08 ต.ค. 2568 | 20:00 น.
ย้อนกลับไปในปี 1907 ขณะอาศัยอยู่ในสตูดิโอ ณ ย่านมงมาทร์ กรุงปารีส ศิลปินชายวัยเบญจเพศคนหนึ่งได้สร้างแรงสั่นสะเทือนผ่านภาพวาด ‘Les Demoiselles d'Avignon’ และได้ปฏิวัติโลกศิลปะผ่านการสถาปนาสายธารศิลปะ ‘คิวบิสม์’ (Cubism) ที่เป็นการประกอบสร้างของมุมมองที่หลากหลายและรูปทรงเลขาคณิตจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะรูปแบบใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่ซับซ้อนแต่ก็แฝงไปด้วยรายละเอียดชวนมอง และจิตกรผู้อยู่เบื้องหลังภาพวาดดังกล่าวมีนามว่า ‘ปาโบล ปีกัสโซ’ (Pablo Picasso)
อีกฟากหนึ่งของเส้นทางศิลปะ มีจิตรกรอเมริกันคนหนึ่งที่ไม่ได้โด่งดังตั้งแต่วัยหนุ่ม หากแต่ค่อย ๆ สั่งสมและค้นหาวิธีการของตัวเองอยู่ยาวนาน จนเมื่อเขาย้ายไปสร้างสรรค์ผลงานที่สตูดิโอเล็ก ๆ ในย่านอีสต์แฮมป์ตัน นิวยอร์ก เขาก็ได้ค้นพบภาษาศิลปะเฉพาะตัวผ่านการการสาดและหยดสี (Drip Technique) บนผืนผ้าใบที่แผ่กว้างไปทั่วพื้น ซึ่งเทคนิคที่ทำให้เขาโดดเด่นที่สุดในช่วงปลายสามสิบ จนท้ายที่สุดผลงานของเขาก็ถือเป็นส่วนสำคัญของกระแส ‘ลัทธิสำแดงอารมณ์แนวนามธรรม’ (Abstract Expressionism) ซึ่งชื่อของเขาคือ ‘แจ็กสัน พอลล็อก’ (Jackson Pollock)
จิตกรทั้งสองคนที่ได้กล่าวมานั้นล้วนมีข้อที่เหมือนและแตกต่างกัน ในส่วนที่เหมือนกันนั้น ทั้งปีกัสโซและพอลล็อกที่กล่าวถึงถือเป็นศิลปินผู้มีคุณูปการและทรงอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ศิลปะอย่างยากจะปฏิเสธ ทว่าในส่วนที่แตกต่างกันนั้น จะเห็นได้ว่าห้วงเวลาที่เขาทั้งสองได้จารึกผลงานชิ้นเอกให้โลกได้จดจำนั้นอยู่ในช่วงชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ปีกัสโซคือศิลปิน ‘ดาวรุ่ง’ ที่ได้บรรจงผลงานชิ้นเอกเอาไว้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ส่วนพอลล็อกคือศิลปินที่เดินหน้าสร้างสรรค์จนกระทั่งพบแนวทางของตนจนกระทั่ง ‘สุกงอม’ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในช่วงที่อายุจวนจะสี่สิบปี
เรื่องราวของนักสร้างสรรค์ที่สร้างผลงานชิ้นเอกตั้งแต่อายุยังน้อยสะท้อนถึงจิตวิญญาณและความสามารถพิเศษที่เกิดจากความมุ่งมั่น จนกลายเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายว่าต้อง ‘สำเร็จ’ ตั้งแต่ในอายุเลขสอง ทว่าในขณะเดียวกันก็มีนักสร้างสรรค์อีกไม่น้อยที่ใช้เวลาคลำหาและทดลองในแนวทางของตน สั่งสมประสบการณ์และนำมาประยุกต์ใช้จนกระทั่งพบกับความสำเร็จในช่วงหลังของชีวิต
ในปี 2005 นักเศรษฐศาสตร์นามว่า ‘เดวิด กาเลนสัน’ (David Galenson) ได้หยิบเอางานวิจัยของเขามาตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือ ‘Old Masters and Young Geniuses: The Two Life Cycles of Artistic Creativity’ ที่พาไปสำรวจประเภทของศิลปินและนักสร้างสรรค์สองรูปแบบที่จำแนกผ่าน ผลงานที่ประสบความสำเร็จในช่วงอายุที่แตกต่างกันไปดังที่ประกอบไปด้วย ‘Old Masters’ และ ‘Young Geniuses’
