14 ต.ค. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
“พระเจ้าเกือบเอาพี่ไปอยู่ด้วยแล้ว…
“เมื่อกี้นี้เอง แต่พี่คงเป็นแมวเก้าชีวิต ไม่เคยตายเลย”
เธอบอกราวกับเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต
ส่วนเราคิดเพียงว่าคงเป็นเรื่องล้อเล่น เพราะคงไม่มีใครเริ่มคุยกับคนแปลกหน้า ด้วยการหยิบเอาเรื่องความเป็นความตายเช่นนี้มากระชับมิตรเป็นแน่
“พี่พูดจริง” เธอย้ำถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านมา
ก่อนจะบอกต่อว่าก่อนที่เธอจะมานั่งอยู่ตรงนี้ เธอเพิ่งทานข้าวกับพี่น้องชาติพันธุ์ที่มาปรึกษาเรื่องสัญชาติกับเธอ ด้วยความเร่งรีบ และไม่มีเวลามากนักจึงให้คำแนะนำพลางทานข้าวไปด้วย และนั่นแหละทำให้ประตูสวรรค์เกือบแย้มออกมาต้อนรับเธอในเสี้ยววินาที
เลยเป็นที่มาว่าทำไมเธอจึงเกือบได้ไปเจอกับพระเจ้าเข้าให้แล้ว
‘หมี่จู-ชุติมา มอแลกู่’ คือชื่อของเธอคนนี้ ชาวอาข่าผู้มักจะบอกใครต่อใครว่าเธอคือ ‘หมี่จู’ หาใช่ ‘ชุติมา’ ตามที่ปรากฎอยู่ในหน้าบัตรประชาชน เธอภูมิใจในชื่อซึ่งบ่งบอกว่ามาจากไหน เป็นลูกของใคร ชาติพันธุ์ใด และเป็นชื่อที่ทำให้เธอยืนหยัดส่งเสียงเรียกร้องเพื่อพี่น้องชาติพันธุ์มานานหลายทศวรรษ
และนี่คือเรื่องราวของเธอ หญิงชาวอาข่าผู้กอดคอหัวร่อกับความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนแมวเก้าชีวิตที่ไม่ยอมถูกล่า และในทุกครั้งผู้หญิงคนนี้ก็กลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมเสมอ
หมี่จูในวัย 57 ปี เป็นลูกสาว พี่สาว และน้องสาวในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันเธอขยับบทบาทเป็นประธานเครือข่ายอาข่าเพื่อสันติภาพลุ่มน้ำโขง (NADA) ทำหน้าที่แกนนำสตรีภาคเหนือพื้นที่สูงจากชนเผ่าอ่าข่า แถมยังเป็นแม่และภรรยาพ่วงเข้ามาอีกทอดหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด กลับกัน นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่คงไม่ต่างจากพระเจ้าประทานมาให้
ชีวิตวัยเด็กของหมี่จูเติบโตท่ามกลางความแค้นเคือง
แค้นใจที่เกิดมาผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ก็ด่วนจากโลกนี้ไปเสีย
ขุ่นเคืองที่ต้องเห็นแม่ ผู้หญิงที่เธอรักต้องรีบแต่งงานกับผู้ชายอื่นภายในเวลา 14 วัน เพื่อไม่ให้ถูกกีดกันจนกลายเป็นคนนอก
“ชาวอาข่าเรามีกฎจารีตประเพณี มีวัฒนธรรมที่แย่งบทบาทชายหญิงอย่างชัดเจน แล้วก็ยังมีเรื่องของค่านิยมของสังคมอีก เราจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือกฎจารีต ซึ่งไม่ต่างจากกฎหมาย อย่างต่อมาคือวัฒนธรรม หากให้เปรียบคงเป็นรัฐศาสตร์ ส่วนเรื่องของค่านิยมจะข้องเกี่ยวกับสองส่วนแรกที่บอกไป
