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ที่น่าตลกร้ายคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญดันพ่วงมากับการที่ข้อมูลเข้าถึงผู้คนอย่างแพร่หลาย แต่ข้อมูลเหล่านั้นกลับถูกคัดสรรมาอย่างถี่ถ้วนให้สอดรับกับ ‘ความต้องการ’ ของผู้คนเพื่อที่จะให้เขาเหล่านั้นใช้งานอยู่บนแพลตฟอร์มนานกว่าเดิม ผ่านกลไกที่เรียกว่า ‘อัลกอริทึม

สามารถอ่านเรื่องราวนี้ได้ต่อที่บทความ [The Hidden Dilemma] การถกเถียงในสังคมกับวิกฤต Political Polarization ในยุคที่ Algorithm และ AI เถลิงอำนาจ

 

ด้วยเหตุนั้น อะไรที่ฟังแล้วไม่เสนาะหู เห็นแล้วดูขัดสายตา ก็ปัดทิ้งไปเสีย เลือกฟังเพียงแต่สิ่งที่เข้าหู ซึ่งก็สอดรับกับแนวคิด ‘ต่างคนต่างอยู่’ เมื่อคนสองคนไม่เห็นพ้องต้องกันในความเชื่อ และเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ก็แยกกันอยู่เสีย ฉันไม่ต้องฟังแนวคิดของเธอ เธอไม่ต้องพยายามเข้าใจความเชื่อของฉัน — คล้าย ๆ กับโลกอันสันติที่ความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนในสังคมจะแยกกันอยู่อย่างสมบูรณ์ เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นการบ้านการเมืองหรือการตัดสินใจของสังคมก็ดึงความแตกต่างเหล่านั้นให้กลับมาเผชิญหน้ากันอยู่ดี

การแยกกันอยู่และหลีกเลี่ยงการถกเถียง (อย่างมีอารยะ) กลับจะทำให้ความเชื่อของแต่ละฝ่ายมีความเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม สารและความจริงที่ได้รับก็จะล้วนเป็นข้อมูลที่อิงกับผลประโยชน์ของความเชื่อฝ่ายเดียว เส้นทางแยกที่ว่านี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์การแบ่งแยกเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อจุดร่วมของสังคมเริ่มเลือนหายไปผ่านฟองอากาศทางความเชื่อที่ก่อตัวขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น การรายล้อมตนเองไปด้วยความคิดที่สอดรับกับความเชื่อดั้งเดิมของตนโดยตัดเสียงที่แตกต่างออกไปอาจเป็นการตัดโอกาสตัวเองในการย้อนกลับไปสำรวจ ‘ข้อบกพร่อง’ ของความเชื่อดั้งเดิมที่ตนเองเชื่อ และปิดกั้นโอกาสในการเหลาความเชื่อเหล่านั้นให้พัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม

ด้วยเหตุนั้นใน The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้ นอกจากจะกล่าวถึงภาพยนตร์ในอดีตอย่าง 12 Angry Men ไปจนถึงคุณค่าของการถกเถียงแล้ว เราจะหยิบยกแนวคิดที่น่าสนใจจากนักคิดในอดีตที่จะช่วยชี้ให้เห็นคุณค่าของการถกเถียง การดีเบต และการฟังความคิดเห็นที่แตกต่างที่อาจไม่ไพเราะเสนาะหู แต่จะช่วยเหลาให้ผู้คนในสังคมมองโลกในแบบที่ใกล้เคียงความจริง ลดทอนอคติ และยุติธรรมกับทุกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เราไม่มีวันแน่ใจได้เลยว่าความเห็นที่เราพยายามจะปิดกั้นนั้นเป็นความเห็นที่ผิด และแม้ว่าเราจะมั่นใจจริง ๆ การปิดกั้นความเห็นนั้นก็ยังคงเป็นความชั่วร้ายอยู่ดี
— John Stuart Mill, On Liberty (1859)

 

