ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘ชาตินิยม’ ที่ในมิติหนึ่งก็เป็นแนวคิดที่สามารถผสานมนุษย์ร่วมกันเป็นหนึ่งอย่างเหนียวแน่น แต่ก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางอำนาจ

KEY

POINTS

  • ในนิยามของ ‘เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน’ (Benedict Anderson) ‘ความเป็นกลุ่ม’ หรือ ‘ความเป็นชาติ’ เป็นสิ่งที่ถูก ‘จินตนาการ’ หรือ ‘สมมุติ’ ขึ้น แต่เรื่องสมมุติที่ดังกล่าวกลับฝังรากแน่นลึกอยู่ในสำนึกของผู้คนและสร้างผลลัพธ์ที่ทรงพลัง
  • เรื่องสมมุติที่ว่าด้วย ‘ชาติ’ ผูกรัดคนสองคนหรือมากกว่า ที่แทบจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวร่วมกันเลย นอกเหนือจากอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เข้าด้วยกันผ่านแนวคิดของการอยู่ชาติเดียวกันหรือ ‘เพื่อนร่วมชาติ’ ซึ่งไม่เพียงสร้างสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนโซ่ที่คล้องผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ยังสร้างภาษา วัฒนธรรม และคุณค่าให้กลับกลุ่มสังคมนั้น ๆ อีกด้วย
  • อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผืนพรมของความรักชาติของประชาชนก็อาจมีเจตนาหรือกลยุทธ์บางอย่างจากรัฐหรือผู้นำซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความพยายามในการรักษาอำนาจการปกครองเอาไว้ ทั้งในแง่ของคะแนนนิยมที่อาจจะได้ใจประชาชน หรือแม้แต่การปลูกสำนึกที่ลงลึกถึงขั้วจนสังคมกำจัดคนที่เห็นต่างไปเสียเอง

ชาตินั้นถูกจินตนาการขึ้น เพราะแม้แต่สมาชิกของชาติที่เล็กที่สุด ก็จะไม่มีวันรู้จัก พบเจอ หรือแม้แต่ได้ยินชื่อกันและกัน แต่ในจิตใจของแต่ละคน ต่างก็มีภาพของการเป็นส่วนหนึ่งร่วมกันอยู่เสมอ

— เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน, Imagined Communities (1983)

 

นับตั้งแต่กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มเร่ร่อน ปักหลักทำเกษตรกรรมจนกลายเป็นหมู่บ้าน ล้อมกำแพงอิฐและกองทัพทหารจนกลายเป็นอาณาจักร ขยับสู่ความเป็นรัฐและประเทศในรูปแบบปัจจุบันที่มีเขตแดนเป็นเส้นแบ่งจินตภาพ จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบในการดำรงอยู่รอดหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือการเกาะตัวกันเป็นกลุ่มอยู่เสมอ

การเกาะตัวกันเป็นกลุ่มนี้ไม่เพียงสร้างอำนาจในการต่อรองของเผ่าพันธุ์ที่มีต่อ ‘ธรรมชาติ’ หรือยกระดับความสามารถในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่มีพลกำลังมากกว่า หรือแม้แต่ข้อจำกัดของธรรมชาติที่จะมาท้าทายการอยู่รอดของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน การรวมกลุ่มกันนี้ก็เป็นการสร้างอำนาจการต่อรองระหว่างมนุษย์กลุ่มอื่น ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากรระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อีกด้วย

ในนิยามของ ‘เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน’ (Benedict Anderson) ‘ความเป็นกลุ่ม’ หรือ ‘ความเป็นชาติ’ เป็นสิ่งที่ถูก ‘จินตนาการ’ หรือ ‘สมมุติ’ ขึ้น แต่เรื่องสมมุติที่ฝังรากแน่นลึกอยู่ในสำนึกของผู้คนก็สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์กับมนุษย์จนเปรียบเสมือนปึกไม้ที่ได้มารวมกลุ่มกันจนยากจะหักลงได้ และไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด เชือกที่ใช้มัดไม้เหล่านั้นเข้าด้วยกันก็คงหนีไม่พ้น ‘สำนึกในชาติ’ หรือแนวคิด ‘ชาตินิยม’ (Nationalism) 

เรื่องสมมุติที่ว่าด้วย ‘ชาติ’ และแนวคิด ‘ชาตินิยม’ ผูกรัดคนสองคนหรือมากกว่า ที่แทบจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวร่วมกันเลย นอกเหนือจากอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เข้าด้วยกันผ่านแนวคิดของการอยู่ชาติเดียวกันหรือ ‘เพื่อนร่วมชาติ’ ซึ่งไม่เพียงสร้างสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนโซ่ที่คล้องผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ยังสร้างภาษา วัฒนธรรม และคุณค่าให้กลับกลุ่มสังคมนั้น ๆ อีกด้วย

ทว่าย้อนกลับไปในอดีต บ่อยครั้งที่ความเป็นชาตินิยม จากเดิมที่ทำหน้าที่เป็นรากฐานการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ได้กลายร่างเป็นดาบสองคมที่หันกลับมาทำร้าย ‘เพื่อนมนุษย์’ หรือแม้แต่ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ เพื่อจุดประสงค์บางสิ่งของคนบางกลุ่ม และทำให้แนวคิดที่ว่าสร้างระบบการปกครอง ทั้งในมิติของรัฐหรือสังคมที่ ‘เป็นพิษ’ ได้เช่นเดียวกัน

เพราะในบางครั้งความเป็นชาติ ไม่เพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือจากผู้ปกครองบางประเทศในการสนองจุดประสงค์เฉพาะตน แต่นิยามของมันยังถูกผสมรวมกับนิยามของ ‘ความดี’ หรือแม้แต่ ‘ความเป็นมนุษย์’ เสียอย่างนั้น

 

คำว่า ‘ชาตินิยม’ ไม่สมควรถูกนิยามปะปนไปกับ ‘ความรักชาติ’ ชาตินิยมคือความเคยชินในการมองว่ามนุษย์สามารถถูกจัดจำแนกได้เหมือนแมลง เป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ที่สามารถติดป้ายว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้อย่างมั่นใจ
— จอร์จ ออร์เวลล์, Notes on Nationalism (1945)

 

จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนนวนิยายชื่อดังอย่าง Animal Farm (1945) และ 1984 (1949) เคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวคิดชาตินิยมเอาไว้ในงานเขียนของเขาอย่าง Notes on Nationalism (1945) โดยได้มีการแบ่งระหว่างคำว่า ‘ชาตินิยม’ (Nationalism) กับ ‘ความรักชาติ’ (Patriotism) ออกจากกัน ซึ่งอย่างแรกเปรียบเสมือนความรักเชิงรุกที่ต้องสำแดงว่าตนเหนือกว่า กับอย่างหลังที่เป็นความรักเชิงรับที่มุ่งหมายจะปกป้องคุณค่าของตนเองเอาไว้

 

ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

Notes On Nationalism (1945) by George Orwell

 

ไม่ใช่เรื่องผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใครสักคนจะรัก ‘บ้าน’ ที่ตนเองอาศัยอยู่ และเมื่อมีใครย่างกรายเข้ามารุกล้ำ แย่งชิง หรือทำลาย ก็ย่อมเกิดความรู้สึกอยากโต้กลับและป้องกันความเป็นอยู่ของ ‘บ้าน’ เฉกเช่นเดียวกับ ‘ความเป็นชาติ’ ในสำนึกของผู้คนที่มีต่อเรื่องชาติ

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผืนพรมของความรักชาติของประชาชนก็อาจมีเจตนาหรือกลยุทธ์บางอย่างจากรัฐหรือผู้นำซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความพยายามในการรักษาอำนาจการปกครองเอาไว้ ทั้งในแง่ของคะแนนนิยมที่อาจจะได้ใจประชาชน หรือแม้แต่การปลูกสำนึกที่ลงลึกถึงขั้วจนสังคมกำจัดคนที่เห็นต่างไปเสียเอง โดยเฉพาะการปกครองในรูปแบบของ ‘อำนาจนิยม’ (Authoritarianism)

ย้อนกลับไปในอดีตนโยบายแบบชาตินิยมก็เคยช่วยเหลือ ‘มาร์กาเร็ต แธตเชอร์’ (Margaret Thatcher) นายกหญิงเหล็กเอาไว้ในช่วงปี 1982 จากสงครามฟอล์กแลนด์ (Falkland War) ที่ดินแดนบริเวณอเมริกาตอนใต้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรถูกรุกรานโดยอาร์เจนติน่า และเธอก็ได้สั่งการให้กองทัพใหญ่ของสหราชอาณาจักรไปต่อกรกับการรุกรานในครั้งนี้จนสามารถคว้าชัยมาได้ภายในเวลาสิบสัปดาห์เท่านั้น

