04 มิ.ย. 2568 | 19:00 น.

KEY
POINTS
“ชาตินั้นถูกจินตนาการขึ้น เพราะแม้แต่สมาชิกของชาติที่เล็กที่สุด ก็จะไม่มีวันรู้จัก พบเจอ หรือแม้แต่ได้ยินชื่อกันและกัน แต่ในจิตใจของแต่ละคน ต่างก็มีภาพของการเป็นส่วนหนึ่งร่วมกันอยู่เสมอ”
— เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน, Imagined Communities (1983)
นับตั้งแต่กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มเร่ร่อน ปักหลักทำเกษตรกรรมจนกลายเป็นหมู่บ้าน ล้อมกำแพงอิฐและกองทัพทหารจนกลายเป็นอาณาจักร ขยับสู่ความเป็นรัฐและประเทศในรูปแบบปัจจุบันที่มีเขตแดนเป็นเส้นแบ่งจินตภาพ จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบในการดำรงอยู่รอดหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือการเกาะตัวกันเป็นกลุ่มอยู่เสมอ
การเกาะตัวกันเป็นกลุ่มนี้ไม่เพียงสร้างอำนาจในการต่อรองของเผ่าพันธุ์ที่มีต่อ ‘ธรรมชาติ’ หรือยกระดับความสามารถในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่มีพลกำลังมากกว่า หรือแม้แต่ข้อจำกัดของธรรมชาติที่จะมาท้าทายการอยู่รอดของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน การรวมกลุ่มกันนี้ก็เป็นการสร้างอำนาจการต่อรองระหว่างมนุษย์กลุ่มอื่น ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากรระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อีกด้วย
ในนิยามของ ‘เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน’ (Benedict Anderson) ‘ความเป็นกลุ่ม’ หรือ ‘ความเป็นชาติ’ เป็นสิ่งที่ถูก ‘จินตนาการ’ หรือ ‘สมมุติ’ ขึ้น แต่เรื่องสมมุติที่ฝังรากแน่นลึกอยู่ในสำนึกของผู้คนก็สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์กับมนุษย์จนเปรียบเสมือนปึกไม้ที่ได้มารวมกลุ่มกันจนยากจะหักลงได้ และไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด เชือกที่ใช้มัดไม้เหล่านั้นเข้าด้วยกันก็คงหนีไม่พ้น ‘สำนึกในชาติ’ หรือแนวคิด ‘ชาตินิยม’ (Nationalism)
เรื่องสมมุติที่ว่าด้วย ‘ชาติ’ และแนวคิด ‘ชาตินิยม’ ผูกรัดคนสองคนหรือมากกว่า ที่แทบจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวร่วมกันเลย นอกเหนือจากอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เข้าด้วยกันผ่านแนวคิดของการอยู่ชาติเดียวกันหรือ ‘เพื่อนร่วมชาติ’ ซึ่งไม่เพียงสร้างสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนโซ่ที่คล้องผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ยังสร้างภาษา วัฒนธรรม และคุณค่าให้กับกลุ่มสังคมนั้น ๆ อีกด้วย
ทว่าย้อนกลับไปในอดีต บ่อยครั้งที่ความเป็นชาตินิยม จากเดิมที่ทำหน้าที่เป็นรากฐานการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ได้กลายร่างเป็นดาบสองคมที่หันกลับมาทำร้าย ‘เพื่อนมนุษย์’ หรือแม้แต่ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ เพื่อจุดประสงค์บางสิ่งของคนบางกลุ่ม และทำให้แนวคิดที่ว่าสร้างระบบการปกครอง ทั้งในมิติของรัฐหรือสังคมที่ ‘เป็นพิษ’ ได้เช่นเดียวกัน
เพราะในบางครั้งความเป็นชาติ ไม่เพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือจากผู้ปกครองบางประเทศในการสนองจุดประสงค์เฉพาะตน แต่นิยามของมันยังถูกผสมรวมกับนิยามของ ‘ความดี’ หรือแม้แต่ ‘ความเป็นมนุษย์’ เสียอย่างนั้น
“คำว่า ‘ชาตินิยม’ ไม่สมควรถูกนิยามปะปนไปกับ ‘ความรักชาติ’ ชาตินิยมคือความเคยชินในการมองว่ามนุษย์สามารถถูกจัดจำแนกได้เหมือนแมลง เป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ที่สามารถติดป้ายว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้อย่างมั่นใจ”
— จอร์จ ออร์เวลล์, Notes on Nationalism (1945)
จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนนวนิยายชื่อดังอย่าง Animal Farm (1945) และ 1984 (1949) เคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวคิดชาตินิยมเอาไว้ในงานเขียนของเขาอย่าง Notes on Nationalism (1945) โดยได้มีการแบ่งระหว่างคำว่า ‘ชาตินิยม’ (Nationalism) กับ ‘ความรักชาติ’ (Patriotism) ออกจากกัน ซึ่งอย่างแรกเปรียบเสมือนความรักเชิงรุกที่ต้องสำแดงว่าตนเหนือกว่า กับอย่างหลังที่เป็นความรักเชิงรับที่มุ่งหมายจะปกป้องคุณค่าของตนเองเอาไว้
Notes On Nationalism (1945) by George Orwell
ไม่ใช่เรื่องผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใครสักคนจะรัก ‘บ้าน’ ที่ตนเองอาศัยอยู่ และเมื่อมีใครย่างกรายเข้ามารุกล้ำ แย่งชิง หรือทำลาย ก็ย่อมเกิดความรู้สึกอยากโต้กลับและป้องกันความเป็นอยู่ของ ‘บ้าน’ เฉกเช่นเดียวกับ ‘ความเป็นชาติ’ ในสำนึกของผู้คนที่มีต่อเรื่องชาติ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผืนพรมของความรักชาติของประชาชนก็อาจมีเจตนาหรือกลยุทธ์บางอย่างจากรัฐหรือผู้นำซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความพยายามในการรักษาอำนาจการปกครองเอาไว้ ทั้งในแง่ของคะแนนนิยมที่อาจจะได้ใจประชาชน หรือแม้แต่การปลูกสำนึกที่ลงลึกถึงขั้วจนสังคมกำจัดคนที่เห็นต่างไปเสียเอง โดยเฉพาะการปกครองในรูปแบบของ ‘อำนาจนิยม’ (Authoritarianism)
หากว่าใครเคยอ่านนวนิยาย ‘1984’ โดย จอร์จ ออร์เวลล์ น่าจะพอจดจำหลักคำสอนอมตะจาก ‘Ingsoc’ พรรคอำนาจนิยามภายในเรื่องยึดถือเป็นคัมภีร์อย่าง “War is peace. Freedom is slavery. Ignorance is Strength.” หรือ “สงครามคือสันติภาพ เสรีภาพคือความเป็นทาส และความไม่รู้ไม่เห็นคือพลัง” ได้
1984 by George Orwell
เมื่ออ่านในคราวแรกย่อมตั้งคำถามว่าไฉนถ้อยคำที่ย้อนแย้งถึงกลายเป็นอะไรที่ฟังเป็นเหตุเป็นผลได้เสียอย่างนั้น? ในนัยหนึ่ง สิ่งนี้สะท้อนถึงความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุดของการปลูกฝังแนวคิด ส่วนในอีกนัยหนึ่ง หลักคำสอนที่ว่าทำให้เราเห็นถึงแนวทางในการปกครองฉบับอำนาจนิยมที่ใช้คุณลักษณะเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
ยกตัวอย่างเช่น “War is peace.” เมื่อยามใดที่เกิดสงคราม สิ่งเดียวที่ประชาชนส่วนใหญ่ย่อมใส่ใจย่อมหนีไม่พ้น ‘ฝั่งตรงข้าม’ และเบนการตั้งคำถามต่อ ‘ฝ่ายตนเอง’ ไปโดยปริยาย จึงไม่แปลกที่รัฐ ‘โอเชเนีย’ (Oceania) อันเป็นเซ็ทติ้งของเรื่องราวจะอยู่ในสถานะสงครามกับ ‘ยูเรเชีย’ (Eurasia) อยู่ตลอดเวลา การยืนหยัดขัดขืนกับฝ่ายของตนจึงกลายเป็นความขบถที่จำต้องถูกกำจัดโดยชอบธรรม
จากกรณีนี้เราจะเห็นได้ว่า ‘ความเป็นชาติ’ อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างรากฐานความมั่นคงของการปกรองและลดความเสี่ยงการถูกตั้งคำถามหรือขัดขืนจากผู้คนใต้การปกครอง แต่นอกจากนันแล้ว แม้ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แนวคิดแบบชาตินิยมเองก็สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือได้เช่นเดียวกัน…
ย้อนกลับไปในอดีตนโยบายแบบชาตินิยมก็เคยช่วยเหลือ ‘มาร์กาเร็ต แธตเชอร์’ (Margaret Thatcher) นายกหญิงเหล็กเอาไว้ในช่วงปี 1982 จากสงครามฟอล์กแลนด์ (Falkland War) ที่ดินแดนบริเวณอเมริกาตอนใต้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรถูกรุกรานโดยอาร์เจนติน่า และเธอก็ได้สั่งการให้กองทัพใหญ่ของสหราชอาณาจักรไปต่อกรกับการรุกรานในครั้งนี้จนสามารถคว้าชัยมาได้ภายในเวลาสิบสัปดาห์เท่านั้น
Magaret Thatcher
