19 ธ.ค. 2568 | 17:07 น.

“สวดมนต์ก่อนนอนหรือยัง”
แม่ถามระหว่างที่เปลือกตาฉันลดเหลือครึ่งหนึ่งจนแทบจะปิดสนิทอยู่แล้ว มือบางตีเข้าที่ก้นด้วยความหมั่นเขี้ยว แม่ส่ายหน้าแล้วจิ๊ปาก สงสัยฉันคงต้องสวดมนต์ก่อนนอน
นะโมสามจบไม่เท่าไร แต่อิติปิโสที่ต้องท่องให้ครบอายุนี่ช่างกินเวลาฝันเหลือเกิน แถมต้องบวกเพิ่มอีกหนึ่งบทเพื่อเป็นการต่อชะตาอีก ไม่รู้คนเขียนบทสวดคิดอะไรอยู่ เพราะฉันว่าต่อให้สวดเป็นร้อยจบ แต่เผลอประมาทจะใช้ชีวิตก็ดับอนาถได้ไม่ยากหรอก หรือพวกผู้ใหญ่คิดว่าพระที่มองไม่เห็นจะมาช่วยบังกระสุนให้เมื่อถูกผู้ร้ายจ่อปืน ฉันหงุดหงิดกับการเป็นคนธรรมะธรรมโมอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังสวดคาถาชินบัญชรไม่จบ ก็ไม่ได้จะไปรบรากับใครเสียหน่อย ในมือก็ไม่มีดาบสักเล่ม มีแต่ดินสอกดที่ต้องใช้เขียนวิชาวันพรุ่งนี้
จะบอกความลับให้ฟังนะว่าฉันเกลียดการเดินเข้าห้องแล็ปประจำคาบวิทยาศาสตร์มากที่สุด! มันไม่เหมือนการ์ตูนริกแอนด์มอร์ตี้สักนิด นึกว่าการเข้าห้องแล็ปในโรงเรียนจะได้เห็นขวดแก้วสีใสมีฟองฟู่ออกมา อาจได้เติมน้ำยาที่มีสรรพคุณประหลาดจนทำให้ขวดระเบิดตูมตาม แต่ไม่เลย ฉันถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับการนั่งคีบกลีบดอกไม้ ค้นหารังไข่ ทั้งกังวลว่าเกสรจะปลิวไปตามลมหรือเปล่า
หรือไม่ฉันก็คงเกลียดแทบทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ แต่ดาราศาสตร์เป็นข้อยกเว้น ฉันยังจำได้อยู่เลยว่ารูปท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มตัดกับแสงชมพูเรื่อนั้นมันงดงามมากขนาดไหน แถมความง่วงจะหายไปปลิดทิ้งเมื่อได้ท่องชื่อเล่นก้อนเมฆทุกก้อนบนท้องฟ้า แม่เคยบอกฉันด้วยว่าพระที่แม่บูชาหรือเทพเจ้าในวัดจีนต่างก็อยู่บนฟ้ากันทั้งนั้น แต่ครูวิทยาศาสตร์ไม่เห็นพูดถึงเลย จนฉันต้องยกมือถามด้วยประโยคที่ทำเอาเพื่อนทั้งห้องหัวเราะก๊าก
“ครูคะ แล้วเทพเจ้าอยู่ส่วนไหนของจักรวาลน่ะ”
นอกจากเสียงหัวเราะเพื่อนที่ดังลั่น ฉันก็ไม่ได้คำตอบจากครูวิทยาศาสตร์ เขายืนอมยิ้มเฉย ๆ เสียอย่างนั้น อาจกำลังคิดอยู่ในใจก็ได้ว่าเด็กนี่มันนึกอุตริอะไร
แต่ในคาบสังคม ฉันกลับได้คำตอบ แม้จะไม่ได้ช่วยคลายสงสัยให้ทุกคำถามก็ตาม ฉันสรุปเอาเองว่าเทพเจ้าคงอยู่เหนือชั้นจักรวาลขึ้นไปอีก ถึงได้ไม่มีนักบินอวกาศคนไหนหาเจอ แม่ฉันเองก็หาไม่เจอ แม่บอกแค่ว่าท่านได้ยินคำขอพรของทุกคน