“ตอนพี่เด็ก ๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ต้องไปแต่งงานใหม่ แม่ไม่รักเราเหรอ ทำไมต้องไปแต่งกับใครก็ไม่รู้ มันทำให้เราเห็นความไม่เป็นธรรม ทำไมจารีตประเพณีของอาข่าถึงเป็นแบบนี้ ทำไมสามีตายจะต้องหาสามีใหม่ภายใน 14 วัน ยังไม่ทันหายเสียใจก็ต้องหาคนใหม่แล้ว
“อย่างครอบครัวพี่ แม่ต้องแต่งงานใหม่ 3 ครั้ง ครั้งแรกพ่อพี่เสียตั้งแต่พี่ยังอยู่ในท้องแม่ ด้วยความที่เรา(ชาวอาข่า)นับถือบรรพบุรุษ ถ้าไม่มีผู้ชายดำรงอยู่ในครอบครัว ผู้หญิงอย่างเราจะอยู่ในชุมชนนั้นไม่ได้ คนในชุมชนจะไม่ยอมรับเป็นครอบครัว”
เหตุผลหลักคือ ผู้ชายมีหน้าที่ไหว้บรรพบุรุษ หากปราศจากบุรุษในครอบครัวแล้ว ครอบครัวนั้นจะไม่มีทางงจัดทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
การแต่งงานครั้งที่สองของแม่จึงเริ่มขึ้น โดยน้ำตายังเปรอะเต็มข้างแก้ม
“พอพ่อเสีย ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ รวมถึงลูกสาวของแม่ทั้งสามคนจะไม่ได้เป็นลูกของแม่อีกต่อไป แม่ไม่มีสิทธิ์ได้ลูกสักคน ญาติพี่น้องต้องรับเราไปเลี้ยงไว้ ป้าก็เลี้ยงพี่มาโดยไม่ได้กินนมแม่ ป่วยออด ๆ แอด ๆ จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ส่วนแม่ก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่จะเลี้ยงลูกอย่างเดียวก็ไม่ได้อีก ต้องหาครอบครัวใหม่
“ตอนนั้นแม่ของพี่ก็พยายามกลับไปหาครอบครัวพ่อพี่นะ แต่เขาไม่รับ เขาบอกว่าไม่ได้ พอมีงานมงคลอะไร เขาก็กันแม่ไม่ให้เข้าบ้าน ให้ไปอยู่ในยุ้งฉาง แม่ก็เลี้ยงพี่ในนั้นแหละ แล้วอยู่มาวันนึง แม่ก็เจอครอบครัวนึงที่เขามีลูกไม่ได้ ภรรยาของเขาเลยมาขอให้แม่มาแต่งงานกับสามีของเขา เพราะอยากได้ลูกก็คือพี่”
การแต่งงานครั้งที่สองของแม่ ทำให้เธอได้สัมผัสกับความสุขอยู่ทุกคืนวัน เรียกได้ว่าเป็นลูกรักของบ้านก็ว่าได้ แม่ใหญ่เลี้ยงดูหมี่จูอย่างดี แม้ว่าแม่แท้ ๆ จะไม่มีสิทธิ์มาอุ้มเธอเหมือนเก่าก่อน แต่อย่างน้อยการอยู่ในบ้านหลังนี้ แม่ก็ไม่ต้องถูกกีดกันจากคนในชุมชนอีกแล้ว
แต่อย่างที่รู้ ความสุขที่เธอได้รับนั้นไม่คงทนถาวร เมื่อวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านทำลายชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยจนสิ้นซาก
พ่อคนที่สองของหมี่จูถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา และเป็นอีกครั้งที่แม่ทั้งสองคน ต้องระหกระเห ปาดน้ำตาและเฝ้าหาครอบครัวใหม่ที่พร้อมรับผู้หญิง ซึ่งไม่ต่างจากคนนอกไว้ในครอบครัว ทำให้พวกเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอีกครั้ง
ส่วนการแต่งงานครั้งที่สามของแม่ ไม่ได้สวยงามเหมือนครั้งก่อน หมี่จูบอกว่าอาจเป็นเพราะทรัพย์สินของแม่ที่มีอยู่ ครอบครัวใหม่จึงยินดีอ้าแขนรับมาเป็นภรรยา
