เวทย์มนต์ของ ‘การไหลล้น’ เมื่อไอเดียลอยว่อนในอากาศ จาก ‘มงมาทร์’ ถึง ‘ซิลิคอนแวลลีย์’

เวทย์มนต์ของ ‘การไหลล้น’ เมื่อไอเดียลอยว่อนในอากาศ จาก ‘มงมาทร์’ ถึง ‘ซิลิคอนแวลลีย์’

ทำไมคนเก่งมักอยู่ที่เดียวกัน? ว่าด้วย เวทย์มนต์ของ ‘การไหลล้น’ (Knowledge Spillover) เมื่อไอเดียลอยว่อนในอากาศ จาก มงมาทร์ เอมีเลีย-โรมาญา ถึง ซิลิคอนแวลลีย์

KEY

POINTS

ครั้นถึงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิและความชื้นได้ที่ บรรดาดอกไม้นานาพันธุ์ก็จะทยอยบานออก และเมื่อบานอย่างเต็มที่ เกสรตัวผู้ก็จะผลิตละอองเกสรขนาดเล็กและเบาสำหรับการผสมพันธุ์ พืชบางชนิดจะปล่อยเกสรให้ลอยไปกับกระแสลม ส่วนบางชนิดออกแบบโครงสร้างดอกที่เชื้อเชิญให้บรรดาแมลงที่ถวิลหาน้ำหวานเป็นสื่อกลางของการผสมเกสร หลังจากละอองตกลงบนเกสรตัวเมียของดอกอีกต้น และเป็นชนิดที่เข้ากันได้ก็จะงอกเส้นละอองเกสรลงไปผสมกับไข่ นำไปสู่การสร้างเมล็ดและผล เพื่อปกป้องและเตรียมแพร่พันธุ์ต่อ กระบวนการเหล่านี้หมุนเวียนผ่านกาลเวลาสืบไป

กระบวนการเหล่านี้ชวนให้นึกถึงภาพทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงในโพรวองซ์ ฝรั่งเศส ทุ่งทิวลิปหลากสีในเนเธอร์แลนด์ หรือแม้แต่ทุ่งดอกบัวตองสีเหลืองอร่ามในดอยแม่อูคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่บรรดาดอกไม้พากันแผ่เกสรและชวนกันเบิกบานกลายเป็นกลุ่มก้อนของความสวยงามที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว

ในขณะเดียวกันก็ชวนให้นึกถึงอารยธรรมของมนุษย์ในหลายพื้นที่และหลากช่วงเวลาที่มีบุคคลมากความสามารถที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกกระจุกอยู่ในที่เดียวกัน จนชวนให้สงสัยว่าบรรดาตำแหน่งแห่งหนเหล่านั้นมีอะไรดี ถึงได้ให้กำเนิดยอดมนุษย์หลายคนเหล่านั้นได้ แทนที่จะแผ่กระจายเกิดกันคนละทิศคนละทาง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในคำตอบสำคัญอันเป็นพื้นฐานคือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่ความเป็นอยู่ การศึกษา เศรษฐกิจ และอีกมากมายคือปัจจัยที่กำหนดความเจริญในพื้นที่ต่าง ๆ ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเหตุใดย่านมงมาทร์ถึงเกี่ยวพันกับศิลปินฝรั่งเศสหลายคน ทำไมบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ French New Wave ถึงล้วนใช้ชีวิตกันอยู่ที่ปารีส ไฉนฮอลลีวูดถึงเป็นศูนย์รวมของนักทำหนังของโลก ทำไมวงร็อกในตำนานเกินนับนิ้วถึงไปกระจุกอยู่ที่อังกฤษ และทำไมซิลิคอนแวลลีย์ถึงได้เป็นศูนย์รวมบริษัทนักพัฒนาแนวหน้าของโลก?