ภายในงานเขียนที่ทรงอิทธิพลของ ‘จอห์น สจ๊วต มิลล์’ (John Stuart Mill) นามว่า ‘On Liberty’ (1859) เขาได้กล่าวถึงหลักสำคัญสามประการที่จะช่วยตอบคำถามว่าทำไมการถกเถียงอย่างเสรี (free debate) ถึงเป็นเรื่องสำคัญของเสรีภาพภายในสังคม 

ในประการแรกคือการไม่เมินเฉยต่อคุณค่าความเห็นจากเสียงส่วนน้อย กล่าวคือการที่ความคิดเห็นบางอย่างถูกกล่าวโดยกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน นั่นไม่ได้แปลว่าความคิดเห็นที่ว่าปราศจากคุณค่า เพราะหากกรณีที่กลุ่มที่เห็นต่างนั้นถูก — เฉกเช่นเดียวกับ 12 Angry Men — การละทิ้งเสียงส่วนน้อยอาจนำไปสู่การพราก ‘ความจริง’ ไปจากสังคม ดังที่มิลล์ได้ระบุเอาไว้ว่า 

 

แม้ทั้งมวลมนุษยชาติจะเห็นพ้องต้องกันในความคิดเห็นหนึ่ง ๆ และมีเพียงคนเดียวที่เห็นต่าง มวลมนุษยชาติก็หาได้มีสิทธิ์ที่จะบังคับให้เขาเงียบเสียงไม่ มากไปกว่าที่เขามีสิทธิ์จะบังคับให้มวลมนุษยชาติเงียบเสียงเช่นกัน

 

ประการต่อมา แม้ว่าเสียงส่วนน้อยนั้นจะ ‘ผิด’ การมอบเสรีภาพหรือแม้แต่การ ‘ฟัง’ ความเห็นดังกล่าวก็ยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวมอยู่ดี เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ความเชื่อดังกล่าวได้ปะทะกับความเห็นต่างและได้พิสูจน์ตัวเอง ซึ่งจะยิ่งทำให้ความเชื่อที่ว่านั้นแหลมคมขึ้นกว่าเดิม

และประการสุดท้าย แม้ความเชื่อบางอย่างที่ถูกยอมรับอย่างสากลก็อาจกลายเป็น ‘หลักคำสอนที่ตายแล้ว’ (Dead Dogma) หากปราศจากการถกเถียงหรือถูกท้าทาย เพราะจะเป็นการยึดถือในความเชื่อดังกล่าวโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกพิสูจน์ และจะทำให้ความเชื่อดังกล่าวเป็นเพียงสโลแกนหรือคำกล่าวที่ว่างเปล่าแทนที่จะเป็นความเชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ 

งานเขียนของมิลล์ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการไม่เห็นพ้องต้องกันภายในสังคม ว่าหากถูกถกเถียงอย่างมีอารยะบนพื้นฐานและเป้าหมายเดียวกัน — ประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวม — ย่อมนำไปสู่ ‘ความจริง’ หรือ ‘ความเชื่อ’ ที่จะเป็นประโยชน์มากกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปิดกั้นตัวเองจากการถูกท้าทาย
.
แนวคิด ‘เหตุผลนิยมเชิงวิพากษ์’ (Critical Rationalism) ที่เสนอโดย ‘คาร์ล พอพเพอร์’ (Karl Popper) ก็ชี้ให้เห็นว่าการถกเถียงหรือรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์มีความสำคัญต่อความก้าวหน้าทางความรู้อย่างไร โดยเฉพาะในมิติของความกล้าที่จะถูกท้าทายและไม่กลัวที่จะยอมรับว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อหรือทฤษฎีที่ตนเสนอนั้น ‘ผิด

พอพเพอร์มองว่าการจะสรุปได้ว่าทฤษฎี ข้อเสนอ หรือแนวคิดของตนนั้นถูกยืนยันแล้วต้องผ่านการโต้แย้ง (Refutation) อย่างเข้มข้นและสมน้ำสมเนื้อเท่านั้น กล่าวคือข้อเสนอที่เข้มแข็งก็จะต้องถูกท้าทายและสามารถก้าวข้ามผ่านข้อโต้แย้งที่เข้มแข็งเช่นกัน 