“ด้วยความที่เราเป็นเด็ก ตอนนั้นเราอยากมีพ่อมาก ก็เห็นลูก ๆ เขาจับแขนแสื้อพ่ออยู่ เราเลยเข้าไปจับด้วย แล้วเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ เขาบอกเราว่าเขาไม่ใช่พ่อเรา (สะอึก) เขาบอกว่าเราหน้าไม่อายที่ไปเรียกเขาว่าพ่อ (ร้องไห้)”
เมื่อไม่ได้รับความรักเธอจึงวิ่งหนีกลับไปหาแม่ พร่ำถามว่าพ่อของเธออยู่ไหน ทำไมเธอถึงไม่มีพ่อเหมือนคนอื่นเขา แม่ของหมี่จูได้แต่ปลอบพลางบอกว่าต้องรอต้นไม้ใหญ่โตก่อน ถึงจะเดินทางขึ้นสวรรค์ไปหาพ่อได้
“แม่บอกว่าพ่ออยู่บนสวรรค์ ต้องมีต้นไม้ที่จะเป็นบันไดปืนไปหาพ่อได้ แต่ตอนนี้ต้นไม้ยังไม่โตต้องรอต้นไม้โตก่อน เราก็เลยสงบลง”
ครอบครัวใหม่ของหมี่จูจึงไม่ต่างจากฝันร้าย เธอร้องไห้อยู่ตลอดเวลา น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งเลยสักวัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอก็หยุดร้อง และบอกตัวเองว่าไม่มีพ่อก็อยู่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีแม่อยู่ตรงนี้
“พี่เจ็บปวดกับค่านิยมแบบนี้มาก ไหนจะวัฒนธรรมอีก การเป็นเด็กไม่มีพ่อมันทรมาน มันเจ็บปวดเหมือนโดนดาบแทงเข้าไปในใจ แต่ก็นั้นแหละพี่เติบโตมากับอะไรแบบนั้น ก็ได้แต่โกรธทุกอย่าง โกรธแม่มากที่สุด เพราะเราไม่เข้าใจทำไมแม่ต้องแต่งงานใหม่กับครอบครัวนี้ ทำไมไม่อยู่กับลูก ๆ
“นี่คือสิ่งที่พี่คิดตอนอายุ 9 ขวบคือแค้นแม่ โมโห โกรธ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป มันเจ็บอยู่ลึก ๆ มันเจ็บอยู่ตลอดเวลาว่าแม่รักผู้ชายมากกว่าลูกตัวเองเหรอ นี่คือสิ่งที่สงสัยมาตลอด
“จนอายุ 10 ขวบกว่า ๆ พี่ถูกคนในครอบครัวรังแก พี่ไม่ไหวเลยหนีออกจากบนดอยลงมา”
การหนีของเธอหอบความฝันลงมาด้วย เธออยากจะเรียนหนังสือ การอยู่บนดอยทำให้เธอไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างที่ใจฝัน หมี่จูต้องรับหน้าที่เลี้ยงน้องที่ยังแบเบาะ เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนเหมือนเด็กคนอื่น
ถึงจะพยายามแอบฟัง แอบจดอยู่นอกห้องเรียน แต่สุดท้าย ครอบครัวของเธอก็ไม่อนุญาตให้เรียนอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้น เด็กหญิงหมี่จูจึงตัดขาดทุกอย่าง ยอมทิ้งชีวิตบนดอย มุ่งสู่เมืองเชียงใหม่โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพื้นราบเลยแม้แต่น้อย
หมี่จูหนีออกจากหมู่บ้านโดยพูดภาษาไทยไม่ได้สักคำ ไม่มีเงินติดกระเป๋า มีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่ กับสองเท้าที่เปลือยเปล่า
หลังจากแอบขึ้นรถชาวบ้านที่เดินทางเข้าเมือง เธอก็เดินทางมาสู่เชียงใหม่ได้สำเร็จ โดยอาศัยเดินตามหญิงชาวอาข่าที่บังเอิญเจอกันระหว่างทาง