“ขอพรแล้วจะเป็นจริงทุกข้อเลยเหรอแม่” ฉันถาม
“เป็นจริงสิลูก” แม่ตอบ
“อย่างนั้น แม่เคยขออะไรแล้วเป็นจริงบ้างมั้ย”
แล้วแม่ก็เงียบไปพักหนึ่ง “เรื่องขอพรเขาไม่บอกกันนะ โบราณว่าเดี๋ยวมันจะไม่สำเร็จผล”
ฉันจึงเลิกถามเซ้าซี้ว่าแม่ขอพรอะไร ฉันรู้แค่ตัวเองกำลังหัดนั่งขอพรตามแม่ ถึงไม่แน่ใจว่ารูปปั้นสีทองไร้ชีวิตจะช่วยได้จริงหรือเปล่า แต่ก็หวังว่าพรจะสำเร็จผล
“หนูขอให้แม่ไม่ต้องแอบร้องไห้อีก”
เพราะคืนก่อนนั้น ฉันเดินย่องไปที่ลิ้นชักหน้าห้องน้ำ หลังจากเห็นว่าแม่มักจะตาแดงทุกครั้งเมื่อเปิดมันออก ไม่รู้ว่ามีหัวหอมหั่นละเอียดอยู่ข้างในจนทำให้แม่แสบตาหรือเปล่า
เสื้อคอปกสีน้ำเงิน เข็มขัดดำ กางเกงสแล็ค ขวดแก้วใส่น้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้แม่ร้องไห้ได้สักอย่าง แต่แล้วฉันก็เริ่มเอะใจเมื่อได้กลิ่นหอมจาง ๆ กลิ่นอะไรนะ กลิ่นมันช่างหอมเตะจมูก กลิ่นของวันวานที่คุ้นเคย กลิ่นของชายคนหนึ่งที่ชอบใส่เสื้อคอปก นุ่งกางเกงสแล็คพาดด้วยเข็มขัด ผูกเนกไทอย่างลวก ๆ
ก่อนออกจากบ้าน เขามีสภาพไม่ค่อยเรียบร้อยแบบนั้นเสมอ แม้ว่าแม่จะรีดผ้าให้จนเรียบก็ตาม เมื่อกลับถึงบ้านยิ่งแล้วใหญ่ ถุงเท้าย่นกลิ่นไม่พึงประสงค์ถูกยัดไว้ในรองเท้า แขนเสื้อถกขึ้นมาจนถึงข้อศอก เนกไทที่ควรจะอยู่บนคอก็ไปคาดอยู่บนหน้าผากเหมือนดาวคณะตลก ทั้งสองมือเต็มไปด้วยถุงก๊อบแก๊บใส่กับข้าว และเป็นสองมือเดียวกันที่เคยอุ้มฉันไว้บนตัก
สองมือนั้นหยาบกร้านอย่างไม่น่าลูบไล้ แต่กลับอ่อนโยนอย่างประหลาดเมื่อลูบถูกเส้นผมบางของฉัน บ่อยครั้งที่ฉันแกล้งหลับไม่เป็นที่เป็นทางเพราะอยากให้สองมือนั้นประคองไปห่มผ้าบนเตียง เป็นสองมือที่หยิกแก้มแม่ด้วยความหมั่นเขี้ยว เป็นสองมือที่ซ่อมแซมพัดลมตั้งโต๊ะไม่ยอมหมุน เป็นสองมือที่เคยจับนิ้วนางของแม่สวมแหวน
แม้ร่างกายของพ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่กลิ่นของพ่อไม่เคยจางหาย มันอบอวลอยู่ในจมูกทุกครั้งที่ได้ดมดอม ฉันอาจลืมเลือนพ่อไปในบางเวลา กลับกันกับแม่ที่ไม่เคยลืมพ่อเลย
ฉันตาแดง ลิ้นชักถูกปิดลง
“แม่ เมื่อคืนหนูสวดมนต์แล้วก็ได้ยินเสียงตอบกลับด้วยนะ สงสัยพรที่หนูขอกำลังจะเป็นจริงแน่ ๆ” ฉันพูดขณะแม่กำลังล้มตัวลงนอน