หนึ่งในวิธีหาคำตอบในข้อสงสัยเหล่านี้อาจจะต้องถอยกลับไปถึงสิ่งที่ ‘อัลเฟรด มาร์แชล’ (Alfred Marshall) บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์สำนักนีโอคลาสสิกในตำราเล่มสำคัญ ‘Principles of Economics’ (1890) ที่มีส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมเฉพาะทางว่า 

 

จากข้อได้เปรียบมหาศาลที่ผู้ประกอบอาชีพฝีมือชนิดเดียวกันได้รับจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ความลึกลับของวิชาชีพจึงไม่เป็นเรื่องลึกลับอีกต่อไป หากแต่เหมือน ‘ลอยอยู่ในอากาศ’ จนเด็ก ๆ ก็สามารถซึมซับและเรียนรู้ได้โดยไม่รู้ตัว

 

In the Air’ หรือ ‘การลอยอยู่ในอากาศ’ จึงเป็นการเปรียบเปรยจากมาร์แชลต่อปรากฎการณ์ ‘การไหลล้น’ หรือ ‘Spillover Effect’ โดยเฉพาะในแง่ของการไหลล้นของ ‘องค์ความรู้’ หรือ ‘Knowledge Spillover’ ของการที่อุตสาหกรรมหรือผู้ผลิตกระจุกตัวรวมกันจนเกิดเป็นการสนับสนุนด้วยกัน เปรียบเสมือนว่าไอเดียที่ผุดขึ้นลอยว่อนอยู่ในอากาศ ที่ไม่ว่าใครที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวก็สามารถคว้ามาสร้างเสริมจนเกิดเป็นวัฏจักรของนวัตกรรมไม่รู้จบได้

The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้อยากจะชวนไปสำรวจกรณีศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะจากศิลปินในมงมาทร์ กระแส French New Wave ในปารีส อุตสาหกรรมยานยนต์ในแว่นแคว้นของอิตาลี ศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ไปจนถึงบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้าของโลกที่รวมตัวกันอยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์ ผ่านการไหลล้นสามรูปแบบที่สนับสนุนให้เกิดการก้าวหน้าเป็นหมู่คณะที่อาจจะช่วยตอบคำถามได้ว่าทำไม คนเก่ง ๆ ในแต่ละสาขามักแหล่งกำเนิด เติบโต หรือทำงานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

 

การไหลล้น

ดังที่กล่าวไปก่อนหน้าว่านักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษผู้ที่นำเสนอแนวคิดเรื่องอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) มาตัดกันจนเจอจุดดุลยภาพ (Equilibrium) นามว่า อัลเฟรด มาร์แชล คือคนแรก ๆ ที่นำเสนอการเปรียบเปรยปรากฎการณ์การไหลล้นของความรู้จนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แต่ภายหลังจากนั้น หลักดังกล่าวก็มีนักเศรษฐศาสตร์รุ่นถัด ๆ มานำมาคิดและพัฒนาต่อจนเกิดเป็น Knowledge Spillover สามรูปแบบที่จะถูกใช้ในการมองกรณีศึกษาต่าง ๆ ในบทความนี้

การไหลล้นทางความรู้ตามแบบฉบับของมาร์แชลนับว่าเป็นประเภทที่คลาสสิกที่สุดก็ว่าได้ ซึ่งภายหลังจากนั้นก็มีนักเศรษฐศาสตร์นามว่า ‘เคนเนธ แอร์โรว์’ (Kenneth Arrow) และ ‘พอล โรเมอร์’ (Paul Romer) ในช่วงเกือบศตวรรษให้หลัง จนท้ายแง่มุมต่าง ๆ ที่นักคิดทั้งสามได้นำเสนอก็ถูกนำมาผนวกรวมกันจนกลายเป็น ‘MAR Spillover’ ที่ย่อมาจากนามสกุลของทั้งสามคน ‘Marshall–Arrow–Romer

การไหลล้นแบบ MAR หรือ MAR Spillover คือคำอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกันตั้งอยู่หนาแน่น ในจำนวนที่หนาแน่น ซึ่งความหนาแน่นที่ว่าก็เป็นปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดการเติบโต ผลิตภาพ นวัตกรรม จากทรัพยากรและไอเดียใหม่ ๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ราวกับว่าไอเดียต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นลอยว่อนอยู่ในอากาศที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาร่วมกันในภาพรวม

ในขณะเดียวกัน ก็ใช่ว่าการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดียวกันจะสร้างความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลแบ่งปันซึ่งกันและกันเสมอไป เพราะ ‘ไมเคิล พอร์เตอร์’ (Michael Porter) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน และผู้นำเสนอทฤษฎีทางธุรกิจอย่าง Five Forces Model ได้นำเสนออีกแนวคิด ‘Porter Spillovers’ ว่า การรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเดียวกัน อาจก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น และจูงใจให้ผู้ผลิตแต่ละคนเร่งพัฒนานวัตกรรมในทางของตน นำมาซึ่งผลิตภาพ การเติบโต และนวัตกรรมที่ก้าวหน้าขึ้นในท้ายที่สุด 