“พอมาถึงอาเขตเรากเข้าใจว่าเหมือนกับบนดอยที่ทุกคนอยู่รวมกันตรงนั้น ไม่คิดว่าโลกจะกว้างใหญ่ขนาดนี้ พี่ไม่รู้อะไรเลย โชคดีว่ามีอาข่าผู้หญิงคนในสะพายย่ามอยู่ในรถเมล์เดียวกัน พี่ก็เดินตามคนนั้นทุกฝีก้าว ตอนรถจอดพักพี่ก็ตาม เข้าห้องน้ําก็ตามอีก พี่ก็ไปรอเขาอยู่หน้าห้องน้ําเขาออกมาก็เดินตามแต่พี่ไม่มีอะไรที่จะซื้อกินน่ะไม่มีเลยสักบาทเดียว”
หมี่จูบอกอีกว่าเพราะพี่ผู้หญิงชาวอาข่าคนนี้ทำให้เธอได้เจอกับพี่สาว และชื่อของพี่ผู้หญิงคนนี้ก็อยู่เป็นอันดับต้น ๆ ของผู้มีพระคุณที่เธอจะจดจำไม่มีวันลืม
และหมี่จูก็ไม่ลืมจริง ๆ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หมี่จูยังคงแวะไปทักทายพี่ผู้หญิงชาวอาข่าคนนี้อยู่ไม่ห่าง กระทั่งหญิงผู้มีพระคุณได้เดินทางกลับสวรรค์ เหลือไว้เพียงความทรงจำอันงดงามที่นางฟ้าเดินดินคนนั้นได้ช่วยชีวิตเด็กอย่างเธอเอาไว้
หลังจากเจอพี่สาวเธอก็ช่วยพี่สาวทำงาน แต่สุดท้ายเงินก็ไม่พอกินเลยต้องออกมาหางานทำด้วยตัวเอง นั่นคือการสมัครเป็นแม่บ้านโดยที่ไม่รู้ภาษาไทยเลยสักคำ
“เมื่อก่อนยังไม่มีทีวีสีนะ เปิดวิทยุ เปิดทีวี แล้วก็ฟังเอา ภาษาไทยคําแรกที่พี่พูดได้ก็คือหม้อหุงข้าวตรานกยูง และคําที่สอง คือสบู่นกแก้ว นี่แหละที่พี่พูดได้แล้วหลังจากนั้นพี่ก็ฟังทุกวันเลย ฟังจนชิน ประมาณ 6 เดือนน่ะพี่พอพูดไทยได้ละ เจ้านายไปให้ไปซื้อนมของเด็ก พี่ก็พูดไม่เป็นก็เอาเอากล่องนมน่ะไปให้ร้านค้าแล้วก็เงินทอนอะไร พี่ก็ไม่รู้ 10 บาท 20 บาท พี่ก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง
“เจ๊เขาก็ไปบอกไว้ว่าถ้าคนนี้ (หมี่จู) เอาอะไรมาก็ให้จดไว้ แล้วเจ๊เขาจะไปจ่ายเอง เขาให้เราซื้อผ้าอ้อม เราไปเอาไม้กวาดมาให้ เรายังไม่เข้าใจ เจ๊เขาก็บอกว่าไม่ใช่นะ แต่ก็ไม่ได้ว่าเรา ไม่ได้ไล่พี่ออก ก็ใช้ชีวิตมาอย่างนั้นสักพักหนึ่ง
“หลังจากอยู่กับเจ๊มา 8 เดือน พอพูดไทยได้ เพื่อนก็ชวนไปอยู่กรุงเทพฯ ไปเป็นคนใช้ทําความสะอาดบ้าน แต่เจอคนไม่ดีเลยกลับมาเชียงใหม่ไปเป็นพนักงานร้านอาหารร้านนึง แล้วโชคดีมาก ๆ เจ้าของร้านเขารับพี่ไปเป็นลูกบุญธรรม เขาบอกว่าสงสารชีวิตพี่ สามีเขาก็เลิกรากันไป เขามีลูกชายคนเดียว ไม่มีลูกสาว แล้วเห็นว่าพี่เป็นคนซื่อ ๆ เลยรับเป็นลูกบุญธรรม”
ภายใต้การดูแลของ ‘แม่’ หมี่จูได้เรียนหนังสือตามจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากนั้นเธอก็ได้ไปสมัครทำงานแม่บ้าน ที่สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท.) หรือ Inter Mountain Peoples’ Education and Culture in Thailand Association (IMPECT) องค์กรเอกชนพัฒนาชาวไทยภูเขา (ชนเผ่าพื้นเมือง) ตั้งแต่ช่วงแรกที่จัดตั้งขึ้นในปี 2534 และได้รับการจดทะเบียนเป็นสมาคมอย่างเป็นทางการในอีกสองปีต่อมา
หมี่จูเล่าว่าเธอทำงานควบหลายตำแหน่ง เพราะความอยากรู้อยากลอง และคิดว่าคงไม่มีอะไรเกินความสามารถ หลังจากทำมาได้ 3-4 ปี หมี่จูก็ได้มีโอกาสโยกย้ายจากแม่บ้านมาสู่บทบาทใหม่ นั่นคือการเป็นเจ้าหน้าที่ระดมทุนภาคสนาม