จากเดิมที่คะแนนความนิยมของเธอร่วงหล่นไปอย่างมากจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย รวมไปถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่ดูอ่อนแอลงจากอดีต การเดินหน้านโยบายนี้ของเธอก็ดันโดนใจประชาชนส่วนมากและกระแสชาตินิยมเหล่านี้ก็ดันให้แธตเชอร์คว้าชัยชนะในปีต่อมาอย่างถล่มทลาย
ในขณะที่ผู้คนมากมายสรรเสริญความกล้าหาญที่จะกอบกู้เกียรติของชาติ บ้างก็มองว่าการส่งกองทัพข้ามน้ำข้ามทะเลไปปกป้องเกาะเล็ก ๆ สองเกาะถือเป็นการกระทำที่ ‘ไม่คุ้มค่า’ ที่แลกมาด้วยการสูญเสียโดยใช่เหตุเพื่อคงรักษาพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นในอัลบั้มหนึ่งของ Pink Floyd นามว่า ‘The Final Cut’ (1983) ‘โรเจอร์ วอเทอร์ส’ (Roger Waters) ก็ได้วิจารณ์ว่าศึกนี้เป็นการกระทำที่ ‘คลั่งชาติ’ (Jingoism) — แนวคิดคลั่งชาติอย่างสุดโต่งที่สำแดงด้วยกำลังว่าอยู่เหนือกว่า
The Final Cut (1983) by Pink Floyd
ในมิติของการตัดสินใจนั้น กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าในบางคราวแนวคิดหรือวาทะกรรมชาตินิยมก็อาจเข้ามาบดบังการตัดสินใจแบบมีเหตุมีผล (Rational Decision Making) ที่เล็งไปถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศในภาพรวมก็เป็นได้ เพราะหากมองในกรอบของความเป็นชาตินิยมแล้ว ‘เกียรติยศ’ หรือ ‘ศักดิ์ศรี’ อาจถูกให้ค่าสูงกว่าบางสิ่งที่ต้องจ่ายออกไป
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ก็ไม่ได้พยายามจะชี้ให้เห็นว่าใครผิดหรือถูกในสงครามฟอล์กแลนด์ แต่พยายามจะฉายให้เห็นว่าในประเทศที่มีเชื้อเพลิงของความรู้สึกเป็นชาติ ความเป็นชาตินิยมก็อาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างเสถียรภาพทางอำนาจหรือแม้แต่กอบกู้ความนิยมจากประชาชนได้
ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของชาตินิยมที่อาจถูกทำให้กลายเป็น ‘ความคลั่งชาติ’ (Ultranationalism) ก็อาจทำหน้าที่ในฐานะเครื่องมือที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของการปกครองเช่นเดียวกัน เมื่อค่านิยมเรื่องชาติถูกฝังลึกลงไปใน ‘คุณค่า’ ในสำนึกของผู้คนจนมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด และเมื่อหลุดออกจากคุณค่าดังกล่าวก็อาจถูกตีความว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้ ดังที่ออร์เวลล์ ได้นิยามมิติหนึ่งของชาตินิยมเอาไว้ว่า “ความเคยชินในการมองว่ามนุษย์สามารถถูกจัดจำแนกได้เหมือนแมลง เป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ที่สามารถติดป้ายว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้อย่างมั่นใจ”
กล่าวคือ ในระดับของการตัดสินใจแบบปัจเจกนั้น ความคลั่งชาตินี้อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้มนุษย์สามารถนิยามเพื่อนมนุษย์คนอื่นว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้ผ่านความแตกต่างทางของ ‘กลุ่ม’ อาทิเช่น คนในประเทศที่มีจุดยืนต่อการเมืองหรือแนวคิดที่แตกต่างออกไป หรือแม้แต่เพื่อนร่วมโลกที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเส้นแบ่งจินตภาพ
ในภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายเลื่องชื่อในชื่อเดียวกันอย่าง ‘All Quiet on the Western Front’ (2022) เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็สะท้อนให้เราเห็นถึง ‘กับดักชาตินิยม’ (Nationalism Trap) ที่ถูกประโคมโดยผู้มีอำนาจเพื่อทำให้พลทหารแต่ละคนมุ่งมั่นจับปืนออกไปรบราฆ่าฟัน ก่อนจะหันกลับมาเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าแต่ละฝั่งก็เป็นเพียงหมากในกระดานที่ใส่เสื้อคนละสี โดยเฉพาะในฉากที่ ‘พอล เบาเมอร์’ (Paul Baumer) ลงมือสังหารพลทหารฝรั่งเศสก่อนจะตระหนักรู้ว่าเขาก็มีความเป็นคนไม่ต่างออกไป
อีกหนึ่งกับดักที่ซ่อนอยู่คือความขัดแย้ง โดยเฉพาะชนิดที่พ่วงเกี่ยวกับความเป็นชาติอาจมาพร้อมกับ ‘ความเกลียดชัง’ (Hate) ที่สามารถพัฒนาและฝังลึกอยู่ในจิตใจและสำนึกของผู้คน ความขัดแย้งย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีและยากจะหลีกเลี่ยง ทว่าความขัดแย้งที่มี ‘ความเกลียดชัง’ เป็นเชื้อเพลิง อาจนำไปสู่บาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่จะสร้างความสูญเสียกับทั้งสองฝ่ายในระยะยาว ดังที่ถูกจารึกเอาไว้ในหลายกรณีศึกษาในประวัติศาสตร์โลก
หรือในบางคราว ความคลั่งชาติก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลหรือคำนึงถึงเพียงผลพวงในระยะสั้นที่อาจสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างสังคมในระยะยาว ดัง สะท้อนในการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำเผด็จการในอดีตหลายคน ที่ได้รับความนิยม ณ ขณะนั้น เพราะผู้คนรู้สึกว่าการที่มีผู้นำที่เด็ดขาด ไม่ว่าจะมาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร อาจจะดีต่อประเทศมากกว่า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจนำไปสู่ความเสียหายทางระบอบการปกครองของประเทศ
แนวคิดแบบชาตินิยมหากถูกสุมไฟจนมากเกินไปก็อาจทำให้มนุษย์ร่วงหล่นลงไปอยู่ในกับดักจนกัดกินความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์กันออกไป หรือแม้แต่การตัดสินใจบางสิ่งที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นที่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่ต้องจ่ายในระยะยาว และอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมหรือบาดแผลที่จะติดตรึงความทรงจำร่วมของผู้คนไปอีกเป็นเวลานาน
ความตระหนักรู้และเห็นคุณค่าของความเป็นชาติถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ในรวมอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ไม่เพียงแค่สิ่งนี้สร้างความสามัคคี ความแข็งแกร่ง และอำนาจในการต่อรอง แต่ยังเป็นสถานที่ที่เพื่อนมนุษย์สามารถเกื้อกูลช่วยเหลือกันแม้ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักชื่อกันมาก่อนในชีวิต
ในวันที่โดดเดี่ยวอยู่ ณ แดนไกลบ้าน การได้พบเจอ ‘เพื่อนร่วมชาติ’ สักคนกลับอบอุ่นหัวใจเกินบรรยายถึง
ทว่าในหลาย ๆ ครั้งแนวคิดอย่าง ‘ชาตินิยม’ นี้เองกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือที่สอดรับกับเจตนาหรือเป้าประสงค์ส่วนตัว แทนที่จะเป็นผลประโยชน์ในภาพรวม จนบางทีแนวคิดดังกล่าวถูกสุมไฟจนร้อนแรงและสร้างผลกระทบเชิงลบมากกว่าจะเป็นเชิงบวกที่กล่าวไปข้างต้น
ทุก ๆ สิ่งย่อมมีข้อเสียเร้นหลบอยู่ใต้ผืนพรม การก้าวเดินไปโดยมีสติและตระหนักรู้อยู่เสมออาจเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งที่จะไม่ถูกฉวยใช้เป็นหมากหนึ่งตัวบนกระดาน
การรักชาติไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นมนุษย์น้อยลง
อ้างอิง
Anderson, B. (1983). Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. Verso.
Orwell, G. (1945). Notes on Nationalism. Retrieved from https://orwellfoundation.com/the-orwell-foundation/orwell/essays-and-other-works/notes-on-nationalism/
Pink Floyd. (1983). The Final Cut [Album]. Harvest Records.
Netflix. (2022). All Quiet on the Western Front [Film]. Directed by Edward Berger.
Britannica, T. Editors of Encyclopaedia. (n.d.). Falkland Islands War. Encyclopedia Britannica. Retrieved from https://www.britannica.com/event/Falkland-Islands-War