ทว่าไอเดียนี้ไม่ได้พยายามจะชี้ให้เห็นถึงศิลปินที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ยังอายุน้อยและสำเร็จในช่วงที่อายุมาก แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการสร้างสรรค์ผลงานในแบบฉบับที่แตกต่างกันออกไปของศิลปินสองประเภทระหว่าง ‘Conceptualist’ และ ‘Experimentalist’ ผ่านกรณีศึกษาของจิตรกรและนักสร้างสรรค์ที่น่าสนใจมากมายในอดีต รวมไปถึงปีกัสโซและพอลล็อกดังที่กล่าวไปก่อนหน้าด้วย
แล้วนักสร้างสรรค์สองประเภทที่ว่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร?
“Conceptualists find. Experimentalists seek.”
ในกระบวนการสร้างสรรค์จะประกอบไปด้วยสามขั้นตอนที่ไล่เรียงจาก ‘เตรียมการ (Planning) - ทำงาน (Working) - จบงาน (Stop)’ ในส่วนของขั้นแรกอย่างการเตรียมการก็คือการวางแผนของศิลปินว่าผลงานที่เขาเหล่านั้นกำลังจะลงมือทำนั้นจะออกมารูปร่างหน้าตาแบบไหน ใช้เทคนิคแบบใด และต้องการจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน ก่อนจะไปถึงกระบวนการทำงานและลงมือสร้างสรรค์ตามวิถีของตน ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องตัดสินใจว่าจะ ‘หยุด’ เมื่อใด
สำหรับนักสร้างสรรค์เชิงแนวคิดหรือสายพันธุ์ Conceptualist กรอบคิดในการสร้างสรรค์งานของพวกเขาจะดำเนินไปในรูปแบบ ‘นิรนัย’ (Deductive) หรือการเริ่มต้นจาก ‘ภาพในหัว’ (Preconceived Image) หรือ ‘คอนเซปต์’ (Concept) ที่ชัดเจน ก่อนจะลงมือจรดรายละเอียดเหล่านั้นบนลงหน้ากระดาษในช่วงของการเตรียมการ หมายความว่าทุกกระบวนการที่จะเดินหน้าไปนั้นจะสอดรับกับเป้าประสงค์ที่ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเพื่อดึงภาพในหัวออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงให้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าหากขยับมาดูที่นักสร้างสรรค์เชิงทดลองหรือ Experimentalist วิถีในการสร้างสรรค์ผลงานจะดำเนินไปในรูปแบบ ‘อุปนัย’ (Inductive) หรือการที่นักสร้างสรรค์เหล่านั้นไม่ได้ภาพในหัวที่ชัดเจน แต่จะมุ่งเน้นไปที่การค้นหาปลายทางระหว่างกระบวนการสร้างสรรค์ บ้างอาจหยิบยกเอาองค์ประกอบของผลงานในอดีตหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาต่อยอด ดัดแปลง หรือผสมผสานจนกลายเป็นสิ่งใหม่ตามวิถีของการทดลอง ด้วยเหตุนั้นการเตรียมการจึงไม่ได้รัดแน่นเท่าแบบแรก แต่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์และค้นหาเส้นทางใหม่ ๆ ระหว่างทาง และความยากอาจไปกระจุกตัวอยู่ตรงกระบวนการสุดท้ายว่าเขาเหล่านั้นจะตัดสินใจ ‘หยุด’ หรือ ‘จบ’ ผลงานเมื่อไหร่ ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งความสำเร็จของนักสร้างสรรค์เชิงทดลองคือการก่อร่างของความสำเร็จที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นระหว่างทาง (Incremental Success)
จากคำนิยามของนักสร้างสรรค์สองประเภทสะท้อนให้เห็นว่าตัวชี้วัดอันเป็นแกนสำคัญไม่ใช่ที่ ‘อายุ’ แต่เป็นกรอบและวิถีการทำงานทั้งสองรูปแบบที่มุ่งเน้นในขั้นตอนที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม วิธีที่แตกต่างกันออกไปนั้นก็ล้วนสัมพันธ์กับอายุของผู้สร้างสรรค์อย่างมีนัยสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของ ปาโบล ปีกัสโซที่สร้างผลงาน Les Demoiselles d'Avignon ในวัย 25 ปี, ออร์สัน เวลส์ (Orson Welles) ในวัย 26 ปี หรือแม้แต่ค่ายเพลง Bakery Music ของประเทศไทยที่เป็นการรวมตัวกันของ สุกี้ - กมล สุโกศล, บอย โกสิยพงษ์ และสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ในช่วงวัยยี่สิบต้นเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีไทยในแบบฉบับที่พวกเขาอยากจะฟังและอยากจะให้มันเป็นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจาก ‘ไอเดีย’ หรือ ‘คอนเซปต์’ ที่สดใหม่และวิสัยทัศน์ที่เด็ดขาดเพื่อทะยานไปสู่สิ่งใหม่ที่พวกเขาวาดฝัน หรือแม้แต่การก้าวกระโดดออกจากจุดเดิม ซึ่งมักจะเป็นคุณลักษณะที่สะท้อนผ่านนักสร้างสรรค์ที่อายุยังน้อยและยังไม่เคยชินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไปจนหล่อหลอมเป็นความเชื่อว่า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้’ ตามแบบฉบับของนักสร้างสรรค์แบบ Conceptualist
ในขณะเดียวกัน หากเป็นนักสร้างสรรค์แบบ Experimentalist ก็ต้องอาศัยช่วงเวลาในการลองผิดลองถูกและคลำหาลู่ทางที่จะดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแจ็กสัน พอลล็อกกับเทคนิคการสาดสีที่เริ่มใช้ในช่วงสามสิบปลาย, ชาร์ลส ดาร์วิน (Charles Darwin) บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการที่ใช้เวลาเก็บเกี่ยวข้อมูลและก่อร่างจนกลายเป็น On the Origin of Species (1859) ที่ใช้เวลาลองผิดลองถูก ค้นหา ต่อเติม กว่าสองทศวรรษ หรือแม้แต่ผู้กำกับภาพยนตร์ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก (Alfred Hitchcock) ที่ต้องใช้เวลาเหลาวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ จนสามารถจารึกผลงานอย่าง Vertigo (1958) และ Psycho (1960) ในช่วงท้ายของชีวิต
วิถีการสร้างสรรค์แบบทดลองเหล่านี้ล้วนอาศัยช่วงเวลาแห่งการสุกงอมเป็นสิ่งสำคัญ บางชิ้นงานอาจไม่ได้กลายเป็นรูปร่างในช่วงเวลาที่รวดเร็ว แต่เป็นการก่อตัวขึ้นของไอเดียที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นผ่านการลองผิดลองถูก (trial-and-error) อันเป็นคุณลักษณะสำคัญของเหล่า Experimentalist ที่นำเอาประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวตลอดช่วงอายุของตนมาหล่อหลอมให้ตกตะกอนเป็นรูปร่างที่ชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต้องใช้เวลา
นอกจากนั้นแล้ว ภายในการศึกษาของกาเลนสันยังมีการเก็บข้อมูลมูลค่าของผลงานในช่วงอายุต่าง ๆ ของศิลปินแต่ละคนที่ถูกใช้กรณีศึกษา โดยประกอบไปด้วยปีกัสโซและพอลล็อกดังที่กล่าวไปข้างต้น โดยข้อมูลของปิกัสโซสะท้อนให้เห็นว่ามูลค่าของปิกัสโซพุ่งทะยานขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของการสร้างสรรค์งานก่อนจะค่อย ๆ ดิ่งลงนับตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ในทางตรงกันข้าม มูลค่างานของพอลล็อกกลับเริ่มต้นจากมูลค่าที่น้อยก่อนจะทะยานขึ้นในช่วงหลัง
กาเลนสันพยายามจะสะท้อนให้เห็นว่านักสร้างสรรค์แต่ละประเภทจะมี ‘จุดสูงสุด’ (Peak) ที่แตกต่างกันไป สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกเริ่ม อาจจะเป็นเรื่องท้าทายที่จะสร้างผลงานมาเอาชนะตัวเองในอดีต ในขณะที่ผู้ลุ่มหลงในการค้นหาทดลอง อาจจะต้องใช้ช่วงเวลาไม่น้อยในการรอให้ผลงานของตนเองสุกงอม
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่าความสำเร็จอาจไม่ได้ถูกนิยามโดยวิถีการทำงานของผู้สร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว กล่าวคือการที่ศิลปินเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในอดีตไม่ได้แปลว่าเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถสำเร็จได้อีกต่อไป ดูอย่าง เอริค แคลปตัน (Eric Clapton) ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามตั้งแต่ครั้งที่หลงรักภรรยาของ จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) จนเกิดเป็นบทเพลง Layla ก็ยังพลิกมาสำเร็จครั้งใหญ่อีกครั้ง 20 ปีถัดมากับบทเพลง Tears in Heaven (1991) และอัลบั้ม Unplugged (1994)
ผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) ยิ่งทำให้การจัดหมวดหมู่เหล่านี้ผสมปนไปใหญ่ เพราะนอกจากจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการสร้างภาพยนตร์ในช่วงแรกที่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนกระทั่งได้สร้างภาพยนตร์อย่าง 2001: A Space Odyssey (1968) ในตอนที่อายุ 37 ปี ที่ดูจะเหมือนเป็นการทำงานแบบ Experimentalist แต่เรื่องถัด ๆ ไปของเขาก็สะท้อนความเป็น Conceptualist อย่างยากจะหาสิ่งใดเปรียบ ถึงขั้นที่ว่า เชลลีย์ ดูวัล (Shelley Duvall) ต้องแสดงฉากเบสบอลในห้องโถงไปกว่า 127 เทค จนขึ้นชื่อว่าคูบริกคือหนึ่งในผู้กำกับที่ถวิลหาความสมบูรณ์แบบตามภาพในหัวที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ (หรือหากคิดอีกมุมหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าระหว่างเทคนับร้อยนั้น คูบริกอาจจะกำลังทดลองหรือคลำหาทางที่เหมาะสมอยู่ก็เป็นได้)
ท้ายที่สุดนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักสร้างสรรค์แบบสายทดลอง สายแนวคิด จะเป็น OId Masters หรือ Young Geniuses ข้อคิดสำคัญที่สะท้อนผ่านข้อสังเกตุเหล่านี้ล้วนบอกเราว่า ทุก ๆ คนต่างก็มีช่วงเวลาสุกงอมเป็นของตัวเอง แม้ว่าเรื่องราวความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยจะสร้างแรงบันดาลใจและความสนใจให้กับผู้คนมากมาย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างในปัจจุบันนี้ ในวันที่คุณอาจจะเลยช่วงอายุเหล่านั้นมาแล้ว จะเป็นการกระทำที่ไร้คุณค่า
ใครจะรู้... คุณอาจวาดภาพเปลี่ยนโลกในวัย 25 ปี หรือเปิดร้านไก่ทอดตอนอายุ 65 ปี ที่สามารถขยายสาขาไปทั่วทั้งโลกก็เป็นได้