“หืม ได้ยินเสียงพระตอบเลยเหรอลูก” แม่ถามปนหัวเราะ
“หนูไม่แน่ใจค่ะ แต่เป็นเสียงของผู้ชาย เขาฝากให้หนูมาบอกแม่ว่าเขาสบายดี” แม่ยิ้มแผ่ว ๆ ก่อนจะโผกอดฉันเป็นเวลานาน นานเสียจนฉันรู้ว่าปลอกหมอนของแม่มีคราบน้ำตาเปียกชื้น มันไม่ได้แห้งทันทีที่ฉันขอพร แต่เพิ่งจะแห้งเมื่อหลายเดือนให้หลัง
ฉันก็รู้สึกผิดนิดหน่อยนะที่โกหกแม่เหมือนว่าตัวเองมีสัมผัสที่หก แต่ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะเดาว่ามันอาจเป็นถ้อยคำที่แม่อยากได้ยิน แม่คงอยากรู้ว่าพ่อสบายดีหรือเปล่าเหมือนที่ฉันอยากรู้ เพราะพ่อไม่เคยโผล่มาให้เราทั้งคู่เห็นเป็นรูปเป็นร่างเลย พ่อไม่เคยแวบไปแวบมาเหมือนเรื่องลี้ลับที่คนเล่ากัน พ่อไม่เคยเป็นวิญญาณในอีกมิติหนึ่งเหมือนในตำราเรียนเรื่องนรกสวรรค์ แต่พ่อเป็นความทรงจำที่มีกลิ่นหอม เป็นสวรรค์บนดินที่ทำให้บ้านร่มรื่น เป็นทุกสิ่งที่เคยเป็นให้แก่เราสองแม่ลูก
คาบสังคมเทอมแล้วเทอมเล่าผลัดไป ฉันก็ยังได้ฟังเรื่องของเทพเจ้าอยู่เนือง ๆ ครูผู้สอนก็ไม่เคยฟันธงให้หรอกนะว่าพวกท่านมีจริงไหม แล้วการสวดมนต์ขอพรนั้นได้ผลหรือเปล่า ดูจะเป็นความเชื่อบอกต่อกันมาเหมือนไม้ล้มลุกที่ต่อให้ถูกไฟเผาก็ไม่อาจมอดไหม้ ทว่าฉันไม่ได้รังเกียจการสวดมนต์ก่อนนอนอีกแล้ว หนำซ้ำยังชอบพึมพำขอพรนับร้อยข้อจนพระอาจฟังไม่ทัน
ฉันเข้าใจการเดินเข้าวัดของแม่มากขึ้น เข้าใจถ้อยคำของผู้ใหญ่ที่ขอให้ผู้ลาลับได้ไปที่ชอบ หรือไม่ก็ขอให้ได้ไปในที่ที่แสนงดงาม เพราะเราไม่อาจรู้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ไหนเมื่อไม่ใช่การว่ายเวียนในโลกใบนี้ จึงได้แต่อวยพรให้ปลอดภัย และได้อยู่ในที่ที่ฝันใฝ่
ถึงแม้ป่านนี้ฉันจะยังไม่รู้ว่าเทพเจ้ามีจริงหรือเปล่า
“ขอให้พ่อได้ไปสวรรค์นะ” เสียงภาวนาแผ่วเบาจากเด็กหญิงตัวน้อยในค่ำคืนหนึ่ง
เรื่อง: ภฤศนี แท้เที่ยงธรรม
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘Mootopia’ พื้นที่ที่ The People อยากชวนทุกคนมอง ‘ความเชื่อ’ ในฐานะแรงใจ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์
นอกจากเรื่อง ‘พรนับพัน’ ยังมีอีกสามผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจากแคมเปญ Mootopia ซึ่งจะทยอยเผยแพร่ทุกเย็นวันพฤหัสบดี จนถึงกลางเดือนมกราคม 2569