 

ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

Magaret Thatcher

 

จากเดิมที่คะแนนความนิยมของเธอร่วงหล่นไปอย่างมากจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย รวมไปถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่ดูอ่อนแอลงจากอดีต การเดินหน้านโยบายนี้ของเธอก็ดันโดนใจประชาชนส่วนมากและกระแสชาตินิยมเหล่านี้ก็ดันให้แธตเชอร์คว้าชัยชนะในปีต่อมาอย่างถล่มทลาย

ในขณะที่ผู้คนมากมายสรรเสริญความกล้าหาญที่จะกอบกู้เกียรติของชาติ บ้างก็มองว่าการส่งกองทัพข้ามน้ำข้ามทะเลไปปกป้องเกาะเล็ก ๆ สองเกาะถือเป็นการกระทำที่ ‘ไม่คุ้มค่า’ ที่แลกมาด้วยการสูญเสียโดยใช่เหตุเพื่อคงรักษาพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นในอัลบั้มหนึ่งของ Pink Floyd นามว่า ‘The Final Cut’ (1983) ‘โรเจอร์ วอเทอร์ส’ (Roger Waters) ก็ได้วิจารณ์ว่าศึกนี้เป็นการกระทำที่ ‘คลั่งชาติ’ (Jingoism) — แนวคิดคลั่งชาติอย่างสุดโต่งที่สำแดงด้วยกำลังว่าอยู่เหนือกว่า

 

ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

The Final Cut (1983) by Pink Floyd

 

ในมิติของการตัดสินใจนั้น กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าในบางคราวแนวคิดหรือวาทะกรรมชาตินิยมก็อาจเข้ามาบดบังการตัดสินใจแบบมีเหตุมีผล (Rational Decision Making) ที่เล็งไปถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศในภาพรวมก็เป็นได้ เพราะหากมองในกรอบของความเป็นชาตินิยมแล้ว ‘เกียรติยศ’ หรือ ‘ศักดิ์ศรี’ อาจถูกให้ค่าสูงกว่าบางสิ่งที่ต้องจ่ายออกไป 

อย่างไรก็ตาม บทความนี้ก็ไม่ได้พยายามจะชี้ให้เห็นว่าใครผิดหรือถูกในสงครามฟอล์กแลนด์ แต่พยายามจะฉายให้เห็นว่าในประเทศที่มีเชื้อเพลิงของความรู้สึกเป็นชาติ ความเป็นชาตินิยมก็อาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างเสถียรภาพทางอำนาจหรือแม้แต่กอบกู้ความนิยมจากประชาชนได้

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของชาตินิยมที่อาจถูกทำให้กลายเป็น ‘ความคลั่งชาติ’ (Ultranationalism) ก็อาจทำหน้าที่ในฐานะเครื่องมือที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของการปกครองเช่นเดียวกัน เมื่อค่านิยมเรื่องชาติถูกฝังลึกลงไปใน ‘คุณค่า’ ในสำนึกของผู้คนจนมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด และเมื่อหลุดออกจากคุณค่าดังกล่าวก็อาจถูกตีความว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้ ดังที่ออร์เวลล์ ได้นิยามมิติหนึ่งของชาตินิยมเอาไว้ว่า “ความเคยชินในการมองว่ามนุษย์สามารถถูกจัดจำแนกได้เหมือนแมลง เป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ที่สามารถติดป้ายว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้อย่างมั่นใจ

กล่าวคือ ในระดับของการตัดสินใจแบบปัจเจกนั้น ความคลั่งชาตินี้อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้มนุษย์สามารถนิยามเพื่อนมนุษย์คนอื่นว่า ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้ผ่านความแตกต่างทางของ ‘กลุ่ม’ อาทิเช่น คนในประเทศที่มีจุดยืนต่อการเมืองหรือแนวคิดที่แตกต่างออกไป หรือแม้แต่เพื่อนร่วมโลกที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเส้นแบ่งจินตภาพ

ในภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายเลื่องชื่อในชื่อเดียวกันอย่าง ‘All Quiet on the Western Front’ (2022) เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็สะท้อนให้เราเห็นถึง ‘กับดักชาตินิยม’ (Nationalism Trap) ที่ถูกประโคมโดยผู้มีอำนาจเพื่อทำให้พลทหารแต่ละคนมุ่งมั่นจับปืนออกไปรบราฆ่าฟัน ก่อนจะหันกลับมาเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าแต่ละฝั่งก็เป็นเพียงหมากในกระดานที่ใส่เสื้อคนละสี โดยเฉพาะในฉากที่ ‘พอล เบาเมอร์’ (Paul Baumer) ลงมือสังหารพลทหารฝรั่งเศสก่อนจะตระหนักรู้ว่าเขาก็มีความเป็นคนไม่ต่างออกไป

 

ดาบสองคมของ ‘ชาตินิยม’ ความเชื่อที่รวมมนุษย์เป็นหนึ่งและกับดักเพื่อผลประโยชน์ในอำนาจ

 

หรือในบางคราว ความคลั่งชาติก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลหรือคำนึงถึงเพียงผลพวงในระยะสั้นที่อาจสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างสังคมในระยะยาว ดัง สะท้อนในการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำเผด็จการในอดีตหลายคน ที่ได้รับความนิยม ณ ขณะนั้น เพราะผู้คนรู้สึกว่าการที่มีผู้นำที่เด็ดขาด ไม่ว่าจะมาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร อาจจะดีต่อประเทศมากกว่า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจนำไปสู่ความเสียหายทางระบอบการปกครองของประเทศ

แนวคิดแบบชาตินิยมหากถูกสุมไฟจนมากเกินไปก็อาจทำให้มนุษย์ร่วงหล่นลงไปอยู่ในกับดักจนกัดกินความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์กันออกไป หรือแม้แต่การตัดสินใจบางสิ่งที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นที่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่ต้องจ่ายในระยะยาว และอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมหรือบาดแผลที่จะติดตรึงความทรงจำร่วมของผู้คนไปอีกเป็นเวลานาน

ความตระหนักรู้และเห็นคุณค่าของความเป็นชาติถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ในรวมอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ไม่เพียงแค่สิ่งนี้สร้างความสามัคคี ความแข็งแกร่ง และอำนาจในการต่อรอง แต่ยังเป็นสถานที่ที่เพื่อนมนุษย์สามารถเกื้อกูลช่วยเหลือกันแม้ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักชื่อกันมาก่อนในชีวิต

ในวันที่โดดเดี่ยวอยู่ ณ แดนไกลบ้าน การได้พบเจอ ‘เพื่อนร่วมชาติ’ สักคนกลับอบอุ่นหัวใจเกินบรรยายถึง

ทว่าในหลาย ๆ ครั้งแนวคิดอย่าง ‘ชาตินิยม’ นี้เองกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือที่สอดรับกับเจตนาหรือเป้าประสงค์ส่วนตัว แทนที่จะเป็นผลประโยชน์ในภาพรวม จนบางทีแนวคิดดังกล่าวถูกสุมไฟจนร้อนแรงและสร้างผลกระทบเชิงลบมากกว่าจะเป็นเชิงบวกที่กล่าวไปข้างต้น

ทุก ๆ สิ่งย่อมมีข้อเสียเร้นหลบอยู่ใต้ผืนพรม การก้าวเดินไปโดยมีสติและตระหนักรู้อยู่เสมออาจเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งที่จะไม่ถูกฉวยใช้เป็นหมากหนึ่งตัวบนกระดาน

การรักชาติไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นมนุษย์น้อยลง

 

อ้างอิง

Anderson, B. (1983). Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. Verso.

Orwell, G. (1945). Notes on Nationalism. Retrieved from https://orwellfoundation.com/the-orwell-foundation/orwell/essays-and-other-works/notes-on-nationalism/

Pink Floyd. (1983). The Final Cut [Album]. Harvest Records.

Netflix. (2022). All Quiet on the Western Front [Film]. Directed by Edward Berger.

Britannica, T. Editors of Encyclopaedia. (n.d.). Falkland Islands War. Encyclopedia Britannica. Retrieved from https://www.britannica.com/event/Falkland-Islands-War