แม้ว่าแนวคิดของพอพเพอร์จะถูกประยุกต์ใช้ในกรอบคิดของการทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่แนวคิดเหตุผลนิยมเชิงวิพากษ์แบบพอพเพอร์ก็สามารถประยุกต์ใช้กับความเชื่อในสังคมได้อย่างน่าสนใจ เพราะแนวคิดดังกล่าวคือการทำให้ ‘การวิจารณ์’ (Critique) เป็นกลไกพื้นฐานสำคัญของสังคมในการปักใจเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการสร้างกรอบคิดที่มองว่า ‘การถูกวิจารณ์’ เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้ความเชื่อที่ยึดถือแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หรือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามีช่องโหว่ใดที่หลบซ่อนอยู่หรือไม่

ใน 12 Angry Men เราเห็นว่าความยุติธรรมไม่ได้เกิดจากเสียงส่วนใหญ่ หากแต่เกิดจากการตั้งคำถามและการถกเถียงเพื่อหาความยุติธรรมอันเป็นคุณค่าสำคัญของคณะลูกขุน แม้เสียงของลูกขุนเพียงหนึ่งเดียวอาจฟังดูขัดหูหรือแปลกแยก แต่นั่นเองที่ช่วยเปิดเผยอคติที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงส่วนมาก และช่วยดึงให้ทุกคนกลับมาตั้งหลักกับความจริง

ไม่ต่างอะไรจากแนวคิดของ จอห์น สจ๊วต มิลล์ และ คาร์ล พอพเพอร์ ที่ต่างชี้ให้เห็นว่าความคิดเห็นที่ไม่ไพเราะเสนาะหูหรือไม่สอดรับกับความเชื่อดั้งเดิมของใครสักคนก็เป็นประโยชน์ที่จะทำให้ความเชื่อนั้น ๆ ถูกพิสูจน์และแหลมคมขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้น ความคิดเห็นที่แตกต่างยังทำหน้าที่เป็น ‘บททดสอบ’ ที่จะช่วยพิสูจน์ว่าสิ่งที่เชื่อนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

ทั้งหมดทั้งมวลสะท้อนให้เห็นว่าในโลกปัจจุบันที่การแบ่งแยกทางความคิดดูจะเป็นปัญหาที่หนักข้อขึ้นทุกวัน ต่างฝ่ายต่างมีชุดข้อมูลที่ตนเองยึดถือ การเปิดเวทีและหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยหลักเหตุผล การหยิบยกเอาสิ่งที่ตนเองเชื่อในขณะเดียวกับที่รับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย อาจเป็นการทำให้ช่องว่างระหว่างกันและกันลดน้อยถอยลง 

เพราะหากว่าเป้าหมายของคนทุกคนคือการแสวงหาสังคมที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และถกเถึยงภายใต้เป้าหมายดังกล่าว แน่นอนว่าความเห็นต่างสามารถพาแนวคิดของทั้งสองฝ่ายไปสู่จุดที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนมากกว่าความพยายามชนะกันและกัน

เฉกเช่นเดียวกับการโต้เถียงของลูกขุนหมายเลข 8 ที่เผชิญหน้ากับอคติของลูกขุนทั้ง 11 คนเพื่อทวงคืนความจริงและความยุติธรรมที่ถูกพรากไปโดย ‘อคติ’ ที่เข้ามาครอบงำการตัดสินใจโดยที่เขาเหล่านั้นอาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ 

ด้วยเหตุนั้น การฟังความคิดที่เห็นต่างอย่างมีอารยะและเหตุผลอาจนำมาซึ่งประโยชน์มากกว่าเห็นดีเห็นชอบโดยปราศจากการหวนสำรวจว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อนั้นมีรอยรั่วตรงไหนหรือไม่