“พี่ยกมือบอกเขาว่าอยากไปเป็นครูบนดอย” เธอยิ้ม
“เพราะมันคือความฝันของพี่ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นนะ มีเงื่อนไขเยอะ แล้วเป็นผู้หญิงอีก เลยได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดมทุนขององค์กร ติดต่อทั้งภายใน-ภายนอกประเทศแทน”
ช่วงปี 2540 ชนพื้นเมืองลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันพึงมีของชนเผ่าตน พวกเขาถูกขึ้นสถานะบุคคลไร้สัญชาติ หมายความว่าการคงอยู่ของชนพื้นเมืองเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย ส่วนข้อเรียกร้องของพวกเขา ขอเพียงแค่ที่ดินทำกิน มีสัญชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอย่างน้อย ๆ ก็ขอให้รัฐมองเห็นความสำคัญของชนพื้นเมืองในไทย สนับสนุนให้พวกเขาได้มีโอกาสเล่าเรียนเหมือนอย่างคนไทยคนหนึ่ง จนเป็นที่มาของการชุมนุมใหญ่ในปี 2542 เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาป่าไม้ที่ดิน และปัญหาสัญชาติ
“ตอนนั้นเกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของชนเผ่าพื้นเมืองโดยเฉพาะภาคเหนือ ชุมนุมอยู่หนึ่งเดือนเต็ม มีคนมาประมาณ 50,000 คน ตอนนั้นพี่ทำงานระดมทุนอยู่ภาคสนาม เพื่อนก็บอกว่าเผ่าเธอก็มานะหมี่จู แต่ว่าเขาพูดไทยไม่รู้เรื่องเลย เอาหญ้าคามาอยู่หน้าศาลากลางนั้นน่ะ แล้วไปถามเขาว่ามีปัญหาอะไรมา เขาบอกว่าไม่มีสัญชาติ
“พี่ก็ถามเขาว่าแล้วทำไมไม่ไปขอเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้อะไรเลย เพราะพี่ไม่มีปัญหา ต้องขอบคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 (ยกมือไหว้) ทำให้ไม่มีใครมีปัญหาเรื่องนี้ในยุคนั้น พ่อแม่ได้พี่ก็ได้ ตัวพี่ก็ได้อัตโนมัติ พี่ก็เลยไม่เข้าใจว่าปัญหาของมันคืออะไร”
นั่นคือครั้งแรกที่เธอเข้าใจถึงปัญหาของพี่น้องชาติพันธุ์ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เสียงของหญิงชาวอาข่าคนนี้ได้รับการรับฟัง
“พี่ทำหน้าที่เป็นล่าม ตอนแรกเป็นล่ามให้กับชนเผ่าอาข่า ล่ามไปล่ามมาเผ่าไหนก็พูดไม่รู้เรื่อง ทําไงต่อ เราก็ดึงเจ้าหน้าที่ทั้งสํานักงานไปช่วยกันไปเป็นล่าม แต่คนก็ไม่พอ หลังจากนั้นก็ถูกชวนไปนั่งเป็นคณะทํางานเลย
หมี่จูกลายเป็นตัวแทนของคนจากทุกชนเผ่า ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มชาติพันธุ์สามารถสื่อสารกันได้อย่างตรงตรงไปตรงมา แม้เสียงของเธอจะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างสงบสุขในทันพลันก็ตาม
“พอถึงช่วงตำรวจจะสลายการชุมนุม เราก็ไม่เข้าใจว่าสลายมันคืออะไร เขาก็เล่าว่ามันคือการเอาแก๊สน้ำตามายิง แต่พี่ได้ยินว่า ‘น้ำตาล’ เลยบอกว่าก็ดีสิ อ้าปากรอเลย อร่อย พี่ ๆ ตรงนั้นเลยบอกว่าไม่ได้ กินไม่ได้ ถ้ากินเธอตาย พอฟังเขาอธิบายว่ามันคืออะไรก็เข้าใจ”
ในการชุมนุมวันนั้น มีคำถามหนึ่งที่ยังคงชัดอยู่จนถึงวันนี้คือ ‘พร้อมตายมั้ย’
เธอไม่พร้อม และไม่มีวันพร้อม
หมี่จูอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ อนาคตยังอีกยาวไกล ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวเกาะกุมหัวใจ
แต่ใจที่รักในเพื่อนพี่น้องก็ทำให้เธอกลั้นใจถามออกไป
“ถ้าเราตายแล้วมันจะมีคุณค่ามั้ย ตายแล้วมีประโยชน์หรือเปล่า”
“คำตอบที่พี่เขาตอบมาคือ ‘ถ้าเธอคิดว่ามี มันก็มี แต่ถ้าเธอคิดว่าไม่มี มันก็ไม่มี’ มันเป็นคำตอบที่พี่จำมาถึงทุกวันนี้ พี่ก็ตัดสินใจว่าโอเค ตายก็ตาย ลูกผัวก็ยังไม่มี ดับเครื่องชนอย่างเดียวเลย
“ตอนนั้นรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรบอกว่าถ้าใครไม่มีสัญชาติ ไม่มีบัตรประชาชนที่ระบุว่าเป็นคนไทย เขาจะผลักดันออกไปให้หมดทุกคน ก็บอกเจ้าหน้าที่รัฐไป ถามเขาว่าบ้านคุณน่ะ(ทักษิณ)มีพื้นที่กี่หมื่นไร่ ถ้าจับขังหมดทั้งดอยนี่น่าจะเป็นล้านคน คุณขังได้เหรอ
“หลังจากนั้นรัฐบาลทักษิณก็รับปากว่าจะดูแลปัญหานี้ให้ แต่ทุกคนต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนไทย เรา(ชนพื้นเมือง)ก็ยอมรับ เราจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพราะอย่าลืมว่าหลาย ๆ ชนเผ่าเขาอยู่กันมาเกือบพันปี เพียงแค่เขาไม่มีสัญชาติไทย”
หลังจากจบการชุมนุม เลยเป็นที่มาของระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543 (หรือ ระเบียบ 43) แต่ปัญหาที่สั่งสมมานานก็ยังไม่ห่างหายไปไหน ชนพื้นเมืองภาคเหนือจึงรวมตัวกันอีกครั้งในปี 2545 และเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้หมี่จูต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
“พี่เปิดหน้ามาตลอดก็ถูกเล่นงาน ถูกวางยาต้องไปล้างท้องที่โรงพยาบาล ถูกอุ้มฆ่าที่สนามบินหลังจากไปแต่งงานที่เมืองจีน สุดท้ายพี่อยู่ไม่ได้ต้องลี้ภัยไปอเมริกา พี่ไม่ชอบเลยแต่ก็ต้องไปอยู่ที่นั่น 5 ปี”
สามีของเธอคือ ‘เจียนหัว หวัง’ (Jianhua Wang) ชาวอาข่าหัวก้าวหน้า ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านมนุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ทั้งสองผลักดันการอนุรักษ์วัฒนธรรมอาข่า ภายใต้โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูและสืบทอดวัฒนธรรมอาข่าบ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงราย เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวอาข่าดั้งเดิมเอาไว้ไม่ให้สูญหายในรุ่นพวกเขา
