18 มิ.ย. 2568 | 17:00 น.
“การที่เรา(ชาวลาหู่)ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำให้ถูกคนตราหน้าว่า เรามันไร้การศึกษา เรามันป่าเถื่อน แต่ในความจริงแล้ว ระบบการศึกษาต่างหากที่อาจไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเรา”
‘ไมตรี จำเริญสุขสกุล’ ในวัย 41 ปี บอกกับเราในงาน ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ จัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 แม้จะมีคนมากหน้าหลายตา แต่ครูไมตรีกลับมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เราเดินเข้าไปพูดคุย และนั่นทำให้เจอกับ ‘ครู’ ผู้ยิ่งใหญ่
ครู ผู้อยากให้เด็กทุกคนในหมู่บ้านได้รับการศึกษา ไม่อยากให้ถูกตราหน้าว่า ‘ไร้อารยะ’
ครู ผู้หวังจะเห็นลูกศิษย์มีทักษะการเอาชีวิตรอด แม้จะอยู่ห่างไกลจากความเจริญของเมืองหลวง
และเป็นครูที่ยังไม่หมดหวัง แม้ความหวังนั้นจะเลือนรางลงเต็มที
นอกจากครูไมตรีแล้ว เรายังได้พูดคุยกับ ‘ยุพิน ซาจ๊ะ’ ครูรวีชาวคริสเตียนวัย 35 ปี ผู้อุทิศตนรับใช้พระเจ้า หน้าที่ของเธอคือนำความเชื่อและศรัทธาส่งไปถึงใจของเด็กในหมู่บ้าน แม้พื้นที่ที่พวกเขาอยู่จะเต็มไปด้วยปัญหายาเสพติด แถมยังอยู่ระหว่างรอยต่อของชายแดนไทย-พม่า ยิ่งทำให้เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงสิ่งเสพติดได้ง่าย ถามว่าง่ายขนาดไหน ก็ง่ายถึงขนาดที่ยุพินเองก็ยอมรับว่าเด็กแทบทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่แค่ยาเสพติด ดมกาวก็มีเยอะ” เธอบอก
“เด็กถูกประกาศชื่อออกเสียงตามสาย ดุด่าพวกเขาว่าเป็นเด็กไม่ดี นั่นทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมาก เพราะพวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาให้” ยุพินเล่าถึงสิ่งที่เธอพบเจอมาโดยตลอด โดยมีไมตรีนั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ และคอยพยักหน้าเห็นด้วยว่านี่คือความจริงที่เขาอยากจะแก้ไขให้ได้เสียที
ยุพินสริมอีกว่าอันที่จริงอีกเหตุผลที่เธอมาเป็นครูอย่างในทุกวันนี้เป็นเพราะอยากจะสร้างสังคมที่ดีกว่า ไม่ใช่ของตัวเธอเอง แต่เป็นของทั้งหมู่บ้านแห่งนี้
“เราก็คิดมาตลอดว่าไม่อยากให้ลูกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่เราจะสอนแค่ลูกเราไม่ได้ เราต้องสอนเด็กในหมู่บ้านด้วย”
นี่คือสัจธรรมแห่งชีวิต พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะหมดหนทางเสียทีเดียว เพราะทั้งไมตรีและยุพินจะทำให้เด็กหลุดพ้นจากวงจรเหล่านี้ ผ่านการศึกษาที่จะช่วยดึงให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ
นั่นจึงเป็นที่มาของการเปิดหลักสูตร ‘ห้องเรียนสื่อชายแดน’ ณ บ้านกองผักปิ้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อให้เด็ก ชาติพันธุ์ลาหู่ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาได้เรียนรู้วิชาชีวิต และยืนอยู่ในผืนแผ่นดินไทยได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากเด็กในพื้นที่อื่นของประเทศ
ก่อนจะมาเป็น ‘ครู’ อย่างบังเอิญจนถึงทุกวันนี้ ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ไมตรีเองก็เป็นเพียงคุณพ่อที่อยากให้ลูก ๆ ได้ร่ำเรียนหนังสือเหมือนอย่างเด็กไทยคนอื่น เขาทำเพราะอยากให้ลูกมีการศึกษา ไม่ได้คิดว่าต้องทำเรื่องยิ่งใหญ่
นักเรียนกลุ่มแรกคือ ลูก ก่อนเพื่อนบ้านจะเริ่มฝากฝังให้ไมตรีดูแล หนึ่งในนั้นคือ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ได้รับการถ่ายทอดวิชาสิทธิมนุษยชนจากครูไมตรี จนลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันพึงมีให้แก่หมู่บ้านของตน เขาถูกเรียกว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนเด็ก แต่ใช่ว่าความเป็นเด็กจะทำให้รอดพ้นจากการถูกคุกคาม ในทางกลับกันการต่อสู้ของชัยภูมิทำให้เขาด่วนจากโลกนี้ไปในวัยเพียง 17 ปี หลังถูกทหารยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ขณะกำลังเดินทางผ่านด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ทหารได้ตรวจค้นรถยนต์ของชัยภูมิ และถูกเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจค้นแล้วใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าชัยภูมิ ขัดขืนและพยายามทำร้าย จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง
ชัยภูมิจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคนที่รักเขาไว้เบื้องหลัง
ไมตรีเองก็ใจสลายไม่ต่างกัน แม้ไม่มีสายสัมพันธ์เชิงสายเลือด แต่บ้านเขากับชัยภูมิห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวเดิน ลูกศิษย์คนนี้จึงไม่ต่างจากลูกที่เขาฟูมฟัก มอบการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียนให้อย่างล้นทะลัก แต่สุดท้ายความพยายามของเขากลับถูกปลายกระบอกปืนพรากไปในชั่วพริบตา
ใช่ว่าเขาจะยอมสยบนิ่งต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น นี่คือความสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ และเขาในฐานะคริสเตียน ยังคงเชื่อมั่นในพระเจ้าอยู่เสมอ และเชื่อมาโดยตลอดว่าชัยภูมิจะได้รับความเป็นธรรม
“ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ส่งผู้ใหญ่บ้านเข้ามาคุยกับผม ถามผมว่าให้มันจบลงได้มั้ย ไม่ต้องไปเอาเรื่องหรอก แล้วเดี๋ยวเขาจะให้เงินผมมา คือเขาอยากให้ผมจบแค่นี้ ไม่ต้องพูดอะไรอีก อยากได้เงินเท่าไหร่ก็เรียกร้องมา
“แต่ประเด็นคือถ้าเราปล่อยไปแบบนี้ เราอาจจะได้เงินก็จริง แต่การที่เขากล้าทำร้ายชนเผ่าเราแบบนี้ เขาก็มีโอกาสจะทำอีกใช่มั้ย ถ้ามีเงินเขาก็จะทำแบบนี้กับเราเรื่อย ๆ ถูกมั้ย ถ้าคนนั้นเป็นลูกของเราล่ะ
“ผมเลยไม่รับปาก พอไม่รับปากเขาก็มาหาเรื่องจะจับผม ผมบอกเขาว่าเอาเลย คุณจะจับผมข้อหาอะไร เขาจับผมไม่ได้ก็พยายามจะเล่นงานคนรอบข้างของผม มีน้องสะใภ้ที่โดนจับไปแทน ช่วงนั้นเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก”
ไมตรีย้อนกลับไปยังช่วง 8 ปีก่อนที่เขาไม่ยอมรับเงินเพื่อให้เรื่องจบ แต่การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้เขาต้องหอบลูก และจูงมือภรรยาหนีออกจากหมู่บ้าน โดยมีเงินติดตัวแค่ 50 บาท เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เชียงใหม่
เขายอมรับว่าเวลาย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงรู้สึกเสียใจเสมอ
ไม่ได้เสียใจเพราะต้องหลบซ่อน
แต่เสียใจเพราะเขาพรากการศึกษาไปจากมือลูกของตัวเอง
ไม่แน่ใจนักว่าเพราะความเสียใจครั้งนี้เลยทำให้ไมตรีกลับบ้านมาในรอบ 7 ปี เพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์การศึกษาให้เด็กในหมู่บ้านหรือเปล่า แต่การกระทำของเขาก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า เขาไม่เคยคิดอยากจะทิ้งบ้านจากไปไหนไกล
“ผมเสียใจนะ ทำไมเราต้องมาเจอแบบนี้ แล้วใครจะอยากสู้อีกล่ะ” เขาเล่าพลางทิ้งช่วง
“ถ้าผมเชื่อเขา แล้วบอกว่าจะไม่สู้ ผมยอมรับในข้อเสนอของเขา ตอนนั้นผมได้เงินด้วยนะ เงินด้วย ตำแหน่งด้วย สบายไปแล้ว แต่ผมสู้กลายเป็นว่าทุกวันนี้ความสัมพันธ์ผมกับเจ้าหน้าที่รัฐย่ำแย่มาก เพื่อนบ้านยังกลัว ไม่กล้าเข้าหา แต่ผมก็พยายามสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานรัฐนะ ผมยังพยายามอยู่”
ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระดับเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งจะย่ำแย่ ไมตรีบอกว่าเพื่อนบ้านยังรู้สึกหวาดกลัว และไม่ไว้วางใจการกลับมาของเขาเลยสักครั้ง ซึ่งเขาก็ได้แค่พยายามทำให้เห็นว่าการกลับบ้านมาครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น มีเพียงความคิดอยากจะให้ลูกหลานมีการศึกษาก็เท่านั้น
“คนในชุมชนก็กลัว หมายถึงกลัวผมด้วย เพราะว่าผมไปขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นเขาต้องเลือกระหว่างอยู่ข้างผมกับอยู่ข้างเจ้าหน้าที่ พอต้องเลือก เขาก็ต้องไปทางเจ้าหน้าที่อยู่แล้วเพื่อความปลอดภัยของเขาใช่มั้ยครับ ถ้าอยู่ฝั่งผมก็ต้องมาลําบากเหมือนผมไง ใครจะสู้ นี่แหละคือการถูกทิ้งให้รู้สึกว่าเงียบเหงาที่สุด”
ความตั้งใจแรกของไมตรีคือการให้เด็ก ๆ มีวุฒิการศึกษา
ความตั้งใจต่อมาคือเขาอยากยุติบทบาทนี้ลงเสียที
ทั้งสองความตั้งใจดูจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่หลังจากเริ่มห้องเรียนมาเป็นเวลาปีกว่า (หลังหยุดไปเพราะต้องหนี) เขาก็ค้นพบว่า ยังมีเด็กอีกหลายคนที่อยากเรียน แต่ไม่ได้เรียน และนั่นทำให้เขาและยุพินต้องหาหลักสูตรที่เหมาะกับเด็กแทบทุกช่วงวัย มาสอนในห้องเล็ก ๆ เพียงห้องเดียว
“ในบ้านนั่งเรียนได้แค่ 5-6 คน ทีนี้นักเรียนเรามีสามสิบกว่าคน เราก็ต้องแบ่งหลายช่วง มันก็มีหลายเวลาอีก เราทำตรงนี้ไม่มีเงินเดือน เราก็ต้องทำมาหากินด้วย กลายเป็นว่ามันลำบากมาก ลำบากมากจริง ๆ” ยุพินระบายความในใจ แต่ไม่อาจปฏิเสธบทบาทการเป็นครูได้ เพราะเธอเดินทางมาในเส้นทางนี้โดยตลอด ครูจึงเป็นตัวตนของเธอไปเสียแล้ว
ส่วนไมตรีเอง เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ขอแค่เด็กมีวุฒิการศึกษาเท่านี้ก็บรรลุความปรารถนาแล้ว และเขาอยากจะเลิกทุกอย่าง การเอาชีวิตตัวเองเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นมากเกินไป มีแต่ทำให้ร่างกายของเขาผุพังลงไปเท่านั้น
“ผมไม่อยากทำ ไม่อยากเป็นตัวแทน คือไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตคนมาก ผมเองก็เหนื่อยมากแล้ว”
ยุพินบอกว่าเหตุผลที่ไมตรีอยากจะหยุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ เพิ่งผ่าตัดหัวใจ แถมตอนนี้ยังมีโรคไตถามหา การต้องมาสอนหนังสือโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แถมยังต้องสละบ้านมาเป็นชั้นเรียนอีก ปี 2568 จึงเป็นปีที่หนักหนาสำหรับชายคนนี้ไม่น้อย
โชคดีที่ทั้งสองได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา ทำให้เขายังมีแรงกายและใจในการสอนเด็ก ๆ ให้เรียนรู้วิชาชีวิต โดยรูปแบบการสอนจะมีตั้งแต่ ให้เด็ก ๆ ผลิตสื่อ ถ่ายทำวิดีโอ ตัดต่อ และต่อยอดออกมาเป็นชิ้นงาน นำไปสู่การสร้างรายได้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ครูทั้งสองยังมีการสอนเด็ก ๆ ไลฟ์ขายของ ช่องทางที่ทำให้มีรายได้จุนเจือครอบครัวในพท้นที่ที่อยู่ห่างไกลเมืองเช่นนี้
“ชนเผ่าลาหู่อาจจะไม่ได้ถูกสอนให้เป็นคนทําธุรกิจ เราใช้ชีวิตกับธรรมชาติ อยู่กับป่า” ไมตรีบอก
“ขอมีชีวิตรอดแบบมีความสุขหน่อยได้มั้ย ไม่ใช่ว่าถูกตีตราถูกจํากัดด้วยวุฒิการศึกษาทํานู่นทํานี่ก็ไม่ได้
“เด็ก ๆ ไม่ได้รับการศึกษาคุณว่าคือความผิดใคร” เขาถาม
“ผิดที่ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกนี้เหรอ ก็ไม่ใช่ แล้วการที่เขาเกิดในไทย แต่ไม่ได้สัญชาติไทย มันคือความผิดของใคร เราไม่ได้เป็นคนออกเอกสาร ไม่เคยมีโอกาสได้เซ็นต์เลย คุณยัดเยียดมาให้เราทั้งนั้น
“สุดท้ายแล้วเราก็กลายเป็นคนป่า ถูกตีตราว่าไม่ใช่คนไทย ไปพม่าก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่ใช่แผ่นดินของเรา”
แล้วความผิดใครกันที่ทำให้เราเป็นคนไม่เท่าคนอื่น
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง