‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

‘Christmas Truce’ ช่วงเวลาที่ทหารเลือกสงบศึกเพื่อฉลองคริสต์มาสระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขาแลกเปลี่ยนอาหาร ขนม บุหรี่ และเล่นฟุตบอลด้วยกัน เป็นคริสต์มาสที่เหล่าทหารไม่ลืม

KEY

POINTS

ขึ้นชื่อว่า ‘สงคราม’ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสูญเสียและบาดแผลที่ยากละลืมเลือน แม้เวลาจะผ่านไปนานกี่ปี 

ทว่า ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เต็มไปด้วยความตาย ความหนาวเหน็บ และเสียงปืนไม่รู้จบ มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แนวหน้าของสนามรบเงียบลง แทนที่ด้วยเสียงเพลง การเล่นฟุตบอล และเสียงปืนที่เป็นคำขอบคุณ เปิดพื้นที่ให้กองทหารของฝั่งมหาอำนาจและสัมพันธมิตรฉลองคริสต์มาสด้วยกัน 

เหตุการณ์นี้เรียกว่า Christmas Truce ปี 1914 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ยุติสงคราม แต่ได้ทิ้งร่องรอยสำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ ว่าแม้ในยามที่มนุษย์ถูกบังคับให้เป็นศัตรูกัน ความเป็นมนุษย์ก็ยังไม่เคยหายไป

‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

สงครามที่ไม่จบก่อนเทศกาลความสุข

ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงฤดูร้อนปี 1914 โดยแบ่งเป็นฝ่ายมหาอำนาจกลางที่มีจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิเยอรมนี และฝั่งสัมพันธมิตรที่ประกอบด้วย เซอร์เบีย จักรวรรดิรัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ และเบลเยียม 

แต่ละประเทศต่างมีเหตุผลการเข้าสงครามที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ยังคงมีหวังว่า สงครามนี้จะจบลงก่อนที่วันคริสต์มาส นั่นคือ 25 ธันวาคม 1914 

แต่สถานการณ์กลับยืดเยื้อกว่าที่คิด เพียงไม่กี่เดือน ทหารหลายแสงคนเสียชีวิตระหว่างรบ กระทั่งช่วงต้นเดือนธันวาคม สงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝั่งยุโรปเริ่มตัน หลังจากต่อสู้มาหลายปี ทั้งสองฝ่ายก็เสียงกำลังพลไปมาก และยังไม่สามารถรุกพื้นที่เอาชนะอีกฝ่ายได้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างขุดคูป้องกันกระสุนและหลุมหลบภัยจากชายฝั่งทะเลเหนือไปจนถึงพรมแดนสวิสเซอร์แลนด์

ทหารของทุกฝ่านต้องใช้ชีวิตอยู่ในคูแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยโคลน น้ำขัง และสู้กับอากาศที่หนาวเหน็บ  ไม่นับรวมกับโรคภัยที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นรั้วป้องกันชาติ บางคนเท้าแช่น้ำจนเท้าเน่า ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้ส่งจดหมายถึงผู้นำยุโรปให้ยุติการหยุดยิงวันคริสต์มาส

แต่ผู้นำประเทศไม่สนใจและดำเนินสงครามต่อไป พล.อ. ฮอเรซ สมิท ดอร์เรียน ผู้บัญชาการทัพที่ 2 ของกองทัพอังกฤษ มีการออกคำสั่งเตือนทหารอย่างเข้มงวดว่า การติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับฝ่ายศัตรู ถือเป็นความประพฤติที่อันตราย และห้ามทำเด็ดขาด จนวันคริสต์มาสใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ 

วันที่ 23 ธันวาคม 1914 อากาศหนาวจัด ทหารเยอรมันบางกองทัพนำต้นคริสต์มาสและเทียนมาตั้งประดับไว้บนแนวคูของตัวเอง มอบความสุขและเฉลิมฉลองคริสต์มาสกันเองท่ามกลางสถานการณ์ที่ตุงเครียด

ช่วงเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมันก็ส่งต้นคริสต์มาสมาปลุกขวัญกำลังใจให้ทหารแนวหน้า พวกเขาริ่มร้องเพลงคริสต์มาสเช่น เพลง ‘Stille Nacht’ ขณะที่ฝั่งสัมพันธมิตร (อังกฤษ–เบลเยียม) ก็ตอบโต้ด้วยเพลงคริสต์มาสของตนเองบ้าง

ในคืนนั้น นอกจากเหล่าทหารชายแดนไม่มีใครรู้ว่า เสียงปืนเริ่มสงบลง เหลือเพียงเสียงดนตรีที่ตอบโต้กันไปมากองเหล่าทหารที่มาร่วมฉลองในเทศกาลแห่งความสุขที่พวกเขาและคนทั่วโลกรอคอย

‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

การฉลองคริสต์มาสในคืนที่เสียงปืนเงียบลง

เมื่อเสียงเพลงแทนที่ด้วยเสียงปืน ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันไปมาตลอดระยะทาง 30 ไมล์ พอเสียงเพลงผ่านไปก็มีคำทักทายที่ดังขึ้นในแถบชายแดน

ในจดหมายของพลทหาร J. Reading ที่อยู่ในเขตแดนช่วงสงครามที่เขาเขียนถึงภรรยา ส่วนหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า ตอนที่เขาเป็นเวรตรวจการ มีข้อเสนอที่จะแลกของกันเพื่อฉลองคริสต์มาสอีฟด้วยกัน และนั่นทำให้เขาสงบศึกด้วยตัวเอง และได้คุยกับพลทหารฝั่งเยอรมนีเป็นครั้งแรก

“ค่ายของผมบังเอิญอยู่ในแนวยิงตรงในคืนคริสต์มาสอีฟ และถึงตาของผมที่จะเข้าไปอยู่เวรจนถึง 6.30 น. แต่ฝั่งเยอรมันเริ่มร้องและตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า  ‘พวกคุณเป็นกองทหารไรเฟิลบริกาเด้ใช่ไหม มีไวน์เหลือไหม ถ้ามี เรามาเจอกันครึ่งทาง

 “พวกเขาเดินเข้ามาหาเรา และพวกเราก็เดินออกไปพบพวกเขา ผมจับมือกับบางคน แลกบุหรี่กัน เราไม่ได้ยิงปืนกันในวันนั้น และทุกอย่างเงียบสงบจนเหมือนฝัน”

ส่วนนายทหารจอห์น เฟอร์กูสันบอกว่า “พวกเราอยู่ตรงนั้น หัวเราะคุยกับคนที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เรายิงใส่เขา”

‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

ฝั่งเยอรมนี  ร้อยตรีคูร์ท เซมิซท์ สังกัด กรมทหารราบแซกซอนที่ 134 (134th Saxons Infantry Regiment) ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในเรื่องเล่าแนวเดียวกันที่พวกเขาเลือกจะสงบศึกด้วยตัวเอง ไร้คำสั่งของผู้บัญชาการ

“พวกเรานำต้นคริสต์มาสออกมาวางเหนือเนินดินของแนวสนามเพลาะฝ่ายเรา ทหารอังกฤษตะโกนออกมาว่า “ถ้าคุณไม่ยิง เราก็ไม่ยิง เดินออกมาเจอกันตรงกลาง” พวกเราหลายคนเริ่มโผล่หัวออกไปจากสนามเพลาะ เลยไม่มีการยิงเกิดขึ้น”

แล้วเมื่อวันคริสต์มาสมาถึง ทหารหลายคนเดินออกจากหลุมหลบภัยมาเจอกัน แลกเปลี่ยนสิ่งของเล็ก ๆ เช่น บุหนี่ ขนมปังกระป๋อง ป้ายเครื่องแบบ และยังมาเตะบอล ฉลองไปด้วยกัน 

จดหมายของนายทหารคนหนึ่งบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “คริสต์มาสผ่านมาและผ่านไป แน่นอนว่านี่คือการฉลองที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ใครในพวกเราจะเคยพบเจอ”

แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะชณะพักรบมีทหารบางคนถูกซุ่มยิง และยังมีชื่อของนายทหารเยอรมันที่ตำหนิเพื่อน ๆ ที่กำลังมีความสุขในเขตชายแดนว่า “เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในยามสงคราม พวกคุณไม่เหลือศักดิ์ศรีแห่งเกียรติยศของชาวเยอรมันแล้วหรือ”

เขาคืออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่กลายเป็นผู้นำพรรคนาซีและผู้นำเผด็จการของเยอรมนีในเวลาต่อมา แต่อย่างน้อย Christmas Truce ก็เป็นภาพสะท้อนว่า ทหารก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการความสุข และได้ฉลองคริสต์มาส แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ 

คงเหมือนกับที่ทหารเคยเขียนไว้ “เมื่อมองย้อนกลับไป ผมไม่อยากพลาดวันคริสต์มาสอันแปลกประหลาดและไม่เหมือนใครนั้นไปเลยแม้แต่นิดเดียว”

เสียงปืนที่กลับมาอีกครั้ง

หลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไป เมื่อพระอาทิตย์ของวันที่ 26 ธันวาคมขึ้น มีเสียงปืนใหญ่และปืนเล็กดังสลับกันเหมือนคืนก่อนคริสต์มาส 

มีรายงานว่า ทหารอังกฤษยิงปืนขึ้น 3 นัดพร้อมผืนธงเขียนว่า “Merry Christmas” (สุขสันต์คริสต์มาส) และฝ่ายเยอรมันยิงตอบ 2 นัดพร้อมผ้าปักคำว่า “Thank you” ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหันกลับไปเข้าหลุมและเริ่มสู้กันใหม่ทันที

ถึงจะดูงดงาม แต่เมื่อข่าวการสงบศึกไปถึงผู้นำของแต่ละฝั่ง พวกเขาตกใจและไม่ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บัญชาการของอังกฤษและเยอรมันออกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการติดต่อหรือพักยิงกับศัตรูอีกต่อไป

มาตรการของพวกเรา เริ่มจากการส่งนายทหารบางคนย้ายไปหน่วยอื่นไปจนถึงการสร้างระบบ Live and Let Live หรือการอยู่ร่วมกันโดยไม่ล่วงล้ำกัน หมายถึง บางครั้งทั้งสองฝ่ายอาจตกลงหยุดรบชั่วคราวเพื่อซ่อมแซมพื้นที่ปะทะ (สนามเพลาะ) หรือออกไปเก็บร่างผู้เสียชีวิต

‘Christmas Truce’ การหยุดรบชั่วคราวในวันคริสต์มาส ท่ามกลางสงครามที่ไร้จุดจบ

อย่างไรก็ตาม จดหมายและบันทึกจำนวนมากสะท้อนว่าการพบปะกันในช่วง Christmas Truce ได้เปลี่ยนวิธีที่ทหารมองศัตรูไปจากเดิม

 “พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างลำบากเหมือนกัน” นี่คือคำที่ทหารฝั่งอังกฤษได้รับชาติเพื่อนทหารชาวเยอรมัน

แม้ท้ายที่สุดสงครามจะกลับสู่ความโหดร้ายดังเดิม และดำเนินต่อไปจนถึงปี 1918 พร้อมกับการสูญเสียชีวิตของผู้คนราว 15–20 ล้านคน แต่เหตุการณ์ Christmas Truce ปี 1914 ยังคงถูกจดจำในฐานะหลักฐานสำคัญว่า ศัตรูในสงครามไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังเสมอไป หากแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องยืนอยู่คนละฝั่งของสนามรบ 

และในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น พวกเขาได้มองเห็นกันและกันในฐานะ ‘มนุษย์’ มากกว่า ‘ศัตรู’ 

 

ภาพ : Getty Images

 

อ้างอิง

Forces and resources of the combatant nations in 1914 / Britannica

Christmas Truce: The Western Front in 1914 / HISTORYNET

The British Expeditionary Force, Human Diseases and Trench Warfare on The Western Front / WESTERN FRONT ASSOCIATION

The Christmas Truce of 1914 / NEWAMERICAN

The Christmas Truce / WORLD HISTORY ENCYCLOPEDIA

WWI’s Christmas Truce: When Fighting Paused for the Holiday / HISTORY

War Breaks Out / JE ME SOUVIENS