“ตอนถูกอุ้มฆ่าพี่กลัวมาก ถูกปิดตาเอามือไพล่หลัง กลัวมาก พูดไม่หยุด หยุดพูดไม่ได้เพราะกลัว พี่ก็พยายามถามเขาตลอดว่านายคุณคือใคร เพราะได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ว่าได้เหยื่อแล้ว เขามองเราเป็นเหยื่อ เขาก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าเดี๋ยวมึงก็รู้ พี่ก็คิดในใจว่าอย่างน้อยก่อนตายขอเห็นหน้าคนทำหน่อยแล้วกัน จะได้มาเอาคืนตอนเป็นผี
“แต่อย่างที่บอกพี่น่ะเป็นแมวเก้าชีวิต ผ่านมาได้ตลอด
“ฆ่าไม่ตายสักที”
เมื่อประตูสวรรค์ยังถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา และพระเจ้าก็ยังไม่มีทีท่าจะเอื้อมมาคว้าตัวเธอไป หมี่จูจึงยังคงต่อสู้เพื่อชาวอาข่าอยู่เรื่อยมา นอกจากเรื่องสิทธิของชนเผ่าโดยเฉพาะสตรีแล้ว เธอยังมีความพยายามในการฟื้นคืนบทสวดส่งวิญญาณ พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยถูกจดบันทึกลงหน้ากระดาษมาหลายร้อยปี อาศัยเพียงการสืบทอดจากครูสู่ศิษย์ ทำให้นับวันบทสวดจะยิ่งถูกลืมเลือนลงไปทุกขณะ
“พี่คิดว่าความเชื่อของแต่ละศาสนาน่าจะเหมือนกัน คือ ต้องส่งดวงวิญญาณกลับไปสู่สวรรค์ กลับสู่บรรพบุรุษ แต่กว่าจะไปถึงขั้นตอนนั้น พิธีกรรมต่างหากที่เรามีวิธีปฏิบัติต่างกัน”
“คนอาข่าดั้งเดิม มีความเชื่อว่าถ้าตายแล้วต้องกลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปหลายศาสนาก็ตามความเชื่อของแต่ละศาสนา เราไม่ได้บอกว่าของใครดีกว่าของใคร หรือของใครด้อยกว่า แต่ว่าของอาข่า เราเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้บอกว่าต้องกลับไปอยู่สวรรค์ เราบอกว่ากลับไปอยู่กับบรรพบุรุษผู้ที่ให้กําเนิดเรา”
ในช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ใด จะมีการจัดงานที่สำคัญอยู่ 3 ครั้งในชีวิต
ครั้งที่หนึ่ง ― งานวันเกิด
ครั้งที่สอง ― งานแต่งงาน
ครั้งที่สาม ― งานศพ
“เพราะฉะนั้น งานศพถือเป็นการจัดงานครั้งสุดท้าย ที่ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่เท่าที่เราทําได้”
แต่กระนั้น บทสวดงานศพอาข่าไม่ใช่ใครก็สวดได้ ผู้ที่จะทำพิธีต้องเรียนรู้ขั้นตอนยาวนาน เปรียบเหมือนการเรียนจนถึงระดับปริญญาเอก หากสวดได้หนึ่งตัว (ควายหนึ่งตัว) ก็เหมือนจบปริญญาตรี สองตัวคือโท สามตัวคือเอก และถ้าสวดเต็มพิธี นั่นคือบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
แต่ทุกวันนี้ ในประเทศไทยมีผู้ที่ยังสวดได้ครบพิธีเพียง 2 คนเท่านั้น และทั้งคู่ต่างก็อยู่ที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงราย
“นี่เป็นองค์ความรู้ที่ริบหรี่มาก มันไม่ได้แค่หายไปพร้อมคนรุ่นหนึ่ง แต่มันคือการหายไปของประวัติศาสตร์ทั้งสาย”
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป พิธีกรรมก็ถูกตั้งคำถาม ไม่ใช่เพราะคนรุ่นใหม่ไม่เคารพ แต่เพราะกฎจารีตบางอย่างเริ่มกดทับเหล่าสตรีจนแทบหายใจไม่ออก
“เราไม่ได้ดูถูกบรรพบุรุษ… แต่จารีตบางอย่างเหมาะกับยุค 500 ปีก่อน ไม่ใช่วันนี้”