อย่างไรก็ตาม นักคิดบางคนก็มองว่าการที่ผลิตภาพหรือนวัตกรรมที่เพิ่มมากขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ผลิตหรือผู้สร้างสรรค์อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘ความเหมือน’ ในประเภทอุตสาหกรรมเสมอไป ดังที่ ‘เจน เจคอบส์’ (Jane Jacobs) เสนอว่าความหลากหลายของประเภทอุตสาหกรรมในพื้นที่นั้น ๆ อาจจะไม่เพียงเพิ่มผลิตภาพ แต่ยังอาจนำมาซึ่งมุมมองและไอเดียใหม่ ๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนกันไปมา ซึ่งเราจะเรียกปรากฎการณ์แบบนี้ว่า ‘Jacobs Spillovers

ทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นได้ว่าความหนาแน่นเชิงพื้นที่ (Geographical Concentrations) ของผู้ผลิตหรือผู้สร้างสรรค์มักจะนำมาซึ่งนวัตกรรม ผลิตภาพ และการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นด้วยแรงขับเคลื่อนที่แตกต่างกันไป บ้างอาจสนับสนุนกันและกัน เติมเต็มกันและกัน หรือแม้แต่ผลักดันให้แข่งขันและถีบตัวเองเพื่ออยู่รอด โดยในต่อไปนี้เราจะใช้กรอบการไหลล้นที่กล่าวมามองพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีการไหลล้นทางองค์ความรู้จนให้กำเนิดบุคคลผู้มีความสามารถและเป็นที่รู้จักเฉกเช่นทุกวันนี้

 

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ 

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ที่เกิดในช่วงตอนปลายของศตวรรษที่ 18 ในประเทศอังกฤษก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติทั้งในมิติของเทคโนโลยีและโดยเฉ​พาะกับการจัดสรรทรัพยากรและการทำงาน ทว่าสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ความเปลี่ยนแปลงที่จุดเปลี่ยนครั้งนั้นนำมาให้กับสังคมมนุษย์คือบรรดาปัจจัยที่ทำให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมสุกงอมที่อังกฤษเป็นที่แรก

ในหนังสือ How Economics Explains The World (2024) ได้อ้างอิงข้อถกเถียงของนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ‘โรเบิร์ต อัลเลน’ (Robert Allen) ว่าการจะเข้าใจสาเหตุที่นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น เราอาจจะต้องมองย้อนไปถึงการปฏิวัติในด้านอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ดังที่เขานิยามว่าคือ ‘การปฏิวัติแบบลูกโซ่’ (Interlocking Revolution)

เริ่มต้นตั้งแต่การเกษตรในอังกฤษที่มีผลิตภาพสูงไม่ว่าจะเป็นการเลือกสรรพันธุ์พืช การปลูกพืชแบบหมุนเวียน หรือการไถพรวนดินจึงทำให้มีทรัพยากรทางอาหารเหลือพอให้ผู้คนเริ่มขยับเข้าเมืองจึงนำไปสู่ ‘การปฏิวัติเมือง’ (Urban Revolution) และเมื่อประชากรกระจุกตัวอยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้นก็นำไปสู่การไหลเวียนของเงินผ่านความต้องการที่มากขึ้น และนำไปสู่ ‘การปฏิวัติการค้า’ (Commercial Revolution) ที่ทำให้มีการนำเข้าและส่งออก หรือแม้แต่ธนาคารเอกชนที่ผุดขึ้นเพื่อเกื้อหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าว

การปฏิวัติทั้งหลายนี้ทำให้สำนึกความเป็นสมัยใหม่และกลไกแบบระบบทุนนิยมเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่เมือง แต่การปฏิวัติที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ‘การปฏิวัติเทคโนโลยี’ (Technological Revolution) ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ่านหินหรือเครื่องจักรไอน้ำ (Steam Engine) ที่ทำหน้าที่เป็น ‘เทคโนโลยีอเนกประสงค์’ (General-Purpose Technologies) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเนื้องานและอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงการสุกงอมของสภาพสังคมและเทคโนโลยีในอังกฤษในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้านก็สอดประสานกันเหมือนลูกโซ่ หรือแม้แต่เกื้อหนุนและแข่งขันกัน แต่ท้ายที่สุด เมื่อมวลของความเปลี่ยนแปลงลอยอยู่ในอากาศ เมื่อสภาพแวดล้อมอุดมไปด้วยการคิดสิ่งใหม่ก็มีแนวโน้มที่อะไรใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นตามกันมา 

 

ศิลปะในมงมาทร์

ห่างออกไปไม่มากจากเกาะอังกฤษ โลกของศิลปะก็เบ่งบานเป็นอย่างมากในประเทศฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุค ‘Belle Époque’ หรือ ‘ช่วงเวลาอันสวยงาม’ (Beautiful Era) ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 จิตรกรเลื่องชื่อมากมายที่เพียงเอ่ยนามสกุลก็คุ้นหูตั้งแต่ ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir), วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent van Gogh) ไปจนถึงปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวโยงกับย่านทางตอนเหนือของปารีสอย่าง ‘มงมาทร์’ (Monmartre)

ผลงานอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) อันเลื่องชื่อ ‘Bal du Moulin de la Galette’ (1876) ของเรอนัวร์ก็ถูกวาดที่สตูดิโอของเขาบริเวณ Rue Cortot ในมงมาร์ต ย่านที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ โรงเต้นรำ โรงละครคาบาเรต์ ที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับเขา รวมไปถึงละแวก ‘บาติญอลส์’ (Batignolles) อันเป็นพื้นที่ที่พาให้ศิลปินกลุ่มบาติญอลส์ (Batignolles Group) นำโดย ‘เอดูอาร์ มาเนต์’ (Édouard Manet) ได้มาพบปะ พูดคุย และเปลี่ยนจนเกิดเป็นศิลปะกระแสอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ทรงอิทธิพลไปทั่วทั้งโลก

แม้แต่ แวน โก๊ะ ก็เคยอาศัยอยู่ที่มงมาทร์ในช่วงหนึ่งของชีวิตซึ่งทำให้เขามีโอกาสเดินทางในปารีสและได้ซึมซับทั้งบรรยากาศของปารีสที่มีสีสันฉูดฉาดกว่าบ้านเกิดของเขา และศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์จากงานจัดแสดงต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขาได้หยิบเอาเทคนิคบางประการมาประกอบกับสไตล์ของตัวเขาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกจดจำในทุกวันนี้ รวมไปถึงน้องชายของเขาอย่าง ‘ธีโอ แวนโก๊ะ’ (Theo van Gogh) ที่เป็นพ่อค้าขายงานศิลปะก็เหมือนได้กระโดดลงไปพื้นที่ที่มีแต่โอกาสรอเขาอยู่

ขยับมาถึงต้นศตวรรษที่ 20 ในช่วงปี 1904 ถึง 1912 ปิกัสโซก็ได้มาตั้งหลักปักฐานที่อาคารบาโต-ลาวัวร์ (Bateau-Lavoir) ในมงมาทร์ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของทั้งจิตรกรและนักเขียนมากมายหลายคนไม่ว่าาจะเป็น กีโยม อาโปลิแนร์ (Guillaume Apollinaire), มักซ์ ฌาคอบ (Max Jacob), และ เกอร์ทรูด และ ลีโอ สไตน์ (Gertrude and Leo Stein) รวมไปถึงพ่อค้างานศิลปะด้วย ซึ่งในช่วงที่อยู่ที่นั่น จะได้เห็นถึงพัฒนาการของปิกัสโซจาก ‘Blue Period’ พัฒนาไปถึงช่วง ‘Cubism’ ที่เป็นหนึ่งในสไตล์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกศิลปะ

แม้แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มนตราของไอเดียที่ลอยว่อนอยู่ในอากาศก็ยังไม่ได้หมดไป ในโลกภาพยนตร์เราได้เห็นการเกิดขึ้นของการปฏิวัติวงการอย่าง ‘French New Wave’ ที่กลุ่มคนที่เป็นนักวิจารณ์หนังและขอหนังอย่าง ฌอง-ลุค โกดาร์ (Jean-Luc Godard), ฟร็องซัว ทรุฟโฟต์ (François Truffaut), และ เอริก โรแมร์ (Éric Rohmer) ตัดสินใจลุกขึ้นมาทำหนังแหกขนบจากความเป็น ‘โอล์ดฮอลลีวูด’ (Old Hollwodd) ซึ่งเป็นภาพยนตร์กระแสหลัก ณ ขณะนั้น ด้วยเอง ซึ่งการก่อตัวกันของไอเดียเหล่านี้ก็ล้วนเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมและปฏิสัมพันธ์กันของคนที่มีไอเดียและมุมมองคล้ายกัน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสตลอดราวหนึ่งศตวรรษที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงปรากฎการณ์การไหลล้นแบบ MAR Spillovers จากการที่นักสร้างสรรค์รวมตัวกันอยู่พื้นที่ใกล้เคียงกัน จนเกิดเป็นบรรยากาศที่สนับสนุนให้เกิดการเติบโตในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ที่มากขึ้น ทั้งในแง่ของการสร้างสรรค์ที่นำไปสู่นวัตกรรม และหากถอยออกมามองในภาพกว้าง ก็อาจจะพอสรุปได้ว่าไอเดียที่ลอยว่อนอยู่ในอากาศเหล่านี้ดูจะลอยว่อนอยู่ในอากาศผ่านยุคสมัยจนบางทีอาจกลายเป็นสำนึกของคนพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย 


หุบเขายานยนต์ในอิตาลี

ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันฟอร์มูล่าวันหรือตลาดรถซุปเปอร์คาร์ จะเห็นการแข่งขันอันดุเดือดที่ชัดเจนมากโดยเฉพาะระหว่าง ‘เฟอร์รารี’ (Ferrari) เมืองมาราเนลโล (Maranello) และ ‘ลัมโบร์กินี’ (Lamborghini) จากเมืองซานตาอากาตา โบโลญีส (Sant’Agata Bolognese) ซึ่งทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของแคว้น ‘เอมีเลีย-โรมาญา’ (Emilia-Romagna) ทางตอนเหนือของอิตาลีที่ต่อมาโลกจะจดจำสถานที่แห่งนี้ในนาม ‘หุบเขายานยนต์’ (Motor Valley)

หากกล่าวถึงแคว้นเอมีเลีย-โรมาญาแล้ว เรื่องที่จะถูกจดจำและเป็นไฮไลท์มากที่สุดก็หนีไม่พ้นการแข่งขันกันระหว่าง ‘เอนโซ เฟอร์รารี’ (Enzo Ferrari) และ ‘แฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กีนี’ (Ferruccio Lamborghini) ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ถึง 1970 หลังจากที่ลัมโบร์กีนีตัดสินใจลงสนามมาสร้างรถเพื่อแข่งขันกับเฟอร์รารี ด้วยความเชื่อที่ว่าเขาสามารถสร้างรถที่ดีกว่านั้นได้ 

ทั้งเมืองมาราเนลโลอันเป็นที่ตั้งของเฟอร์รารีกับเมืองซานตาอากาตา โบโลญีสอันเป็นที่ตั้งของลัมโบร์กีนีมีความห่างกันประมาณ 35 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น หมายความว่านอกจากพวกเขาจะแข่งขันกันในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว ก็ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่เคียงกันอีกด้วย 

ทว่าที่สำคัญไปกว่านั้น การที่ทั้งสองอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันก็มีแนวโน้มที่จะใช้ทรัพยากรจากที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเครื่องจักร หรือโดยเฉพาะกับทรัพยากรมนุษย์ผู้มีฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรหรือช่างฝีมือ ที่ไม่เพียงมีบรรยากาศที่นำไปสู่การพูดคุยหรือแข่งขันกัน แต่รวมไปถึงการผลัดเปลี่ยนการจ้างงานระหว่างสองคู่แข่งด้วย

ซึ่งนอกจากการการแข่งขันจะผลักดันให้ทั้งสองบริษัทพยายามถีบตัวเองไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้บรรยากาศแห่งนวัตกรรมที่แฝงอยู่ในอากาศ ได้จูงใจให้มหาวิทยาลัยผลิตทรัพยากรมนุษย์เข้าสู่ระบบนิเวศที่ว่านี้ หรือแม้แต่ดึงดูดผู้คนที่มีความสามารถจากทั่วทั้งโลกเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันในครั้งนี 

แคว้นเอมีเลีย-โรมาญาในอิตาลีจึงเป็นตัวอย่างชั้นดีที่สะท้อนสิ่งที่พอร์เตอร์ได้อธิบายไว้ในการไหลล้นแบบ Porter Spillovers การที่อุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันอาจนำไปสู่การเติบโตผ่านการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเดียวกัน แม้แรงขับภายในจะเป็นการเชือดเฉือนชิงดีกัน ซึ่งแตกต่างจากโลกศิลปะในฝรั่งเศส แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันนี้ทั้งสองแบรนด์รถก็ได้กลายเป็นชื่อที่ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมอะไรมากว่าพวกเขาคือใคร

 

จาก ฮอลลีวูด ถึง ซิลิคอนแวลลีย์
ในสหรัฐอเมริกา

เควนติน ทารันติโน่ (Quentin Tarantino) เคยกล่าวถึงแนวคิดของเขาในตอนที่ตัดสินใจล่าฝันว่า หากคุณวิ่งแข่งกับคนที่คุณจระหนักดีว่าเอาชนะคุณไม่ได้แน่ แน่นอนว่าคุณจะชนะ แต่ถ้าคุณวิ่งแข่งกับนักวิ่งตัวจริง แม้อาจแพ้ แต่คุณจะเร็วขึ้น ด้วยเหตุนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะเอาตัวเองออกจาก ‘เมืองของคนขี้แพ้’ (loserville) และกระโจนไปอยู่ในที่ที่มีแต่คนเก่ง ๆ ให้ได้

เมืองของคนขี้แพ้’ ไม่ใช่การด้อยค่าใครที่สร้างภาพยนตร์ไม่เก่ง แต่เป็นการเปรียบเปรยว่าในบางคราว แพ้หรือชนะอาจไม่สำคัญเท่าตัวของเราเองที่พัฒนาขึ้น ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ดีที่สุดคือการไปอยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนเก่งกว่าคุณ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในหมุดหมายของนักทำหนังมากมายหลายคนก็คงหนีไม่พ้นฮอลลีวูด ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา นครดาราที่อุดมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์และบรรดานักแสดงชื่อดังมากมาย คือดินแดนแห่งการแข่งขันที่รายล้อมไปด้วยโอกาส

ในมิตินี้ ฮอลลีวูดแทบไม่ต่างอะไรจากหุบเขายานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขัน แต่ที่ไหน ๆ ก็ล้วนต้องมีการแข่งขันทั้งนั้น แต่มิติที่น่าสนใจไม่แพ้กันของฮอลลีวูดคือความหลากหลายที่หลอมรวมกันจนเกิดเป็นบรรยากาศที่นำไปสู่การเติบโตเสียมากกว่า 

อาจเป็นเพราะตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เองด้วยที่ต้องอาศัยความหลากหลายในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการกำกับ การเขียน การแสดง การถ่าย การตัดต่อ การออกแบบ การทำดนตรี การตลาด และอีกมากมาย จนทำให้เกิดการเกื้อหนุนกันของความถนัดด้านต่าง ๆ ที่สนับสนุนผลิตภาพและการเติบโตของอุตสาหกรรมในภาพรวม เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นที่อาจไม่ได้มีครบเท่า ซึ่งคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปรากฎการณ์แบบ Jacobs Spillovers

อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงปรากฎการณ์ไหลล้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ซิลิคอนแวลลีย์’ (Silicon Valley) ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและเป็นที่จดจำมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เพราะเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้าของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Apple, Alphabet, Meta, Intel, NVDIA และอีกมากมาย  จนผู้คนที่หวังจะล่าฝันในอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพเทคโนโลยีก็ต้องพาตัวเองไปหุบเขาแห่งนั้นให้ได้

ในบทความหนึ่งจากนิตยสาร The Economist ได้มีการสัมภาษณ์อดีตนักศึกษาฝึกงานที่ปัจจุบันนี้ทำงานอยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์ โดยเขาได้เล่าว่าการที่บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันเกาะกันเป็นกลุ่มทำให้ ‘ความบังเอิญ’ (Serendipity) ไม่ว่าจะจากการพบปะกันตัวเป็นระหว่างเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมต่างบริษัทหรือแม้แต่เจอกับนักลงทุนที่อาจจะมอบโอกาสให้ เฉกเช่นเดียวกับกรณีของหุบเขาบานยนต์ที่มีการหมุนเวียนผู้คนไปมาระหว่างบริษัท บ้างก็ออกไปก่อตั้งบริษัทใหม่ บ้างก็ถูกซื้อคืนมาที่บริษัทเดิม หมุนเวียนกันไปอยู่ในพื้นที่เดิม

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการไหลเวียนของไอเดียภายในพื้นที่ ดังที่โปรแกรมเมอร์จากหนึ่งในบริษัทที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์บรรยายว่าผู้คนที่นั่นมักได้เข้าถึงไอเดียใหม่ ๆ ก่อนเสมอ เร็วกว่าที่อื่น ๆ เป็นปีเสียด้วยซ้ำ ในประการแรกคือบริษัทที่นั่นจะใกล้ชิดกับต้นตอของไอเดียใหม่ ๆ ที่ได้ถูกเผยแพร่ไปแล้ว อีกทั้งยังมีโอกาสเข้าถึงไอเดียใหม่ ๆ เร็วกว่าพื้นที่อื่น ๆ นับเป็นภาพแทนของการนวัตกรรมลอยว่อนอยู่ในอากาศ อยู่ที่ใครจะคว้ามันมาได้แล้วสานต่อเป็นความก้าวหน้าของตนเอง

จากกรณีศึกษาทั้งหมดที่กล่าวมาสะท้อนให้เราเห็นถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อมที่มีบทบาทในการสนับสนุนผลิตภาพ นวัตกรรม และการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเชิงเกื้อกูล การเติมเต็ม หรือการแข่งขันกันและกัน ก็เป็นภาพสะท้อนที่บ่งชี้ว่าสิ่งที่รายล้อมอยู่รอตัวนั้นมีความสำคัญมากเพียงไหน ไม่ใช่ว่าความเก่งกาจของเราจะขึ้นอยู่กับคนอื่นเสมอไป แต่แน่นอนว่าหากเอาตัวเองไปอยู่นถูกที่ถูกทาง อาจนำไปสู่การพัฒนาที่ขยับไปไกลขึ้นกว่าเดิม

นี่อาจเป็นเวทย์มนต์ของการไหลล้นทางความคิดที่ยังคงขลังมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มันคือภาพแทนของพลังในเรื่องเล่าของอารยธรรมมนุษย์ที่สามารถจุดประกายความคิดและนวัตกรรมในอากาศ และแบ่งปันมันโดยไม่รู้ตัวกับคนอื่น ๆ อีกมากมาย 

เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจชวนให้เราหันมามองย้อนดูบ้านเมืองของเราเอง 

ว่าจากช่วงเวลาในอดีตไล่เรียงมาถึงปัจจุบันนี้

มีเกสรความคิดแบบใดลอยว่อนแผ่กระจายไปในอากาศบ้าง?


อ้างอิง 

Marshall, A. (1890). Principles of economics (Book IV, Chapter 10: Industrial Organization Continued. The Concentration of Specialized Industries in Particular Localities). Macmillan. 

Glaeser, E. L., Kallal, H. D., Scheinkman, J. A., & Shleifer, A. (1992). Growth in cities. Journal of Political Economy, 100(6), 1126–1152. 

Leigh, A. (2024). How economics explains the world: A short history of humanity (1st Mariner Books ed.). Mariner Books.

Vincent van Gogh’s Montmartre Residence (1886–1888)
Montmartre Footsteps. (n.d.). Theo and Vincent van Gogh’s apartment in Paris. 

Renoir’s Bal du Moulin de la Galette and Montmartre’s Spirit
Montmartre Footsteps. (n.d.). Moulin de la Galette: The dance, the painting, and Montmartre.  

Pablo Picasso’s Move to Bateau-Lavoir (1904, Montmartre)
Almine Rech Gallery. (n.d.). Pablo Picasso: Artist overview. 

Paris Unlocked Substack Post
Traub, C. (2025, January 22). These 19th-century Parisian artists & critics radically rethought art—& politics. Paris Unlocked. 

Brooks, D. (2024, October 23). Vincent van Gogh: Biography. The Vincent van Gogh Gallery.

MasterClass. (2021, June 7). French New Wave Guide: Exploring the origins of the French Wave. MasterClass. 

Vistatec. (2024, October 1). How Italy’s Motor Valley has shaped the global automotive industry. Vistatec. 

The Economist. (2012, October 27). Something in the air. The Economist (Special Report).