Ring Out, Wild Bells : ปรัชญาการ 'วางอดีต' ผ่านเสียงระฆัง เมื่อรุ่งอรุณปีใหม่มาถึง

Ring Out, Wild Bells : ปรัชญาการ 'วางอดีต' ผ่านเสียงระฆัง เมื่อรุ่งอรุณปีใหม่มาถึง

เสียงระฆังไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณบอกเวลา แต่เป็นเสียงแห่งการปล่อยวางอดีต แล้วเปิดรับความหวังใหม่บนเส้นทางที่รอคอยอยู่ในปีถัดไป

KEY

POINTS

ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ นอกจากพลุ โดรน หรือเสียงของผู้คนที่เต็มไปด้วยความสุข ยังมีอีกหนึ่งเสียงที่เป็นสัญลักษณ์ว่า ‘เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่’

เสียงที่เราพูดถึง คือ ‘เสียงระฆัง’

Ring Out, Wild Bells คือสำนวนที่นักกวีชาวอังกฤษแต่งขึ้น เพื่อปลดปล่อยความทุกข์จากการสูญเสียเพื่อนรัก และพาตนเองก้าวเข้าสู่วันปีใหม่ด้วยหัวใจที่สุขขึ้น

บทกวีนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เสียงระฆังไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณบอกเวลา หากแต่เป็นเสียงที่เชื้อเชิญให้เราปล่อยวางอดีต และเปิดรับความหวังใหม่บนเส้นทางที่รออยู่ในปีถัดไป

กำเนิดเสียงระฆัง

เสียงระฆังอยู่คู่กับชาวยุโรปมานานเกือบ 1,500 ปี ในยุคเริ่มแรก เสียงระฆังถูกใช้เพื่อเรียกผู้คนให้มาเข้าโบสถ์ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาพร้อมกัน

มีบันทึกว่า นักบวชพอลินัส แห่งโนลา มีการตีระฆังแขวนในโบสถ์ครั้งแรกประมาณ ค.ศ. 400 ในแคว้นคัมปาเนีย ประเทศอิตาลี จากนั้นธรรมเนียมนี้จึงค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรป และมาถึงอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 6

ต่อมาในปี ค.ศ. 604 สมเด็จพระสันตปาปาซาบิเนียนัสทรงกำหนดให้มีการตีระฆังเพื่อบอกเวลาการสวดภาวนาอย่างเป็นทางการ นับจากนั้น ระฆังค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นของโบสถ์ในยุคกลาง แทบทุกแห่งต้องมีอย่างน้อยหนึ่งใบ ขณะเดียวกัน โรงงานหล่อระฆังก็เริ่มมีมากขึ้นทั่วกรุงลอนดอน ก่อนที่เสียงระฆังจะเผยแพร่ไปทั่วยุโรป

Ring Out, Wild Bells : ปรัชญาการ 'วางอดีต' ผ่านเสียงระฆัง เมื่อรุ่งอรุณปีใหม่มาถึง

 

ทุกโบสถ์เลยมีการติดตั้งหอระฆังขึ้น ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องศาสนา แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมือง และยังเป็นการประกาศอาณาเขตและความมั่งคั่งของเมืองนั้น ๆ 

กระทั่งศตวรรษที่ 17 ระฆังไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของศาสนา การเมือง หรือสังคม แต่กลายเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง เพื่อความสุขของผู้คน จึงทำให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบตีระฆังมารวมตัวกัน และออกแบบการตีระฆังใหม่ ๆ เพื่อใช้ในงานมงคลต่าง ๆ 

สำหรับปีใหม่ โบสถ์จะตีระฆังแบบ half-muffled คือการเอาแผ่นหนังหรือวัสดุซับเสียงไปติดไว้ที่ตุ้มระฆังแค่ด้านเดียว ทำให้เสียงที่ออกมาดูทุ้ม ๆ ไม่กังวานเต็มที่ ระฆังจะถูกตีทั้งหมด 12 ครั้ง แทนช่วงเวลาสิบสองชั่วโมงสุดท้ายของปีเก่า และตีแบบเต็มเสียงเมื่อเดินทางเข้าสู่ปีใหม่อย่างเป็นทางการ 

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ระฆังจะดังขึ้นจนชินหู แต่เสียงนั้นไม่เคยว่างเปล่า เพราะทุกครั้งที่มันดังขึ้น ผู้คนต่างรับรู้ว่าบางสิ่งกำลังเริ่มต้น หรือบางสิ่งได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

Ring Out อดีต, Ring In ความหวัง

ก่อนที่เสียงระฆังจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับช่วงเวลาใหม่ ในยุคที่ผู้คนเชื่อว่าโลกเต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายและทูตแห่งความตาย เสียงระฆังจึงถูกมองว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขับไล่พลังมืดเหล่านั้นได้

ซึ่งหนึ่งในสำนวนที่เกี่ยวข้องกับเสียงระฆังและโด่งดัง คือ ‘Ring out, Wild bells’ ส่วนหนึ่งของบทกวี ‘Ring Out, Wild Bells’ บทที่ 106 ของผลงานเรื่อง In Memoriam A.H.H. ที่เขียนโดย อัลเฟรด ลอร์ด เทนนีสัน (Alfred Lord Tennyson) กวีเอกชาวอังกฤษ 

Ring Out, Wild Bells : ปรัชญาการ 'วางอดีต' ผ่านเสียงระฆัง เมื่อรุ่งอรุณปีใหม่มาถึง

เทนนีสันเขียนบทกวีเรื่องนี้ ระหว่างที่เขากำลังเผชิญกับการสูญเสียเพื่อนรักไป ในมุมมองของเขาเสียงระฆังเป็นเสียงเตือนสติให้เขาปล่อยวางและค่อย ๆ ก้าวออกจากความหม่นหมองภายในใจได้

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าว่า เขาเขียนบทกวีแห่งความหวังนี้ในคืนปีใหม่ ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนและมีพายุแรง เขาได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ Waltham Abbey ดังแทรกผ่านพายุออกมา หลายคนคิดว่า เสียงนั้นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเปรียบเทียบความปั่นป่วนในใจของตนเองกับพายุ และใช้เสียงระฆังเป็นภาพแทนของการเริ่มต้นใหม่

เสียงกังวานที่ทุกคนรอคอย 

แม้อดีตระฆังจะเป็นภาพแทนของศาสนา แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ระฆังกลายเป็นเสียงที่หลายคนรอคอยในช่วงปีใหม่ ทั้งฝั่งยุโรปและฝั่งสหรัฐอเมริกา

ที่อังกฤษ ระฆังถูกซ่อนไว้หลังหอนาฬิกาบิ๊กเบน เมื่อเข้าวันที่ 1 มกราคม ระฆังจะดังขึ้น แล้วเสียงนี้ก็จะถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลกมายาวนานนับตั้งแต่ปี 1923

ส่วนฝั่งสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าระฆังตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 15 ก็เคยมีเหตุการณ์ที่ชาวนิวยอร์คเคยมารวมตัวกันฟังเสียงระฆังที่โบสถ์ทรินิตี้ โบสถ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการฉลองปีใหม่ และได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปี

ตามบันทึกของ New York Herald ฉบับวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1860 ระบุว่า มีคนออกมารออยู่รอบกำแพงโบสถ์ทรีนิตี้ท่ามกลางลมหนาว เพื่อรอฟังเสียงระฆังใบแรกที่จะตีบอกลาปีเก่าและส่งสัญญาณการข้ามผ่านของกาลเวลาเข้าสู่ปี 1860

จำนวนคนที่มากขึ้นทุกปี ทำให้เกิดการผลักและเบียดกัน การเฉลิมฉลองปีใหม่ก็เปลี่ยนไป ประชาชนเริ่มนำ ‘แตรสังกะสี’ มาเป่าจนกลบเสียงระฆังอันศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้สาธุคุณ ดร. มอร์แกน ดิกซ์ ตัดสินใจยกเลิกการตีระฆังในปี 1893 ชาวอเมริกาเลยเปลี่ยนไปฉลองที่ไทม์สแควร์แทนประมาณปี 1904

Ring Out, Wild Bells : ปรัชญาการ 'วางอดีต' ผ่านเสียงระฆัง เมื่อรุ่งอรุณปีใหม่มาถึง

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในวันที่บ้านเมืองต้องอยู่ในความทุกข์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐสั่งห้ามใช้ไฟที่ไทม์สแควร์เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศ พวกเขาก็ยังรอคอยเสียงระฆังที่เป็นเสียงแห่งความหวังของชีวิต

เราเชื่อว่า ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เสียงนี้ยังคงเป็นเสียงที่บอกให้ผู้คนหยุดฟัง หยุดคิด และยอมรับการเปลี่ยนผ่านของเวลา ในชั่วขณะที่มันดังกังวาน ผู้คนต่างรับรู้ร่วมกันว่า ถึงเวลาปิดจบชีวิตอีกบทหนึ่งแล้ว และก้าวต่อไปบนเส้นทางที่รออยู่เบื้องหน้า ในวันที่รุ่งอรุณของปีใหม่มาถึง