พวกเขาจึงเริ่มสังคยานาวัฒนธรรม ปรับบางอย่างให้เข้ากับโลกยุคใหม่ จากควายหลายตัวในพิธี กลายเป็นไก่ หมู หรือไข่ เป็นการย่อพิธีให้เบาลงแต่ยังคงเคารพรากเหง้า
บทสวดของอาข่ามีภาษาพิเศษที่ไม่สามารถแปลเป็นภาษาอื่นได้โดยไม่สูญเสียความหมาย เพราะเพียงแค่เสียงผิดไปนิดเดียว ความหมายก็จะเปลี่ยนทันที และเพื่อรักษาบทสวดนี้ไว้ หมี่จูจึงเชิญ ‘ดร.หวัง’ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชนเผ่าพื้นเมืองคุนหมิง มาช่วยบันทึกและถอดความภาษานี้อย่างถูกต้อง แน่นอนว่าความร่วมมือครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องแลกกับพิธีกรรม การสมัครเป็นศิษย์ และภาระผูกพันตลอดชีวิตของผู้เรียน
“พี่ร้องไห้ต่อหน้าอธิการบดีเลย ถ้าท่านไม่อนุญาตให้มา เผ่าพันธุ์เราก็จบสิ้นแล้ว
“เพราะผู้รู้ท่านนี้อายุ 80 กว่าปีแล้วก็ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที เขาไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเรียน ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงทำพิธีการ แล้วก็ใช้เงินในการเรียนค่อนข้างเยอะ เป็นหลักแสนบาทเฉพาะพิธีกรรมที่เรียนกับอาจารย์นะ ยังไม่รวมถึงองค์ความรู้อีก แล้วบทสวดนี่ต้องสวดกัน 3 วัน 3 คืน โดยไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีใบลาน ไม่มีการจดอะไรทั้งนั้น อาศัยการจำอย่างเดียว จำอยู่ในสมองทั้งหมด ไม่มีพิมพ์เขียวออกมาแม้แต่เผ่นเดียวบนโลกนี้”
พิธีกรรมดั้งเดิมมีข้อห้ามผู้หญิงเรียนบทสวด แต่เธอ หญิงอาข่าคนนี้ กล้าลุกขึ้นไปต่อรองกับอาจารย์ผู้ถือความรู้ ขอโอกาสได้ทำความเข้าใจรากของชนเผ่าตัวเอง เพื่อไม่ให้วัฒนธรรมเหล่านี้สูญหาย
ท้ายที่สุด การผลักดันอย่างไม่ยอมแพ้ก็ทำให้เกิดความร่วมมือกับหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง มีการประชุม การถอดความ และตีพิมพ์บทสวดฉบับย่อ ซึ่งเป็นฉบับที่ให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้
"กระบวนการนี้ใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 ปี เนื่องจากผู้รู้มีเงื่อนไขให้ต้องสมัครเป็นลูกศิษย์และทำพิธีกรรมต่าง ๆ ท้ายที่สุด เราก็สามารถบันทึกองค์ความรู้ได้กว่า 1,000 หน้า และจัดทำเป็นฉบับย่อเพื่อให้คนรุ่นใหม่นำไปปรับใช้"
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การรักษาพิธีกรรมงานศพ แต่มันคือการต่อสู้เพื่อสิทธิในการคงอยู่ในแบบของตนเอง การบอกว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่ไม่จำเป็นต้องละทิ้งรากเหง้า
“เราไม่ได้บังคับใคร ใครอยากใช้ก็ใช้ ใครยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้รู้ว่า มันมีอยู่ และมันสำคัญ”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม