14 ส.ค. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
“ปาฏิหาริย์ทำให้ฉันรอดจากระเบิดนิวเคลียร์… ฉันเห็นขบวนผู้คนที่ออกมาจากซากตึกเหมือนเงาผีสางที่ต่างเดินโซซัดโซเซมุ่งสู่ใจกลางเมือง เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่น เนื้อตัวดำคล้ำ ฉันต้องกัดฟันเดินก้าวผ่านซากศพที่แห้งเกรียม และยังคงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของผู้คนร้องขอความช่วยเหลือตลอดทาง”
วันที่ 3 มกราคม 1932 ณ เมืองฮิโรชิมะ เด็กหญิงเซ็ตสึโกะ ลืมตาดูโลกในตระกูลนากามูระ เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน ไม่มีใครรู้เลยว่าโชคชะตาจะกำหนดให้เธอกลายเป็นพยานประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ที่โลกไม่ควรลืม
เซ็ตสึโกะเติบโตมาในช่วงที่ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะสงคราม อยู่ในเหตุการณ์สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 และสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเธอเป็นหัวหน้าครอบครัว (honke) ที่ทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติ ภรรยาและลูก ๆ ทุกคนต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะครอบครัวหนึ่งก็ว่าได้
ก่อนเซ็ตสึโกะเกิดไม่นาน ครอบครัวนากามูระเคยใช้ชีวิตอยู่ในแซคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย นานถึง 20 ปี ทำฟาร์มจนประสบความสำเร็จ แต่มีเหตุจำเป็นให้บินกลับมายังญี่ปุ่น ทำให้เธอเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมผสมระหว่างตะวันตกกับญี่ปุ่น
เมื่ออายุ 13 ปี เซ็ตสึโกะอยากเรียนเปียโนควบคู่กับภาษาอังกฤษ พ่อกับแม่ไม่เคยห้าม ทั้งคู่ต่างสนับสนุนให้ลูกสาวคนสุดท้องทำตามความต้องการ จึงส่งเธอเข้าเรียนโรงเรียนคริสเตียนเอกชนสำหรับเด็กผู้หญิงที่มีหลักสูตรพิเศษด้านดนตรี ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เธอได้เริ่มเรียนเปียโน และมีเปียโนเป็นของตัวเอง
“ฉันตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ได้ทำ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าจะไม่มีโอกาสได้เรียนเปียโนต่อ”
ไม่นานบทเรียนเปียโนก็ต้องหยุดลง เมื่อเธอและเพื่อนนักเรียนหญิงอีก 30 คน ถูกเกณฑ์เป็นแรงงานราคาถูกเพื่อถอดรหัสข้อความลับให้กองทัพญี่ปุ่น
“พวกเราเริ่มเรียนรู้วิธีถอดรหัสข้อความลับสุดยอด ลองนึกภาพสิ เด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีต้องจัดการกับข้อมูลระดับลับที่สุด” เซ็ตสึโกะให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Voice ไว้ในปี 2018
หลังการฝึกสามสัปดาห์ เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 วันแรกของการทำงานจริงก็มาถึง ระหว่างฟังสุนทรพจน์ต้อนรับบนชั้นสองของอาคารทหาร เธอมองเห็นแสงสีน้ำเงินขาวสว่างจ้าวาบผ่านหน้าต่าง รู้สึกว่าร่างลอยขึ้นก่อนจะหมดสติ ความรู้สึกนั้นเธอยังจำได้จนถึงวันนี้
เซ็ตสึโกะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางระเบิดเพียง 1.8 กิโลเมตร เธอไม่อาจล่วงรู้เลยว่า ภาพท้องฟ้าที่สดใสในฤดูร้อนเช่นนี้ จะกลายเป็นภาพสุดท้ายก่อนสติทุกอย่างจะวูบดับลง
เพียงเสี้ยววินาที ทิวากาลถูกฉาบทับรัตติกาลในชั่วพริบตา เมืองทั้งเมืองถูกแผดเผาด้วยความร้อนกว่า 4,000 องศาเซลเซียส บ้านเรือนถูกถล่มราบด้วยแรงระเบิดราวพายุเฮอริเคน เขม่ากัมมันตรังสีลอยคละคลุ้งไปทั่วฮิโรชิมะ
รู้ตัวอีกที นากามูระลืมตาขึ้นมาท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง ในปอดเต็มไปด้วยฝุ่นจากตึกถล่ม ระหว่างกวาดสายตาพยายามร้องเรียกให้คนช่วย แต่กลับไร้เสียงตอบรับ ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจรัวริน และนั่นทำให้เธอรับรู้ในทันทีว่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอจากไปหมดแล้ว
ไม่นานเธอได้ยินเสียงเพื่อน ๆ กระซิบขอความช่วยเหลือ ทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในความมืดนั้น จนมีมือหนึ่งมาจับไหล่เธอ พร้อมเสียงผู้ชายบอกให้คลานออกไปทางที่มีแสง แม้จะเป็นตอนเช้า แต่โลกภายนอกกลับมืดครึ้มเต็มไปด้วยควันและฝุ่นจากเมฆเห็ดยักษ์ อาคารไม้ที่เธอเพิ่งคลานออกมากำลังลุกไหม้ เพื่อนนักเรียนอีกสองคนรอดออกมาด้วยกัน ส่วนที่เหลือเสียชีวิตในกองเพลิง
“ขณะที่ฉันหนีออกมากับเพื่อนรอดชีวิตอีกสองคน เราเห็นขบวนผู้คนที่เหมือนเงาผีสางเดินโซซัดโซเซออกมาจากใจกลางเมือง บางคนเสื้อผ้าขาดวิ่น บางคนถูกแรงระเบิดจนเปลือยกาย
“พวกเขาเลือดอาบ ถูกไฟไหม้ เนื้อตัวดำคล้ำและบวม บางส่วนของร่างหายไป เนื้อและผิวหนังห้อยต่องแต่งจากกระดูก บางคนถือดวงตาที่หลุดออกมาในมือ บางคนท้องแตกและลำไส้ไหลออกมา
“ในเพียงชั่วพริบตาเดียว เมืองฮิโรชิมาอันเป็นที่รักของฉันก็กลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง โครงกระดูก และศพไหม้เกรียม จากประชากร 360,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนชรา เกือบทั้งหมดตกเป็นเหยื่อของการสังหารหมู่โดยไม่เลือกหน้า”
การระเบิดครั้งนั้นทำลายฮิโรชิมะถึง 90% และคร่าชีวิตผู้คน 80,000 คนทันที สิ้นปี 1945 ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 140,000 และยังมีอีกนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตจากบาดแผล หรือการได้รับรังสีในภายหลัง
โชคดีที่พ่อกับแม่ของเธอรอดชีวิต ตอนนั้นพ่อออกไปตกปลานอกเมืองพอดี และเห็นเมฆรูปเห็ดขนาดใหญ่กำลังปกคลุมเมือง ส่วนแม่กำลังล้างจานอยู่ในบ้านที่ถล่ม โชคดีที่มีคนใจดีช่วยแม่ของเธอออกมาได้ทัน แต่น่าเศร้าที่พี่สาวกับหลานชายวัย 4 ขวบ และเพื่อนนักเรียน รวมถึงคุณครูอีก 351 คน เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นทันที
“ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงฮิโรชิมะ ภาพแรกคือร่างของเด็กน้อยวัย 4 ขวบที่เคยน่ารัก ตอนนั้นเขากลายเป็นเพียงก้อนเนื้อ”
ไม่มีอีกแล้วความทรงจำแสนสุข ภาพในวันวานที่พี่ ๆ มักจะเดินมาแนะนำหนังสือให้เธออ่าน จนทำให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน เพราะชอบอ่านหนังสือตามคำแนะนำของพี่
ไม่มีอีกแล้ว เมืองฮิโรชิมะที่เธอรัก ไม่มีอีกแล้วผู้คนที่มักส่งรอยยิ้มทักทายให้กัน ทั้งหมดกลายเป็นภาพความทรงจำ มีแต่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของผู้คนมาแทนที่
วันเวลาผ่านไป เซ็ตสึโกะเลือกเรียนวรรณคดีอังกฤษ ณ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมะโจงาคุอิน ก่อนย้ายไปสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาสังคมวิทยาที่วิทยาลัยลินช์เบิร์ก รัฐเวอร์จิเนีย ในปี 1955 เธอแต่งงานกับ ‘จิม เธอร์โลว์’ นักประวัติศาสตร์ชาวแคนาดา และตั้งรกรากในโตรอนโต จิมเป็นผู้สนับสนุนหลักและเป็นที่ปรึกษาของเธอตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษของการเคลื่อนไหวต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ เขาช่วยจัดกิจกรรมและก่อตั้งกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์หลายกลุ่ม ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 2 คน และมีหลาน 2 คน จิมเสียชีวิตในปี 2011
เซ็ตสึโกะได้รับปริญญาโทสังคมสงเคราะห์ จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต กว่า 20 ปีของการทำงานด้านนี้ทำให้ชื่อของเธอไม่ถูกลืม และ ในปี 2006 เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดา (Order of Canada) จากผลงานด้านสังคมสงเคราะห์และความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อล้มเลิกอาวุธนิวเคลียร์
ในฐานะ ‘ฮิบาคุฉะ’ (hibakusha) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู เธอออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์อย่างจริงจังในปี 1954 หลังจากการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนชื่อ ‘Castle Bravo’ ที่บิกินีอะทอลล์ หมู่เกาะมาร์แชลล์ ซึ่งสร้างกัมมันตภาพรังสีฟุ้งกระจายไปไกล ระเบิดของสหรัฐฯ ลูกนี้มีอานุภาพมากกว่าระเบิดที่ทำลายฮิโรชิมาเมื่อสิบปีก่อนอย่างมหาศาล
ต่อมาในในปี 1974 ด้วยความกังวลว่าผู้คนเริ่มลืมเลือนผลกระทบอันเลวร้ายจากการทิ้งระเบิดปรมาณู เธอได้ก่อตั้งองค์กรนักเคลื่อนไหวชื่อ Hiroshima Nagasaki Relived ร่วมกับนักวิชาการ ศิลปิน ทนายความ และครู เพื่อให้ความรู้และกระตุ้นสังคม
ตั้งแต่นั้นมา เธอได้เดินทางไปหลายสิบประเทศเพื่อเล่าประสบการณ์การรอดชีวิตและเตือนถึงภัยร้ายแรงที่อาวุธนิวเคลียร์มีต่อมนุษยชาติ พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนลงมือเปลี่ยนแปลง เธอมีส่วนร่วมในโครงการเดินทางรอบโลกกับ Peace Boat เรือสำราญของญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างแข็งขัน
คำปราศรัยหลายครั้งของเธอในสหประชาชาติ ทำให้คณะทูตหลายคนถึงกับน้ำตาไหลและมีความมุ่งมั่นมากขึ้นในการกำจัดภัยคุกคามนี้ เธอยังได้บรรยายในโรงเรียนต่าง ๆ ภายใต้โครงการ Hibakusha Stories ในนิวยอร์ก ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของนักเรียนหลายพันคน
จากผลงานเพื่อสร้างโลกที่สงบสุขและยุติธรรมมากขึ้น เธอได้รับเกียรติมากมาย เช่น รางวัล Queen Elizabeth II Diamond Jubilee Award ในปี 2012 เมืองฮิโรชิมาแต่งตั้งเธอเป็น ‘ทูตสันติภาพ’ ในปี 2014 และสมาคมควบคุมอาวุธ (Arms Control Association) ยกย่องให้เธอเป็นบุคคลแห่งปีด้านการควบคุมอาวุธ ในปี 2015
ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ตามคำเชิญของรัฐบาลออสเตรีย เซ็ตสึโกะ เธอร์โลว์ ได้ขึ้นไปกล่าวต่อเจ้าหน้าที่จาก 158 ประเทศ ในการประชุมเวียนนา ว่าด้วยผลกระทบด้านมนุษยธรรมของอาวุธนิวเคลียร์ (Vienna Conference on the Humanitarian Impact of Nuclear Weapons) เนื้อหาบางส่วนจากคำปราศรัยของเธอมีดังนี้
“ในฐานะเด็กนักเรียนหญิงวัย 13 ปี ฉันได้เห็นเมืองฮิโรชิมาของฉันถูกแสงวาบทำให้ตาพร่า ถูกแรงระเบิดราวพายุเฮอร์ริเคนพัดราบเป็นหน้ากลอง ถูกเผาไหม้ด้วยความร้อน 4,000 องศาเซลเซียส และปนเปื้อนรังสีจากระเบิดปรมาณูลูกเดียว...
“ปาฏิหาริย์ทำให้ฉันรอดจากซากตึกที่ถล่มลงมา ห่างจากจุดศูนย์กลางเพียง 1.8 กิโลเมตร เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ในห้องเดียวกันถูกไฟคลอกจนตาย ฉันยังได้ยินเสียงพวกเขาร้องเรียกหาแม่และพระเจ้าให้ช่วย...
“จนถึงตอนนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 250,000 คนจากผลของแรงระเบิด ความร้อน และรังสี แม้จะผ่านมากว่าเจ็ดทศวรรษ ผู้คนยังคงล้มตายจากผลกระทบที่ล่าช้าของระเบิดเพียงลูกเดียวซึ่งในมาตรฐานของปัจจุบันถือว่าหยาบและไม่ซับซ้อน
“ตลอดเดือนและปีแห่งการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด สร้างชีวิตขึ้นจากเถ้าถ่าน เราฮิบาคุฉะ หรือผู้รอดชีวิต ต่างเชื่อมั่นว่า ไม่มีมนุษย์คนใดควรต้องเผชิญประสบการณ์อันไร้มนุษยธรรม ไร้ศีลธรรม และโหดร้ายของระเบิดปรมาณูเช่นนี้อีก
“ภารกิจของเราคือการเตือนโลกถึงความจริงของภัยคุกคามนิวเคลียร์ และช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงความผิดกฎหมายและความชั่วร้ายสูงสุดของอาวุธนิวเคลียร์ เราเชื่อว่ามนุษยชาติกับอาวุธนิวเคลียร์ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป
“ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องกำจัดคลังอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อให้โลกในอนาคตปลอดภัย สะอาด และยุติธรรม ด้วยความเชื่อมั่นนี้ เราจึงได้พูดออกไปทั่วโลกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อการล้มเลิกอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง
“ถึงกระนั้น ฮิบาคุฉะก็รู้สึกท้อแท้มากขึ้นกับการขาดความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งที่เราได้เปิดเผยความทรงจำอันเจ็บปวดตลอดเจ็ดทศวรรษเพื่อเตือนผู้คนถึงนรกบนดินที่เราได้เผชิญในฮิโรชิมาและนางาซากิ”
เซ็ตสึโกะยังเป็นบุคคลสำคัญขององค์กร International Campaign to Abolish Nuclear Weapons (ICAN) และในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2017 คณะกรรมการโนเบลของนอร์เวย์ประกาศว่า ICAN ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ “จากการทำงานเพื่อดึงความสนใจของโลกต่อผลกระทบด้านมนุษยธรรมที่หายนะจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ใด ๆ และจากความพยายามเชิงบุกเบิกเพื่อให้เกิดสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธเหล่านี้”
เซ็ตสึโกะเฝ้าดูการประกาศสดจากบ้านของเธอในโตรอนโตด้วยความดีใจอย่างยิ่ง เธอกล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญจากคณะกรรมการบริหารสากลของ ICAN ให้ไปรับรางวัลที่กรุงออสโลในวันที่ 10 ธันวาคม ร่วมกับ ‘บีทริซ ฟินน์’ (Beatrice Fihn) ผู้อำนวยการขององค์กร
และนี่คือสุนทรพจน์รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ณ เมืองออสโล ในเดือนธันวาคม 2017
“แล้วทันใดนั้น ฉันรู้สึกถึงมือที่สัมผัสไหล่ซ้าย และได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูดว่า ‘อย่ายอมแพ้! จงดันต่อไป! ฉันกำลังพยายามช่วยเธอออกมา เห็นแสงที่ลอดผ่านช่องนั้นไหม? คลานไปทางนั้นให้เร็วที่สุด…
“แสงสว่างของเราตอนนี้คือสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์… คืนนี้ เมื่อเราถือคบเพลิงเดินไปตามถนนในออสโล ให้เราเดินตามกันออกจากราตรีอันมืดมิดของความหวาดกลัวจากอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคอะไร เราจะก้าวต่อไป ผลักดันต่อไป และแบ่งปันแสงนี้กับผู้อื่นเสมอ นี่คือคำมั่นของเราที่จะให้โลกอันล้ำค่านี้ดำรงอยู่ต่อไป”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง
Hiroshima 75 years later: An interview with survivor Setsuko Thurlow
Hiroshima and Nagasaki bombings
In Hiroshima, one August morning in 1945 was dark as night – and this woman can't forget it
Setsuko Thurlow: "Preserving Memory, Fostering Peace"
Setsuko Thurlow: Calling For An End to the Atomic Bomb