สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

“การยิงกันไม่ใช่จุดจบของความขัดแย้ง แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินไปสู่โต๊ะเจรจา” สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักสื่อสารมวลชน–นักวิจัย–กรรมาธิการสภาฯ ผู้ใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งในเมืองหลวง และอีกครึ่งหนึ่งในสวนทุเรียนชายแดนไทย–กัมพูชา เล่าประสบการณ์ของคนที่ไม่ได้แค่รายงานข่าวความขัดแย้ง แต่ต้องอยู่ใต้เสียงปืนจริง ๆ

KEY

POINTS

The People สัมภาษณ์ ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ บรรณาธิการบริหารคนสุดท้ายของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น (The Nation) ก่อนที่บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะยุติการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษไปเมื่อกลางปี 2562

ปัจจุบัน สุภลักษณ์ ยังเป็นสื่อมวลชนอาวุโส นักวิจัยอิสระ นักเขียน นักวิเคราะห์ นอกจากนั้นบางคนเรียกเขาว่าอาจารย์ เพราะเคยเป็นนักวิจัยให้กับสถาบันการศึกษา

ตำแหน่งล่าสุด สุภลักษณ์ทำงานกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร เข้าประชุมในรัฐสภาทุกวันพุธ-พฤหัสบดี อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกรรมาธิการหลายชุด โดยนอกจากเป็นกรรมาธิการ 1 ชุดแล้ว ยังเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการและเป็นอนุกรรมการภายใต้กรรมาธิการชุดที่เกี่ยวข้องกับทหารด้วย

สำหรับตำแหน่งในคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องร้อนแห่งชาติ คือ

กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา

อนุกรรมาธิการด้านกิจการกีฬาและสันทนาการของกองทัพ และอนุกรรมาธิการยกร่างรายงานของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม

ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร

ที่สำคัญเขามีสถานะไม่เหมือนใครที่ทำงานในเมืองหลวง เพราะมีอีกอาชีพคือเป็นเกษตรกรทำสวนทุเรียนและยางพารา ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนำพาให้เขาและครอบครัวเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ในปลายเดือนกรกฎาคมและล่าสุดปะทะกันอีกในเดือนธันวาคม 2568

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

การใช้อาวุธไม่ได้ทำให้จบ แต่คือการเริ่มต้นความขัดแย้ง

The People: ถ้าฝ่ายไทยใช้อาวุธตามศักยภาพขั้นสูงสุดไปถล่มบ้านฮุน เซน บิดาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ความขัดแย้งนี้จะจบหรือไม่

สุภลักษณ์: ไม่จบ เราต้องเข้าใจว่าสงครามแบบนี้ ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวประเทศเดียว เพราะเขามีพันธมิตร มีอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ว่าจะมากจะน้อย สมมติว่าไทยตัดสินใจถล่มพนมเปญ

คำถามคือว่า จีนซึ่งมีผลประโยชน์ในกัมพูชามหาศาล เขาจะตอบโต้ไหม ตอนนี้ในกัมพูชามีฐานทัพเรือซึ่งผู้พัฒนาคือจีน ถ้าไทยใช้กำลังแบบนั้น แปลว่าไทยไม่ได้จะรบกับกัมพูชาประเทศเดียว   

แล้วอเมริกาซึ่งกำลังจะมีผลประโยชน์อยากได้กัมพูชามาเป็นพวก อเมริกาจะยอมไหม

อีกประเทศที่เราต้องคำนึงถึงด้วยคือเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา เวียดนามจะคิดอย่างไร เพราะประวัติศาสตร์การเมืองหลังปี 2518-2521 ตอนเวียดนามบุกกัมพูชา ฝ่ายไทยยังคิดมากเลย ตอนเวียดนามช่วยฮุน เซน บุกพนมเปญไล่เขมรแดง ทำให้ตอนนั้นไทยมีปฏิกิริยาโดยต้องไปหาอาวุธจากจีน เพื่อมาช่วยเขมรแดงซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามฮุน เซน

ตอนนั้นกัมพูชามีการเมืองหลายขั้ว (เขมร 4 ฝ่าย - ฮุน เซน, สีหนุ, ซอนซานและเขมรแดง) ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายไทยไม่ได้ชอบเขมรแดง แต่ก็ช่วยนะเพื่อป้องกันไม่ให้เวียดนามซึ่งสนับสนุนฮุน เซน บุกกัมพูชาเข้ามาถึงไทย

 

 

ขณะนั้นคนไทยก็อยู่ในอาการหวาดผวาสงคราม เพราะสมัยนั้นคิดไปถึงขนาดว่ากองทัพเวียดนามอาจจะบุกเข้าไปถึงกรุงเทพฯ

ดังนั้นการสู้รบกันทางทหาร ไม่ได้ทำให้จบ สิ่งที่จะทำให้จบได้คือการเจรจากันโดยสันติ เราไม่เคยเชื่อว่าการใช้อาวุธจะทำให้จบ

The People: มีญาติผู้ใหญ่เจนเนอเรชันก่อนมีเส้นเขตแดนเป็นคนเชื้อสายกัมพูชาไหม

สุภลักษณ์: ไม่มีญาติทางสายเลือดจากฝั่งกัมพูชา มีแต่เพื่อนที่รู้จักกัน เพราะหากจะนับว่าครอบครัวเรามาจากไหน ครอบครัวเราเป็นลาวจากนครราชสีมา (โคราช) ส่วนในหมู่บ้านและรอบ ๆ หมู่บ้านจะเป็นคนเชื้อสายเขมรเป็นส่วนใหญ่

บ้านหนองอุดม (อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ) ที่เราอยู่ทุกวันนี้ เป็น ‘ลาว’ พูดภาษาลาว แต่รอบ ๆ นั้นพูดภาษาเขมร อย่างบ้านภูมิซรอล บ้านโดนเอาว์ อย่างนี้พูดเขมร บางส่วนก็พูดลาว

เนื่องจากศรีสะเกษมีหลายเชื้อชาติ มีทั้งลาว ส่วย เขมร ถ้านับชาติพันธุ์ก็มีเยอะผสมปนเป โดยสายเลือดก็คงมีการถ่ายทอดกันไปมา มีวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิตคล้ายกันทั้ง 2 ฝั่ง

คนในหมู่บ้านก็รู้จักกันกับคนที่ข้ามไปมาฝั่งไทย-กัมพูชา บางคนมีครอบครัวฝั่งกัมพูชาก็พาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านฝั่งไทย ส่วนตัวเราไม่มีญาติฝั่งกัมพูชาโดยตรง แต่คนในหมู่บ้านก็รู้จักกันหมด

ส่วนชาวกัมพูชาในฝั่งกัมพูชาจริง ๆ ถ้าจะนับญาติได้อีกคือรุ่นหลัง คือน้องสาวภรรยาแต่งงานกับคนเขมร บ้านเขาอยู่ที่บ้านโดนเอาว์ เป็นหมู่บ้านที่มีมานานในแผนที่ฝรั่งเศสก็ระบุหมู่บ้านนี้ นับว่ามีอายุเป็นร้อย ๆ ปี บรรพบุรุษของเขาก็คงรุ่นนั้นแหละ

แล้วอย่างบ้านภูมิซรอลฝั่งไทย ติดกับฝั่งกัมพูชา ชาวบ้าน 2 ฝั่งก็เดินทางข้ามกันไปมาได้ตามช่องทางธรรมชาติ เพราะไม่ได้มีแต่หน้าผา ไม่ใช่ภูเขาลูกเดียวตลอดแนว  แถวนั้นภูเขาในพนมดงรัก เป็นกลุ่มภูเขาซึ่งบางช่วงเป็นช่องระหว่างภูเขา แล้วช่องที่เดินทางข้ามกันไปมาบ่อย คือช่องตาเฒ่า ตรงนั้นชาวบ้านเดินทางข้ามไปมาได้

เหตุที่มีที่ดินอยู่ชายแดน

สุภลักษณ์: ครอบครัวของภรรยา (แสงจันทร์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส) มีที่ดินอยู่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ ได้รับมาจากรุ่นพ่อแม่เนื่องจากพ่อของภรรยา (พ่อตา) เป็นเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง สมัยตัดถนนขึ้นเขาพระวิหาร ผ่านผามออีแดง ครอบครัวภรรยาจึงย้ายไปอยู่แถว ๆ นั้น 

เหตุที่ครอบครัวเรามีที่ดินตรงนั้น เพราะพ่อตาแม่ยายยกที่ดินให้ลูก ก็คือภรรยาเราและพี่น้องภรรยา ส่วนตัวเราเกิดนครราชสีมา (โคราช) แต่สืบไปสืบมาปรากฏว่าหน่อแนวเดียวกันคือครอบครัวภรรยาถ้านับรุ่นยายก็มาจากโคราชเช่นกัน ต่อมาย้ายไปอยู่อำเภอกันทรารมย์ แล้วย้ายไปอำเภอกันทรลักษ์ ภรรยาเราจึงเกิดที่อำเภอกันทรลักษ์ แล้วมาเจอกันตอนเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2527

‘ชาติพันธุ์’ กับ ‘ชาตินิยม’ เมื่อต้องเลือกข้าง ชาวบ้านหลายคนเลือกให้สัมภาษณ์สื่อด้วยตรรกะแบบชาตินิยม แม้ว่าจะมีความใกล้ชิดฝั่งกัมพูชาในแง่ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม

สุภลักษณ์: เราคิดว่าเรื่องนี้อธิบายได้ เนื่องจากว่าความเป็นญาติทางสายโลหิตไม่ได้ทำให้คนมีความผูกพันกันโดยธรรมชาติขนาดนั้น แม้แต่พี่น้องตระกูลเดียวกันคลานตามกันมา ยังฆ่ากันได้เลย สายเลือดมันไม่ได้มีความหมายอะไรนักหนาหรอก

แต่เหตุที่ประชาชนมีความรู้สึกความเป็นชาติเพราะถูกปลูกฝังความคิดให้มีจินตนาการว่าเราจะผูกตัวเองเข้ากับจินตนาการของความเป็นชาติแบบไหน จะ articulate เอาตัวเองผูกกับกลุ่มใด ชาติใด มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย

ภาษาวิชาการแบบอาจารย์เบน แอนเดอร์สัน เรียกว่า จินตกรรม คือหมายความว่าเราถูกทำให้มีสำนึกของความเป็นชุมชนและความเป็นชาติ มันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ดังนั้น ถ้านักข่าวไปถามคนที่อยู่ในพื้นที่ตอนนี้ ชาวบ้านเขารู้ว่านักข่าวมาจากไหน (กรุงเทพฯ) และเขาควรจะพูดอย่างไรจึงจะถูกกับจริตนักข่าว

เราเจอกับตัว หลายคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัว เวลาเขาพูดกับเรา เขาพูดอีกแบบหนึ่ง เพราะเขารู้ว่าเราอยู่ในพื้นที่ เขาไม่สามารถโกหกเราได้ เราร่วมชะตากรรมเดียวกัน

แต่ถ้านักข่าวไปจากที่อื่น เขารู้ว่านักข่าวคนนั้นเป็นตัวแทนของความคิดแบบใด อีกอย่างหนึ่ง ต้องเข้าใจด้วยว่า ชาวบ้านอยู่ใกล้ทางการไทย อยู่ใกล้เจ้าหน้าที่ ถ้านักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไม่มีทางพูดเป็นอย่างอื่นได้หรอก เพราะเขาต้องทำงานกับทหาร เขาต้องทำงานกับทางอำเภอ เขาจะต้องสัมพันธ์กับทางการไทยตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นตัวแทนความคิดของรัฐ และเอามาบอกลูกบ้าน

น้อง ๆ นักข่าวบางคนสัมภาษณ์เสร็จแล้วมาถามเราว่า “พี่ ทำไมเขาพูดเหมือนทหารเลย” ก็แหมบางเรื่องเขาก็ฟังมาจากทหารแล้วจะพูดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยหรือ ?

เป็นผู้ประสบภัยชายแดนที่มีเพื่อนสื่อมวลชนต่างชาติ

สุภลักษณ์: ประสบการณ์ตรง เรารู้จักผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านของเรา แล้วช่วงเกิดเหตุปลายเดือนกรกฎาคม ก็มีเพื่อนนักข่าวหลายคนอยากเข้าไปหมู่บ้านของเรา แต่เราอพยพไปอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีแล้ว เรายังเข้าไปบ้านที่ศรีสะเกษไม่ได้

เราบอกเพื่อนเราว่าจะติดต่อผู้ใหญ่บ้านให้ เขามีหน้าที่ต้องเฝ้าหมู่บ้าน ไปไหนไม่ได้ เมื่อเพื่อนสื่อมวลชนต่างชาติจะเข้าไปหมู่บ้าน ตอนแรกผู้ใหญ่บ้านไม่คุยกับนักข่าวหรอก เพราะกังวลเดี๋ยวทหารรู้ หรือเจ้าหน้าที่รู้ อาจจะมีปัญหา เราก็รับประกันว่าเพื่อนเราไว้ใจได้เขาเป็นมืออาชีพ

พอไปจริงๆ  มีคนในหมู่บ้านถ่ายรูปที่ผู้ใหญ่บ้านคุยกับนักข่าว เอามาลงในไลน์หมู่บ้านถามว่า นี่นักข่าวต่างชาติเข้ามาได้อย่างไร ใครพามา

เราก็เลยต้องรีบส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่มว่า “นักข่าวคนนี้เป็นเพื่อนผมเอง เขาไม่ทำให้หมู่บ้านเสียหายและผู้ใหญ่บ้านทราบแล้วนักข่าวเป็นเพื่อนผม” ผู้ใหญ่บ้านก็จะได้สบายใจที่จะพูด

ก่อนหน้านั้นเราโทรบอกผู้ใหญ่บ้านว่า “ผู้ใหญ่บ้านพูดอย่างที่พูดได้ ไม่ต้องพูดทั้งหมดแบบที่พูดกับผมในฐานะคนในพื้นที่ก็ได้” เราบอกว่าเรารับประกันว่า สิ่งที่เขานำเสนอต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง และอยู่บนความปลอดภัยของประชาชนที่จะต้องทำงานด้วย เราเองก็บอกเพื่อนนักข่าวต่างชาติซึ่งทำงานที่ Nikkei Asia ว่า “ต้องเข้าใจว่าผู้ใหญ่บ้านต้องทำงานกับทางการไทย” เพื่อนเราเป็นนักข่าวต่างชาติ เขาพาล่ามแปลภาษาไปกับเขาด้วยก็พยายามช่วยอธิบาย

ตอนหลังเราก็พาใครต่อใครที่อยากรู้เรื่องในพื้นที่ไปดูนะ ล่าสุดเดือนตุลาคม พานักวิชาการกับนักข่าว ไปที่วัดในหมู่บ้าน ไปให้ทุกคนก็เห็นกับตาว่าหน่วยทหารก็อยู่ในนั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ ก็อยู่ในนั้น

เป็นสื่อมวลชนไทยแต่ต้องเขียนข่าวด้วยมาตรฐานสากล

สุภลักษณ์: เราถูกฝึกไม่ให้ใช้ความรู้สึกในฐานะคนชาติไทยในการเขียนข่าว ตอนเขียนข่าวไม่ได้เขียนเฉพาะภาษาไทย เขียนข่าวภาษาอังกฤษด้วย เพราะเคยทำงานสำนักข่าวต่างประเทศ เขาสอนกันมาเลย เช่น กรณีมีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา คุณไม่สามารถเขียนข่าวจากจุดยืนผลประโยชน์ของไทย เพราะข่าวของคุณจะมีคนกัมพูชา คนชาติอื่นอ่านด้วย คุณมีหน้าที่ทำให้คนทั้งหลายรู้เรื่อง แต่อย่าไปตัดสิน อย่าไปเข้าข้างใคร ตอนทำงานให้วางความเป็นคนไทยของคุณเอาไว้ก่อน

อย่างกรณีพระวิหาร มีการปะทะครั้งแรก ปี 2553-2554 เราเป็นนักข่าวเดอะเนชั่น ภาษาอังกฤษ แต่สำนักข่าวเดอะเนชั่นแชร์ข่าวแชร์คอนเทนต์กันในฐานะเป็นธุรกิจสื่อ กับ The Phnom Penh Post, THE STATES TIMES ฯลฯ ถ้าการเขียนข่าวมีลักษณะต่อต้านกัมพูชามาก ข่าวของเราก็จะกลายเป็นข่าวไทย เพราะฉะนั้นสำนักข่าวต่างประเทศก็จะไม่ใช้ข่าวของเราเพราะมันไม่เป็นกลาง

เป็นสิ่งที่เราตระหนักตั้งแต่เกิดการปะทะกรณีพระวิหารครั้งแรก ปี 2553-2554 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นมียิงกันด้วย แต่เหตุปะทะเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น มีคนภูมิซรอลตายไป 1 คน ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ตั้งใจที่จะไม่ไปแหละ เพราะในแง่ความรู้สึกถ้าเราจะต้องรายงานข่าวเราต้องเอาตัวเองออกมา ไม่งั้นเราจะมีอคติในการเขียนข่าว ถ้ามีอคติ จะเป็นสิ่งที่คุกคามอาชีพ

มันไม่ใช่การใช้กำลังแบบชกมวยที่ชกกันครบยกก็จบ แต่การรบแบบนี้จะครบยกตรงไหน ไม่มีทาง บางคู่ขัดแย้งยิงกันครึ่งศตวรรษยังยิงกันอยู่ไม่จบ ดูการเมืองภายในของพม่าก็ได้ มีกองกำลังต่าง ๆ จับอาวุธห้ำหั่นกั้นตั้งนานแล้วไม่จบสักที

การใช้กำลังทางทหารไม่เคยทำให้จบ แต่ทุกครั้งมันเป็นเพียงการเริ่มต้น เพื่อจะไปจบที่เจรจา

การเจรจา ไม่ใช่เพียงเพื่อไปนั่งทำงานในห้องแอร์

สุภลักษณ์: ทุกคู่ขัดแย้งก็ต้องประชุมกันในที่สงบเพื่อพูดถึงเรื่องที่ไม่สงบ ไม่ประชุมกันในสนามรบอยู่แล้ว

ใครว่าเราโลกสวย เรายอมรับนะ ผมโลกสวย ผมอยากอยู่กับกัมพูชาแบบสันติ ไม่อยากอยู่แบบเผชิญหน้าปะทะกันตลอดเวลา แม้แต่การพูดในกรรมาธิการ เราบอกว่าการยกเลิก MOU คือความขัดแย้งรอบใหม่ ไม่ใช่นึกอยากยกเลิกก็เลิกได้ เพราะเป็นสัญญาที่ทำกับฝ่ายกัมพูชา แล้วฝ่ายกัมพูชาจะว่าอย่างไร

เขาอยากตกลงด้วยอยากทำเรื่องเขตแดนให้เรียบร้อย เราก็ทำให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีปัญหาว่าใครรุกล้ำใคร ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าใครรุกใคร เพราะไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ตรงไหน จึงรุกกันไปมา

เรื่องการยึดพื้นที่หลายจุดตามแนวชายแดนก็เช่นกัน เราโต้แย้งหลายคนซึ่งเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการการทหารด้วยกัน

บางคนคิดว่ายึดเอาไว้ก่อนแล้วจะได้เปรียบ เรามองว่าการยึดเอาไว้ก่อนไม่ใช่ว่าจะได้เปรียบ แต่จะเกิดการสร้างประเด็นใหม่ในการเจรจา ถ้าเรายึด เขาก็จะเอาคืน ก็สู้กันอยู่แบบนั้น แทนที่จะบอกว่า ถ้าเขายึด เราไปเจรจาให้เขาออก เพื่อไม่ต้องสูญเสียชีวิตร่างกายของทหาร

นับขาทหารผู้บาดเจ็บ เทียบจำนวนผู้เสียชีวิตจากการปะทะ

สุภลักษณ์: ทหารบางคนบอกว่า เราจะเอาแต่ประท้วงเหรอ ทหารไทยขาขาดไปหลายขาแล้ว เรายกตัวอย่างประเด็นนี้เคยเถียงกับเพื่อน เราถามว่า คราวก่อนขาด 5 ขา คุณปะทะแล้วมีทหารตายไป 17 คน

คุณเลือกเอาระหว่างเสียขากับเสียชีวิต ถ้าไม่มีการปะทะ อาจจะขาขาด แต่ชีวิตยังอยู่ ทหารคนนั้นอาจจะกลับมามีชีวิตสามารถทำมาหากินได้ต่อไป เมื่อเขาไม่ได้เป็นทหารแล้วแต่เขายังมีชีวิตอยู่

ขณะที่หากเขาไม่มีชีวิตอยู่ เขาตายแล้ว เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติ แต่ลูกเมียเขา ครอบครัวเขา ที่ทางการบอกจะได้ค่าชดเชย 10 ล้าน เขาได้ครบหรือยัง บางคนก็ยังไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะได้ทันที แล้วมีใครคิดอยากจะร่ำรวยจากการเสียชีวิตของลูกหรือคนในครอบครัว

ทุกครอบครัวก็อยากให้สมาชิกครอบครัวอยู่กับเขา ไม่ใช่แค่อยากได้เงิน บางคนก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

การเรียกร้องให้ปะทะ คือการไม่คิดว่าต้นทุนของตัวเองคืออะไร เราพูดแบบนี้ เราก็โดนเพื่อนร่วมชาติด่าบ่อย ๆ

แต่เราบอกว่า โอเค คุณไปคิดดี ๆ ถ้าเราเสียขาที่ 7 แล้วเรายิงปืนใหญ่ถล่มไปเลย เหมือนอย่างอดีตนายทหารใหญ่บางคนบอกอยากถล่มเพราะ “เรารับไม่ได้” คุณก็รับไม่ได้สิ เพราะคุณเกษียณแล้ว คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนี่

ถ้าคุณต้องทำงานอยู่ คุณต้องคิด ลูกน้องของคุณ คุณจะใช้เขาเข้าไปโจมตีโน่นนี่นั่น เขาเสียชีวิตนะ แนวคิดที่อยากจะเอาคืนให้กับจำนวนขาทหาร โดยการเอาชีวิตของทหารอีก 17 คนไปแลกในการปะทะเดือนกรกฎาคม แล้วจบไหม

ตอนนี้ก็ยังไม่จบเลย ตายเพิ่มอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นตรรกะธรรมดาที่อยากจะให้คิด

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

The People: มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นไหมว่า กองบรรณาธิการสื่อมวลชนไทยอาจเลือกเผยแพร่เฉพาะเสียงชาวบ้านที่โจมตีกัมพูชา

สุภลักษณ์: บางสำนักข่าวอาจมีทัศนะเช่นนั้น ไม่สามารถปฏิเสธ แต่เราให้น้ำหนักแง่นี้มากกว่า คือในแง่ชาวบ้านก็รู้ว่าเขาต้องพูดอย่างไรกับนักข่าว

เพราะหลายคนที่เรารู้จัก เขาเข้าใจ ถ้าเขาพูดอะไรที่แตกต่างออกไปจากรัฐ เขาก็จะโดนทัวร์ลง แม้แต่คนที่เป็นนักธุรกิจพูดว่า ได้รับความเดือดร้อน เมื่อพูดคำนี้ออกสื่อ เขาก็โดนโจมตีแล้ว เขาจะถูกโจมตีว่า “ไม่เสียสละ”

ไม่หวั่นทัวร์ลง เคยถูกโจมตีกล่าวหา ‘นักข่าวไทย หัวใจเขมร’

สุภลักษณ์: ส่วนตัวเราไม่กลัวโดนด่า เพราะโดนทัวร์ลงมาเยอะแล้ว แต่ถ้าคนอื่นเขากลัว เราก็ไม่สามารถจะไปรับประกันให้เขาได้ว่าต้องพูดแบบไหน เพราะเขาต้องคิดด้วยว่าหลังจากนั้นเขาจะอยู่ในชุมชนอย่างไร จะอยู่กับทหารอย่างไร อย่างผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่เป็น ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) นักข่าวไปสัมภาษณ์ได้ แต่เขาพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้

เพราะก็จะมีทหาร มีผู้กองที่ดูแลหน่วยของเขาในพื้นที่ จะเข้ามาอยู่ในไลน์กลุ่มของหมู่บ้านด้วย เพื่อหาข่าวว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะเน้นย้ำเสมอว่า อย่าให้สัมภาษณ์นักข่าวโน่นนี่นั่น

ส่วนเราพยายามจะบอกทุกคนว่า พูดอย่างที่มันเป็นจริง ถ้าบรรยากาศไม่ดีก็บอกว่าบรรยากาศไม่ดี ไม่ต้องไปโกหกว่าบรรยากาศดี ถ้าเดือดร้อนก็บอกว่าเดือดร้อน เพราะความเดือดร้อนนี้เป็นปัญหาที่ทางการต้องแก้ไข ไม่ใช่ชาวบ้านต้องมาแก้

ชาวบ้านทุกคนรู้มานานแล้วว่าเรากับภรรยาเป็นนักข่าว โดยเฉพาะหลังจากเราไม่ได้เป็น บก. เดอะเนชั่นแล้ว เราก็ไปศรีสะเกษเป็นประจำใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านต่อเนื่องค่อนข้างนาน

แต่ก่อนหน้านั้นก็ไป ๆ มา ๆ ทำสวนทำไร่มาก่อน ไปปลูกยางพาราสิบกว่าปีแล้ว ตั้งใจจะเอาไว้เก็บกินก่อนออกจากงานไม่มีรายได้แล้ว ทำตั้งแต่ก่อนจะมีประเด็นเขาพระวิหารครั้งก่อนเสียอีก

ชาวบ้านทั่วไปก็รู้เราไม่ได้เหมือนพวกเขา ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาที่มาทำไร่อยู่ในพื้นที่อย่างเดียว เพราะเราเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ด้วย เป็นกรรมาธิการและมีเพื่อนเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลายคน

ชาวบ้านก็เห็นหน้าเราทางสื่อต่าง ๆ ผู้ใหญ่บ้านก็รู้ว่าเราทำงานอะไร บางทีผู้ใหญ่บ้านให้สัมภาษณ์สื่อ เราก็มาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน

สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เราก็โดนด่า ‘นักข่าวไทย หัวใจเขมร’ โดนแขวนในโซเชียลมีเดีย แล้วก็โดนโจมตีว่าขายชาติด้วย ตอนเป็นนักวิจัยในทีมอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ แต่ส่วนตัวเราทำเรื่องลาว ซึ่งมาเกี่ยวพันกับเรื่องกัมพูชา เพราะใช้แผนที่ชุดเดียวกัน

สมัยก่อนลาว เวียดนาม กัมพูชา เป็น French Indochina ตอนทำวิจัยจึงใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุดเดียวกันกับอาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ ซึ่งเขาทำเรื่องกัมพูชา การได้ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใช้แผนที่ชุดเดียวกัน จึงได้อาศัยความรู้สมัยนั้นมาทำงานในคณะกรรมาธิการทุกวันนี้ ฉายานั้นก็ติดตัวมาจนทุกวันนี้แหละ

ขณะที่ถือพาสปอร์ตไทย มองตัวเองเป็นพลเมืองไทยหรือพลเมืองโลก

สุภลักษณ์: มีความรู้สึกระคนกันไป เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็น ‘ไทย’ เท่าไหร่ เพราะเป็นคนเกิดในภาคอีสาน เป็นคนลุ่มแม่น้ำมูน แม่น้ำโขง อย่างไรก็ไม่ใช่ไทยแบบกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นคนลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เด็กมา เราก็จะถูกกล่อมเกลาทางสังคม ให้มีความรู้สึกเป็นไทย แต่นิยามของความเป็นไทย มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ สมัยเราเป็นเด็ก ถ้าพูดถึงความเป็นไทย ก็คือต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่าไปฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ เพราะคอมมิวนิสต์ไม่ใช่ไทย

แต่พื้นที่ที่เราเกิดและอยู่มา มีคอมมิวนิสต์เต็มไปหมด ในหมู่บ้านเรา บ้านญาติ บ้านย่าที่โคราช เขาอยู่ใกล้พื้นที่ซึ่งมีคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกซึม มีเพื่อนที่มีญาติพี่น้องเข้าป่าไปเป็นคอมมิวนิสต์ด้วย

แต่เราเกิดในครอบครัวข้าราชการ พ่อเป็นครู อาก็เป็นครู ลุงเป็นบุรุษไปรษณีย์ บ้านอยู่ใกล้เขตปลดปล่อย เขาเรียกเขตสีชมพูคือพรรคคอมมิวนิสต์ส่งสหายแทรกซึมเยอะ สภาพที่ขัดแย้งกันทำให้อยู่ลำบากนะ เมื่อก่อนพ่อเรา เวลาไปไหนมาไหนก็ไม่กล้าแต่งเครื่องแบบซึ่งเป็นชุดสีกากี เพราะคล้ายตำรวจ เวลาจะไปบ้านย่าในอำเภอครบุรี ซึ่งใกล้เขตคอมมิวนิสต์ ไม่ใส่เครื่องแบบเด็ดขาด

และอีกด้านหนึ่งครอบครัวก็ต้องสัมพันธ์กับทางการฝ่ายความมั่นคง จำได้ติดตาพวกอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส) เข้ามาในหมู่บ้าน เขาก็มาพักที่บ้านเรา ครอบครัวเราก็ต้องต้อนรับ แม่เราต้องทำอาหารเลี้ยงพวกเขาใช่ไหม แถวนั้นบ้านนอกไม่มีอะไรกินเท่าไหร่ ต้องจับไก่ที่เลี้ยงไว้มาฆ่าให้เขากิน บังเอิญวันนั้นยังไม่รู้แม่เราจับไก่ไม่ได้ ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่บอก เดี๋ยวเขาจัดการเอง เขาก็เอาปืนยาวประจำกายของเขายิงไก่ที่เราเลี้ยงไว้

เรายังจำได้ตอนนั้นฉุนนิดหน่อย แหมเรานะนาน ๆ จะได้กินไก่ที เจ้าหน้าที่มาแป๊บเดียว ยิงไก่เราหัวแบะซะแล้ว

แต่ถ้าจะว่าไปความจริงกระบวนการกล่อมเกลาให้เราเป็นไทยแบบราชการเกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างที่เล่าครอบครัวปัญญาชนบ้านนอกของเรานี่ไม่ใช่แค่พี่น้องพ่อนะ ญาติห่าง ๆ ข้างแม่ ก็เป็นครูสอนเราที่โรงเรียนในหมู่บ้าน คุณครูที่เป็นญาติห่าง ๆ กัน เจอหน้าที่บ้านก็พูดภาษาถิ่นกัน แต่อยู่ในโรงเรียนต้องพูดภาษาไทยภาคกลางนะ

แรก ๆ ก็งง “อีหยังวะ” แกบอกว่าถ้าเจอลุงที่โรงเรียน ในห้องเรียน ต้องพูดภาษากลางเท่านั้น ฉะนั้นความรู้สึกอะไรแบบนี้จะเยอะมาก ความรู้สึกระคนปนกันไป คือจะถูกกล่อมเกลาให้ความเป็นไทยมีหลายแบบ จึงไม่ได้รู้สึก “รักชาติ” ในความหมายแบบชาตินิยม

ยิ่งพอมาเรียนหนังสือที่ธรรมศาสตร์ รู้อะไรมากขึ้น มีโอกาสไปใช้ชีวิตในต่างประเทศบ้าง ก็รู้สึกว่า บางทีความเป็นไทย ก็จำกัดไปหน่อย

The People: จะบาลานซ์ 2 สิ่งนี้อย่างไร นักข่าวนำเสนอเรื่องเท็จไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ต้องอยู่กับฝ่ายรัฐไทยจึงมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด

สุภลักษณ์: ความจริง มีทั้งที่เราพูดได้ และพูดไม่ได้ เราจึงต้องชั่งใจเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นอาวุธอยู่ในชุมชน อยู่ในหมู่บ้าน ถ้าเราเอาจริงเอาจังในการนำเสนอ ก็คงจะได้ชื่อว่าเป็นนักข่าวที่ดี เป็นคนที่ซื่อสัตย์กับข้อเท็จจริง

แต่คำถามคือ แล้วชาวบ้านอีกหลายชีวิตที่เขาให้ข่าวเรา หรือคนที่เขาพาเราไป เขาจะอยู่ต่ออย่างไร เราก็ต้องคำนึงถึงการใช้ชีวิตของพวกเขาในสถานการณ์ที่เป็นจริง

เราไม่ได้พูดโกหก แต่พูดอย่างไรให้คนเข้าใจข้อเท็จจริงที่อาจจะมีผู้ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ เช่น ถ้าเราเห็นด้วยตัวเองว่ามีอาวุธอยู่ในชุมชน คนนำเสนอคือตัวเรา เราไม่ได้อ้างอิงใคร ก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง แบบนี้ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าอ้างอิงคนอื่น เราต้องเข้าใจข้อจำกัดที่ไม่สามารถบอกความจริงได้ทั้งหมด แต่ทำให้สาธารณะรู้ได้ว่ามีความจริงที่คนได้รับผลกระทบ อย่าไปให้น้ำหนักที่สุดเพียงข้างใดข้างหนึ่ง

เราพูดกับเพื่อนนักข่าวเสมอว่า เวลาฟังกองทัพ ก็อย่าฟังข้างเดียว ต้องไปถามชาวบ้านด้วยว่าเขารู้เห็นอะไรไหม เขาพูดได้หรือไม่ ถ้าเขาพูดได้แต่ขอไม่ระบุชื่อ เราก็ต้องมีจรรยาบรรณเพื่อที่เมื่อเขียนแล้วให้คนอ่านรู้ว่าเป็นข้อเท็จจริง แต่เราต้องรับประกันแหล่งข่าวด้วยตัวเองว่ามีชาวบ้านบอกจริงโดยเขาขอไม่ระบุตัวตน เพราะหากระบุว่าใคร อาจจะทำให้เขาลำบาก เนื่องจากชาวบ้านไม่มีสถานะอะไรปกป้องเขา ถ้าเขาพูดความจริงแล้วเขาลำบากได้รับผลกระทบ นักข่าวจะทำอย่างไร

ส่วนตัวเรากล้าพูด เพราะมีสถานะที่สามารถปกป้องตัวเองได้ เพราะเป็นสื่อมวลชนและมีงานที่ทำกับทางการไทยในรัฐสภาเป็นกรรมาธิการ จึงพอพูดได้ เราก็พูด

แต่เราก็ไม่ได้มีอะไรคุ้มครองถึงขนาดพูดอะไรก็ได้ เพราะเราก็มีสิทธิ์จะถูกฟ้อง มีสิทธิ์โดนแขวน มีสิทธิ์โดนทัวร์ลง

เราสามารถยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดได้ไหม ก็ต้องยืนยันว่า เราเห็นเรารู้เรื่องนี้ และขึ้นอยู่กับว่าต้องการพูดให้ใครฟังด้วย

บางเรื่องต้องใช้โอกาสพูดในกรรมาธิการ พูดกับผู้นำทหาร เราไม่ไปพูดกับทหารชั้นผู้น้อยในพื้นที่ เพราะเขาก็ได้รับคำสั่งมาทำหน้าที่ในพื้นที่ เราไม่โทษพลทหารเด็ก ๆ ที่มาตัดไม้ทำกระโจมทำอะไรของเขา พลทหารก็รุ่นลูกหลานเราทั้งนั้น เรามองเขาเป็นลูกหลาน

เราไม่ใช้วิธีการมองว่า เขามาก่อศึกสงครามทำชาวบ้านเดือดร้อน จะไปต่อว่าเขาไม่ได้ ถ้าจะตำหนิหรือมีข้อโต้แย้ง ต้องไปพูดกับคนที่มีหน้าที่ในระดับนโยบาย เราจะไปโกรธทหารเด็ก ๆ ไม่ได้

มีคนที่เหยียบกับระเบิดแถว ๆ นั้น ก็เป็นคนกันทรลักษ์ เป็นคนในท้องถิ่น บังเอิญเขาต้องไปทำหน้าที่แบบนั้น

เราสงสัยว่าใครวางระเบิดกันแน่ แต่เราไม่สามารถสรุปเหมือนที่กองทัพสรุปว่า เขมรวางระเบิด ถามว่าเห็นใจทหารที่ไปรบไหม เราก็เห็นใจ หลายคนก็เป็นเด็กในท้องถิ่นเดียวกัน แต่ในทางนโยบาย ถามว่าถูกต้องไหมที่จะรบกับกัมพูชา เรามองว่าไม่ถูกต้อง

เช่น คำถามว่าใครยิงก่อน เราก็บอกว่าจากจุดที่เราอยู่และเราเห็น (กรกฎาคม 2568) เราได้ยินเสียงจากฝั่งไทยก่อน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับกองทัพ เพราะจุดที่เราอยู่นั้นได้ยินเสียงตอบโต้กลับจากฝั่งกัมพูชาตามมาภายหลัง แล้วระเบิดมาลงในฝั่งไทย ซึ่งการที่เราบอกไม่ตรงกับกองทัพ ก็ทำให้เราโดนด่า และนักข่าวที่มาสัมภาษณ์เราก็โดนร้องเรียนว่านำเสนอไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับทหารไทย

เขามาเล่าให้ฟังว่าโดนร้องเรียนแต่ไม่ได้กังวลอะไร เพียงแต่มาบอกให้ทราบว่า โดนร้องเรียนว่า “สัมภาษณ์คนซึ่งด้อยค่ากองทัพ” เขาโดนตั้งกรรมการสอบ ตอนนั้นเขาสัมภาษณ์เราจากในพื้นที่ภาคอีสาน

The People: ในฐานะสื่อมวลชน ในฐานะคนในพื้นที่ และในฐานะกรรมาธิการ ทางออกที่ควรจะเป็น คืออะไร

สุภลักษณ์: ในฐานะสื่อ ซึ่งเราเองก็เคยทำงานสื่อมวลชน เราคิดว่าสิ่งที่สื่อไทยบกพร่องในงานนี้ก็คือ ใช้เรื่องเล่าทางทหารมากเกินไป โดยไม่จำเป็น เช่นหลายคนที่เราเห็นมีทั้งนักข่าวสายทหาร หรือสำนักข่าวสถานีที่ออกแนวอนุรักษ์นิยม ก็จะไปเอารายละเอียดทุกอย่างที่อยู่ในการสงคราม ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการรบ เรื่องทางยุทธการ มาเผยแพร่ในรายละเอียด เช่น “เรายังยึดปราสาทตาควายไม่ได้ เราจะเอาคืนให้ได้” อะไรแบบนี้

แล้วคำว่า ‘เรา’ คือใคร คือทหาร หรือใคร ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าเป็น ‘เรา’ ในนั้นสักเท่าไหร่ คือเราไม่ได้อยากได้ปราสาทหิน แถวบ้านมีเยอะแล้ว ผมจะไปยึดทำไม ผมทำสวนทำไร่ การมีสงครามทำให้ผมลำบาก

สื่อมวลชนที่เผยแพร่ไปไกลขนาดนั้นจะทำให้ประชาชนลำบาก เพราะว่าการตื่นข่าว มีเยอะมาก บางทีก็ไม่ได้มีเหตุการณ์หรอก แต่ชาวบ้านกลัว เพราะกรีดยางอยู่ดี ๆ ก็มีข่าวแบบนี้ ถ้าเขาจะยึดแล้วเขาจะยึดตรงไหนเหรอ

บางคนพูดว่าจะทำอย่างนั้นวันนั้นวันนี้ ออกมาจากนักข่าวที่ใกล้ชิดกับทหาร ออกมาพูดไปก่อน พูดว่าเตรียมจะทำโน่นนี่นั่น คือถ้าถาม sense ของความเป็นข่าว ก็มีคำถามว่าเป็น ‘ข่าว’ ไหม ก็ไม่รู้ เพราะคุณตรวจสอบไม่ได้ ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือเปล่า

หรือบางคนไปวิเคราะห์ ราวกับเป็นผู้บัญชาการทหาร “จุดนั้นมีความเสี่ยงต่อการปะทะ” คุณรู้ได้อย่างไร บางคนอาจจะเคลมว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางการทหารตัวจริงเขาก็จะไม่พูดแบบนั้นในที่สาธารณะ ถ้าในที่ประชุมเสนาธิการจะวิเคราะห์ “จะมีเหตุปะทะวันนั้นวันนี้ อีกฝ่ายเสริมกำลังมาเท่าไหร่” อันนี้พูดในที่ประชุมได้ แต่ไม่มีใครเอามาพูดในที่สาธารณะ มันไม่ใช่ข่าวสำหรับสื่อมวลชน

แต่การนำเสนอข่าวปลายเดือนกรกฎาคม ทำให้เหมือนประชาชนไทยกำลังนั่งดูการประชุมทางยุทธการอยู่ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย เราไม่เคยเห็นสื่อมวลชนที่ไหนในโลกนี้เขาทำกัน แม้กระทั่งในสงครามใหญ่ ๆ เราก็ไม่เคยเห็นว่าสำนักข่าวต่าง ๆ ทั่วโลกที่เราติดตามกันอยู่ เขาเอารายละเอียดประมาณนี้มาออกข่าว ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่มันยังตรวจสอบไม่ได้

บางข่าวก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย นอกจากสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน ขณะประชาชนต้องเตรียมตัว

สิ่งที่ควรต้องทำคือ สื่อสารให้ประชาชนสงบ เพื่อประชาชนจะได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องแม่นยำว่าจะทำอย่างไร

เราไม่ตำหนิเพื่อนฝูงในวงการสื่อเวลาเกิดเรื่อง เพราะใคร ๆ ก็อยากได้ข่าวไปเขียน ไปรายงานออกอากาศ ทุกคนโทรหาเรา เราบอกว่ากำลังอพยพกำลังหนีภัยอยู่ แต่เพื่อนสื่อก็กำลังจะออกอากาศแล้ว อันนี้เราเข้าใจ แต่บางคนเป็นชาวบ้านก็ลำบาก มีนักข่าวอยากถามความรู้สึกตอนนั้น เวลานั้น อันนี้คงจะต้องยับยั้งชั่งใจกันนิดหนึ่ง

การทำงานก็ต้องมีหลักพอสมควร ทั้งสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญ คอมเมนต์เตเตอร์ นักวิเคราะห์อะไรก็ตามแต่ ผลกระทบในสิ่งที่ตัวเองพูดแม้ไม่กระทบในความเป็นจริง ก็สร้างผลกระทบทางจิตวิทยา เรื่องนี้ก็ควรต้องคิด เพราะคนรับข้อมูลข่าวสารไม่เหมือนกัน มีคนหลายแบบ มีความวิตกกังวลน้อยวิตกกังวลมาก 

แล้วกระทบกระเทือนถึงขนาดบางคนนอนไม่หลับ มีข่าวตลอดเวลา ขณะคนที่อยู่ไกลพื้นที่ปะทะ ก็พูดตลอดเวลาว่า “ต้องจัดการให้จบวันนี้” ซึ่งชาวบ้านก็ copy คำนี้ไป โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะจบ เพราะเมื่อฝ่ายหนึ่งยิง อีกฝ่ายก็ตอบโต้

โชว์รู้ออกสื่อ อาจส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน

สุภลักษณ์: เราบอกนายทหารหลายคนที่เจอ ยกตัวอย่างวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งมีคนพูดว่า “กัมพูชามีจรวด missile เป็นอาวุธ ยิงได้ไกล 300 กิโลเมตร” ยิงได้ถึงกรุงเทพฯ ยิงได้ถึงโคราช

คำถามคือ จะให้ประชาชนเตรียมอย่างไร คุณบอกว่ากัมพูชามีอาวุธยิงได้ไกลขนาดนี้ คุณบอกให้ประชาชนเตรียมตัว

ทั้งที่สิ่งที่คุณต้องทำในฐานะทหาร คือต้องตั้งระบบป้องกัน ไม่ใช่มาบอกให้ประชาชนมาป้องกัน เพราะชาวบ้านจะป้องกันได้อย่างไร เอาอะไรป้องกันตัว

วันนั้นเรากำลังขับรถอยู่กับภรรยา กำลังจะออกจากอำเภอกันทรลักษ์ไปอุบลราชธานี อย่างโกลาหล แล้วเห็นข่าวนี้ และยังมีคนบอกว่ามีอาวุธรุ่นที่ยิงได้ 200-300 กิโลเมตร วันนั้นจำได้ดี เลิ่กลักกันอยู่สองผัวเมียในรถ ไปไหนกันดีเราถึงจะพ้น ชาวบ้านจะต้องอพยพไปไหน จะต้องไปจังหวัดยโสธรกันเลยไหมถึงจะพ้น

คนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา แค่อยากจะโชว์ว่ากูรู้เรื่องนี้ คำถามคือ แล้วยังไง ชาวบ้านอย่างเราก็ไม่ได้มีความรู้มากมาย จะให้ระมัดระวังอย่างไร มันจะตกตรงไหนยังไม่รู้ แล้วเขาจะยิงหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจ

เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้ นักข่าวหรือผู้เชี่ยวชาญ อาจจะอยากโชว์ว่าตัวเองรู้ แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องซึ่งคุณไม่รู้แน่ชัด แล้วพูดไปก็มีแต่จะทำให้คนตื่นตระหนกแตกตื่น ในสภาวะที่คนตื่นกลัวอยู่

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

แนะสื่อมวลชนตั้งคำถาม

สุภลักษณ์: ไปถามแม่ทัพนายกองได้ว่า เงินที่สัญญาว่าจะให้ครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิตได้ 8 ล้าน ส่วนครอบครัวทหารได้ 10 ล้าน บางคนบ้านเสียหายเกือบทั้งหลัง ได้เงินมาไม่กี่หมื่น ไม่พอจะซ่อมบ้านได้ อันนี้ไม่มีใครพูดถึง

แทนที่นักข่าวจะถามว่า เราจะถล่มเขมรเมื่อไหร่ ควรถามว่า เงินชดเชยถึงมือประชาชนครบถ้วนแล้วหรือไม่ ถามชาวบ้านก็ได้ อันนี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งชาวบ้านพูดได้

ก่อนปะทะกันล่าสุดเดือนในธันวาคม ชาวบ้านจะเกี่ยวข้าวก็ลำบากอยู่แล้ว เพราะมีเสียง F16 บินตลอดเวลา แล้วรถเกี่ยวข้าวไม่กล้าเข้าไปเพราะถ้าเกิดถล่มระหว่างเกี่ยวข้าวจะทำอย่างไร จะทิ้งรถเกี่ยวข้าวซึ่งราคาสูงเอาไว้ในนาก็ไม่ได้

ความวิตกกังวล

สุภลักษณ์: ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ก็ตื่นตระหนกกันทั้งบ้าน ได้ยินเสียงเครื่องบินลาดตระเวน F16 คนไทยก็มีการส่งไลน์กันทั้งวัน คนฝั่งไทยก็กังวลว่าจะปะทะกันอีกหรือไม่

จากเดิม ถ้าพูดคำว่าปะทะ ชาวบ้านจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะปะทะกันด้วยปืนเล็กที่ภูมะเขือ แต่ปัจจุบันที่ปะทะกันคือปืนใหญ่ แล้วพลเรือนอาจจะเสียชีวิตมากกว่าทหาร เพราะวันปะทะวันแรก 24 กรกฎาคม เขตพลเรือนโดนเยอะ จึงไม่เป็นอันหลับอันนอนไม่เป็นอันทำมาหากิน ถ้าได้ยินเสียงอะไรแบบนี้

เพราะไม่ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นจะคืออะไร แปลว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความเคลื่อนไหวก็จะเกิดการปะทะตามมา ไม่ว่าฝ่ายไทยหรือฝ่ายกัมพูชาจะยิงก่อน คนได้รับผลกระทบคือชาวบ้านประชาชนในพื้นที่ชายแดน

หลังกรกฎาคมมาแล้ว เปลี่ยนรัฐบาลก็แล้ว สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น เพราะคนที่ทำงานในพื้นที่คือทหาร แล้วทหารเป็นคนควบคุมทั้งหมด เขาบอกว่าตอนนี้ยังมีสถานการณ์อยู่ คนที่มีสวนยางอยู่ไกลชุมชนไปทางภูมะเขือ ทหารไม่ให้ขึ้นไปกรีดยางแล้ว ความตึงเครียดยังมีอยู่ตลอดแนว

ถ้าเลยจากเนินเขาพระวิหารลงไปพื้นที่จะเป็นที่ราบ อยู่ประชิดกับทางกัมพูชา ทำไร่ในพื้นที่ติดกัน เพราะฉะนั้นเมื่อทางการบอกว่า ไม่จำเป็นอย่าขึ้นไปกรีดยาง คำว่า “ไม่จำเป็น” จากทางการนั้นสำหรับชาวบ้านคือ “ความจำเป็น” บางคนก็แอบขึ้นไป แต่กรีดได้ไม่นาน ไม่ตลอดไร่ พอกลัวก็รีบกลับลงมา บางครั้งกรีดทิ้งยังไม่ทันเก็บ ยางก็เสีย

จุดยืนในงานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา

สุภลักษณ์: กรรมาธิการ MOU ตั้งขึ้นประมาณเดือนสิงหาคม หลังเหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม แล้วมีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยอดีตกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (เสื้อเหลือง) ต่อมาพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคภูมิใจไทย ตอนแยกมาเป็นฝ่ายค้านด้วย

ดังนั้นเมื่อมีการเสนอหลายญัตติเข้าไปในสภา รวมถึงพรรคประชาชน (ส้ม) ก็เสนอ จากนั้นจึงมีการรวมทุกญัตติเข้าด้วยกันแล้วตั้งกรรมาธิการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ภายในวันเดียวว่าควรจะยกเลิก MOU หรือไม่ จึงตั้งกรรมาธิการพิจารณา เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชิญผู้เชี่ยวชาญผู้มีความรู้เข้ามานั่ง โดยสภาให้เวลา 3 เดือน

จุดยืนส่วนตัวเราเองซึ่งตรงกับอีกหลายคนในกรรมาธิการ คือ MOU ทั้ง 2 ฉบับยังมีประโยชน์อยู่

โดย MOU 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งทำมา 25 ปี แล้วก็มีผลงาน มีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ หาหลักเขตเจอแล้ว 45 หลัก จาก 74 หลัก ตกลงกันว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ เรียกว่า LiDAR ในการหาสันปันน้ำ เพราะสนธิสัญญาเขียนว่า เขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มี 3 ชนิด

1 สันปันน้ำ เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งหายากหน่อยเพราะผ่านมาร้อยปีแล้ว สภาพภูมิประเทศอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้หาลำบาก

2 ลำคลอง ซึ่งภาคตะวันออกจะมีเยอะ เป็นไปตามธรรมชาติ บางทีทางเดินแม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นปกติ ต้องไปหาใหม่

3 เส้นตรงที่เล็งระหว่างหลักต่อหลัก ตอนนี้หาหลักเขตแดนเจอแล้ว แต่เส้นตรงยังระบุไม่ได้ ต้องทำการสำรวจกันต่อ ทำงานภายใต้ MOU 2543

ฉะนั้น ถ้ามีการยกเลิก MOU 2543 โดยไม่มีเหตุอันควร แล้วงานที่ทำมาจะสูญเปล่า หรือจะอย่างไร

ส่วน MOU ปี 2544 ว่าด้วยเรื่องการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันซึ่งไหลทวีปคือพื้นที่ใต้น้ำ มีประเด็นเรื่องเกาะกูด ฝ่ายที่ต่อต้าน MOU เขาบอกว่ากัมพูชาลากเส้นเข้ามาทางเกาะกูด เขากลัวว่าจะเสียดินแดน จึงเรียกร้องให้ยกเลิก

ส่วนตัวเราพิจารณาว่า MOU นั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเกาะกูดเพราะเส้นที่ลากมาเป็นเส้นใต้น้ำ ส่วนเกาะกูดโดยสภาพเป็นเกาะอยู่ในเขตไทยและมีคนไทยอาศัยอยู่ หากมีการเจาะหาทรัพยากรใต้ดิน เช่น ขุดก๊าซ ถ้าหมดแล้วก็ถอนเครื่องมือออกไปก็จบ กัมพูชาไม่ใช่จะได้กรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่ไม่จำเป็นต้องยกเลิก MOU เพราะมีเรื่องแบ่งเขตทางทะเล

การมี MOU คือการบอกให้มีการเจรจากันเรื่องเขตแดน มีหลายระดับ มีกลไกความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา หลายชุด มีทั้งระดับรัฐมนตรี (GBC) ทั้ง 2 ประเทศ

ส่วน RBC เป็นการเจรจาของทหารระดับแม่ทัพภาคของทั้ง 2 ประเทศ เป็นเรื่องทางทหารโดยตรง จะจัดวางกำลังแบบไหน ห่างกันเท่าไหร่

และอีกระดับที่พูดกันมาก คือ JBC เป็นคณะกรรมการทางด้านเทคนิคที่จะดูว่าจะปักปันเขตแดนตรงไหน หลักเขตอยู่ตรงไหน เช่นที่บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จะรู้ว่าเขตใคร ต้องรู้ว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหนก่อน

ฉะนั้นเวลาเกิดเรื่องมีปัญหาหลายอย่างปนกัน จึงต้องเลือกว่าจะใช้การเจรจาชุดไหน

เพราะบางครั้งหลักเขตระบุฝั่งสยาม-ฝั่งกัมพูชาซึ่งปักมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็ถูกย้าย บางครั้งย้ายเพราะมีฝ่ายอยากได้ดินแดนเพิ่ม หรือบางกรณีชาวบ้านไม่ทราบว่ามีความสำคัญอย่างไร มองเพียงว่าเป็นสิ่งที่ขวางพื้นที่ทำมาหากินเขาก็ขุดออก

ประสบการณ์ในฐานะผู้ประสบภัยชายแดน

สุภลักษณ์: ก่อนเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ในไลน์หมู่บ้านมีการแจ้งว่า “สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ” เป็นคำของทหาร ซึ่งผู้ใหญ่บ้าน copy มาส่งต่อในไลน์หมู่บ้าน ความจริงมีการบอกกันล่วงหน้าว่า ถ้าเกิดเหตุ ชาวบ้านต้องอพยพไปไหน หมู่บ้านของเรานี่ให้ไปบ้านภูเงินซึ่งตรงนั้นห่างจากบ้านเราไปยี่สิบกว่ากิโลเมตร ไปทางศรีสะเกษ เขาบอกเส้นทางด้วย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าต้องใช้งานจริง ๆ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุขนาดนั้น

แต่พอวันที่ 23ได้ติดตามข่าวว่าลดระดับทางการทูต ก็เอะใจอยู่ เพราะพูดตามทฤษฎีเลยคือ เมื่อช่องทางทางการทูตถูกปิดลง ถ้าไม่สามารถคุยกันได้ทางการทูต ก็จะเกิดสงคราม นี่ว่ากันตามทฤษฎี

แต่ลดระดับการทูตวันที่ 23 พอวันที่ 24 เช้ายิงเลย ส่วนตัวเราเห็นว่า เหตุการณ์เร็วไปหน่อย อยู่ ๆ ลดระดับทางการทูต ทั้ง 2 ฝ่าย โดยกัมพูชาลดถึงระดับเลขานุการเอก ก็เป็นสัญญาณไม่ดี แต่ไม่นึกว่าจะปะทะกันวันรุ่งขึ้นเลย

มาทราบภายหลังว่าทางฝ่ายไทยก็เตรียมไว้แล้ว มันไม่ได้เกิดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

โดยอดีตแม่ทัพภาค 2 เอาเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นเกณฑ์ มีการกั้นรั้วไว้ จะปิดมาหลายครั้งแล้ว เพราะมีแต่ละฝ่ายมาแสดงพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

แต่การปิดคือสัญลักษณ์ของการเคลมดินแดน ขณะที่ยังไม่เป็นที่ยุติว่าปราสาทเป็นของใคร เขาบอกว่าปิดตอนดึก ๆ พอรุ่งเช้าก็มีเหตุการณ์ปะทะ

คืนวันที่ 23 กรกฎาคม ฝ่ายไทยประกาศแผน ‘จักรพงษ์ภูวนาถ’ ซึ่งคนทั่วไปคงไม่ได้เฉลียวใจว่านั่นคือการเตรียมปะทะ

วันที่ 24 กรกฎาคม ตอนเช้านั่งกินกาแฟอยู่บ้านในสวนกับภรรยา แล้วมีเสียงปืนดัง 8.20 น. ภรรยาถามว่าเสียงอะไร ตอนนั้นยังคิดว่าซ้อมยิงปืนมั้งเห็นเอามาตั้งไว้นานแล้วนี่ ไม่ยิงมันจะขัดลำกล้อง ก็พูดเรื่อยเปื่อยไปแต่จากนั้นมีเสียงยิงปืนถี่ขึ้นและหนักขึ้น ฟังดูแล้วคงไม่ใช่การซ้อมยิงปืนน่าจะเป็นการยิงกันจริง ๆ จึงถือถ้วยกาแฟรีบลงไปหลุมหลบภัย ในหลุมหลบภัยก็มีญาติที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ด้วย

หลุมหลบภัยนั่นก็เพิ่งสร้างเสร็จ 3 วันก่อนวันที่ 24 กรกฎาคม เพราะความจริงมีเหตุการณ์มาก่อน คือ 28 พฤษภาคม มีการปะทะกันที่ช่องบก อ.น้ำยืน ห่างไป 40 กม. ตอนนั้นมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต

ทหารฝ่ายไทยที่อยู่แถว ๆ นั้น เพิ่มกำลัง มีทหารไทยลงพื้นที่ ไปดูว่าจะตั้งปืนใหญ่ตรงไหน มีอยู่จุดหนึ่งที่อยู่ห่างจากสวนทุเรียนเราสัก 700-800 เมตร บ้านพักเราก็อยู่ในสวนนั้นแหละ เราอยู่กัน 3 ครอบครัวพี่น้อง อยู่คนละมุมของไร่

22 กรกฎาคม ทำบังเกอร์เสร็จ

23 กรกฎาคม ตัดทุเรียนไว้ในบ้านเตรียมส่งพัสดุ 24 กรกฎาคม

24 กรกฎาคม ระเบิดลง และมีการปะทะ

มีสัญญาณให้ต้องสร้างบังเกอร์

สุภลักษณ์: มีสัญญาณมาก่อน 24 กรกฎาคม ทหารมาบอกน้องชายของภรรยาว่า เขาไม่อยากให้อยู่ที่นี่เพราะจะไม่ปลอดภัย น้องชายภรรยาก็มาถามเราว่า “จะทำอย่างไรดีลุง ทหารไม่อยากให้อยู่” ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านก็เรียกเราว่าลุง

เราบอกว่า เราจะย้ายได้อย่างไร ทุเรียนกำลังจะแก่กำลังจะสุกและต้องกรีดยางทุกวันเป็นรายได้ของครอบครัว 

ทหารมาบอกเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะหลังจากในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่คลิปแพทองธาร ชินวัตร คุยโทรศัพท์กับฮุน เซน

ช่วงนั้นต้องไปดูทุเรียน เพราะญาติ ๆ กำลังจัดการเรื่องการส่งออนไลน์ทั้งส่งขาย และส่งแจกให้ชิม ซึ่งก็เก็บทุเรียนไปได้ 2-3 รอบแล้ว ขณะที่ทหารก็มาเตือนเรื่อย ๆ ก็มาคิดกันว่า สงสัยพวกเราต้องมีหลุมหลบภัย ก็เลยถามไปว่าช่วยมาทำบังเกอร์หลบภัยให้หน่อยได้มั้ย เขาก็ว่าไม่มีงบประมาณ

พอดีผู้ใหญ่บ้านภูมิซรอล หมู่ 2 สนิทกัน แกก็บอกว่า มีบ้านหลังหนึ่งเขาจะปรับปรุงบ้านอยากจะย้ายบังเกอร์ที่สร้างตั้งแต่เหตุการณ์ปี 2554 ออก “ลุงเอารถมาขนไปได้นะ ให้ฟรี” ก็โอเคตกลงจ้างรถไปขน จ้างรถแบคโฮล์มาขุด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ น้ำในห้วยขาดพอดี ขุดสระไปพร้อมกันเลยดีกว่า ก็เลยกลายเป็นที่มาของบังเกอร์ส่วนตัว หมดเงินไปหลายหมื่น แต่ก็ได้ใช้นะ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

วันที่ 23 กรกฎาคม เพิ่งตัดทุเรียนมากองในบ้าน แล้วล็อตที่ตัดวันที่ 23 กรกฎาคมก็เน่าระหว่างมีการปะทะ เสียหายไปทั้งหมดล็อตนั้น ตอนแรกคิดว่าวันที่ 24 กรกฎาคมจะไปส่งพัสดุ มีคนสั่งซื้อ จึงตัดทุเรียน ถ้าแก่จัดก็จะบอกลูกค้าที่เขาสั่งไว้นานแล้ว ส่วนยางพาราก็ยังกรีดยางถึงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม

ทุเรียนเดือนกรกฎาคมเป็นล็อตท้าย ๆ มันแก่จัดแล้ว โดยรวมปีนี้ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทำให้ขายได้น้อย

วันที่ 24 กรกฎาคม ครอบครัวลงหลุมหลบภัยประมาณแปดโมงกว่า เพราะได้ยินเสียงปืนใหญ่จากฝั่งเรา เสียงใกล้มาก ระหว่างคุยกันในครอบครัวว่าจะไปไหนต่อก็นึกถึงปั๊มน้ำมันซึ่งต่อมาโดนระเบิดด้วย แต่เช้าวันนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเหตุ

พอดีน้องภรรยาเคยเป็นทหารเกณฑ์ เขาให้ความเห็นว่า ทหารไม่มีทางยิงต่อเนื่องทั้งวัน เขาจะยิงประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วย้ายปืนออก ปืนใหญ่อัตตาจร ก็จะต้องย้ายไปเรื่อย เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามทราบว่าทหารตั้งปืนตรงไหน ญาติเราบอกว่าตอนเขาย้ายปืนเราค่อยเดินทางออกไป รวมเวลาอยู่ในหลุมหลบภัยประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่แปดโมงกว่าถึงสิบโมงกว่า ก็ออกจากหลุมหลบภัยแล้วเข้าไปปิดบ้านก่อนขับรถออกไป

ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไม่ไปจุดที่ฝ่ายรัฐแจ้งให้ไปอยู่หากมีการอพยพ เพราะคาดหมายได้ว่าประชาชนจะไปอยู่กันเยอะ แต่ครอบครัวเรายังมีกำลังทรัพย์พอจะไปอยู่จุดอื่น ๆ ได้

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

เราออกมาเช้า 24 กรกฎาคม ทุกคนต้องออกหมด ระหว่างขับรถอพยพออกมา นักข่าวก็โทรถามว่า ฝ่ายไทยบอกว่ากัมพูชายิงก่อน เป็นความจริงหรือไม่ เราก็ตอบว่า จากจุดที่เราอยู่ ได้ยินเสียงฝั่งไทยยิงปืนใหญ่ก่อนถึงเก้าโมงกว่า ต่อมาจึงได้ยินเสียงจรวด BM 21 จากฝั่งกัมพูชา อันนี้ทราบว่ามาจากฝั่งกัมพูชาเพราะบินข้ามหัวเราไป เสียงคล้าย ๆ เครื่องบิน ตอนที่เราอยู่ในบังเกอร์ ยังไม่รู้ว่าจากฝั่งกัมพูชาจะไปตกที่ไหนบ้างเพราะมีเยอะมาก

ส่วนตัวที่เจอความเสียหายหนักสุด คือ สวนยางซึ่งอยู่ใกล้บ้านภูมิซรอล มีลูกปืนใหญ่แตกกลางอากาศ แล้วลงมาโดนกิ่งต้นยางหักไปสิบกว่าต้น เป็นความเสียหายที่เราเจอจากการปะทะ ที่กังวลคือที่แปลงนั้นยังมีระเบิดอยู่ไหม เพราะเป็นที่มีน้ำล้อมรอบ อาจจะมีบางลูกตกน้ำแล้วไม่ระเบิด อยากให้เจ้าหน้าที่มาดูว่ายังมีระเบิดหรือไม่

ที่บ้านภูมิซรอลเพิ่งมีการกู้ BM 21 อีกลูกที่ยังไม่ระเบิด จากการปะทะเดือนกรกฎาคม ปะทะ 4-5 วันนั้น บ้านภูมิซรอลเจอหนัก เราไปดูมีอยู่ลูกหนึ่งระเบิดลงข้างกุฏิพระ พอดีหลวงพ่อออกไปก่อน บ้านภูมิซรอลอยู่ใกล้ที่สุด ก็จะโดนบ่อย ที่ดินเราก็อยู่ใกล้ตรงนั้นห่างกันกิโลเมตรเดียวระหว่างสวนยางพารากับบ้านภูมิซรอล

The People: ทหารดูอาวุธที่ตกค้างหมดแล้วหรือไม่

สุภลักษณ์: อาจจะยังมีตกค้างอยู่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าระเบิดไปตกที่ไหนบ้าง บางทีก็เห็นรอย บางทีก็ไม่เห็นรอย ถ้าตกในพงหญ้าก็ดูไม่ออก ถ้าตกน้ำยิ่งแล้วใหญ่ดูไม่ออก

บ้านที่อาศัยอยู่มีสวนยางและสวนทุเรียนอยู่ ค่าเสียโอกาสคิดเป็นเงินก็ยากอยู่เพราะรายได้ต่อวันหนึ่งก็เยอะ

อยู่อำเภอกันทรลักษ์โดนหนักสุด มีเขตแดนติดกับจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา แล้วระเบิดลงเขตพลเรือนเยอะ โดนโรงพยาบาล โดนร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน บ้านผือ ซึ่งห่างจากบ้าน 10 กิโลเมตร

The People: ถ้าไม่ปะทะตอนปลายเดือนกรกฎาคม จะสามารถเปลี่ยนรัฐบาลจากแพทองธาร เป็นอนุทินได้หรือไม่

สุภลักษณ์: คงไม่ถึงขนาดเปลี่ยนรัฐบาล เพราะความจริงน่าจะจบตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนก่อนคลิปเสียง 18 มิถุนายน

เพราะวันที่ 7 มิถุนายน สมช.ประชุมกัน แล้วให้อำนาจแม่ทัพในการปิดด่าน ตอนนั้นยังไม่ปิดสนิท แล้วก็วันที่ 8 มิถุนายน พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 กับพล.ท.สรัย ดึก ซึ่งเป็นรองผบ.ทบ. กัมพูชา เขาคุยแล้วตกลงกันแล้วว่า คูเรตที่อยู่ตรงนั้น ให้ถม แล้วปรับกำลังออกไป จากจุดที่ปะทะ

เขาปะทะ 28 พฤษภาคมก่อน ต่อมามีการตกลงและดำเนินการแล้วคูเรตก็ถมแล้ว ถ่ายรูปมาให้นักข่าวดู ว่าคูเรตที่อยู่ตรงนั้นถมแล้ว

ถ้าวันนั้นไทยตอบสนองแบบสันติ ก็เปิดด่านปกติ แพทองธารกับฮุน เซน ไม่ต้องโทรคุยกัน เพราะด่านเปิด ทุกอย่างกลับคืนปกติ ส่วนปัญหาเขตแดนก็อยู่ในกระบวนการปักปันกัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แบบนั้น ทหารไทยปิดด่านต่อไป สมัยพล.ท.บุญสิน พาดกลาง เป็นแม่ทัพภาค 2 ซึ่งความจริงก็เป็นมติสมช. ให้อำนาจแม่ทัพในการผ่อนคลายให้กลับมาเป็นสภาพปกติ แต่ทหารไม่ทำ รัฐบาลก็สั่งไม่ได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่า เราเข้าสู่ภาวะที่ขัดแย้งกันไปเรื่อย ๆ แล้วหลังจากนั้นก็มีทหารเข้าไปเหยียบกับระเบิด

ในสมัยรัฐบาลแพทองธารรัฐบาลบังคับบัญชากองทัพไม่ได้ จึงให้อำนาจเต็มผ่านมติสมช. ให้อำนาจแก่แม่ทัพในการจัดการชายแดน

สาเหตุทำไมขัดแย้งกัน ทำไมฮุน เซนโมโห เพราะฮุน เซนมองว่า กัมพูชาทำตามที่ไทยขอร้องแล้ว ไทยก็ควรจะตอบสนองในทางบวกเช่นกัน คือ เขาถอนทหาร เขาถมคูเรต แล้ว สิ่งที่เราต้องทำ คือทำให้ด่านเปิดเป็นปกติ เพราะภัยตรงนั้นไม่มีแล้ว เราใช้เพื่อจัดการเรื่องนั้น เขาก็ทำให้แล้ว

แต่ปรากฏว่า ไทยไม่ทำ แล้วพอแพทองธารคุยโทรศัพท์กับฮุน เซน โดยแพทองธารบอกว่า “ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”

จะสังเกตได้ว่า คำที่ฮุน เซนพูด คือ “อยากให้ชายแดนเปิดปกติเหมือนก่อนเกิดเหตุ” เขาไม่ได้ขออะไรมากกว่านั้น

แพทองธารจึงมีคำว่า “ไม่อยากให้ Uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค 2 อย่างนี้ค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือโกรธ”

ซึ่งฮุน เซนไม่ฟังอยู่แล้วเพราะคุณเป็นรัฐบาล แล้วรัฐบาลซึ่งบังคับบัญชาแม่ทัพไม่ได้ เหมือนจักรพรรดิบังคับขุนศึกไม่ได้นี่มันคืออะไร ขุนศึกก็จะย้อนมาจัดการคุณใช่ไหม นี่คือสภาพที่เราคิดว่าเป็นต้นตอมาก ๆ

ฝ่ายไทยพยายามอธิบายว่าเขมรอยากจะมารุกเราโน่นนี่นั่น ถ้ามองอย่างเป็นเหตุเป็นผล จะเห็นว่ากัมพูชาเป็นประเทศเล็ก แล้วเขาต้องอาศัยไทยเยอะ หลายเรื่อง เรื่องเศรษฐกิจด้วย คนกัมพูชาอยู่ในไทยเป็นล้านคน ทำงานตัดอ้อยแถวภาคตะวันออก เขาจะอยากทะเลาะกับไทยทำไม เป็นที่ทำมาหากินของเขา

แต่รัฐบาลอนุทินแย่กว่านั้น คือให้อำนาจทหารไปเลย

ทหารได้อำนาจไปปะทะ

สุภลักษณ์: เมื่อมีสงคราม อำนาจก็อยู่กับทหาร อันนี้เป็นทฤษฎีทั่ว ๆ ไป ทุกคนรู้ว่าเมื่อมีสงคราม ทหารจึงมีบทบาท ถ้ามีสันติภาพไม่มีสงคราม ทหารบางคนก็อยู่บ้าน ไม่มีบทบาท อาจจะเล่น TikTok ทั้งวัน

เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกร้องว่า ความขัดแย้งทางอาวุธ อย่างไรรัฐบาลในฐานะผู้นำ ต้องคิดว่าตอนนี้เราไม่ได้อะไรจากความขัดแย้งกับกัมพูชา

ถามว่าแผ่นดินตรงไหนที่จะเสียหรือจะได้ ที่พูดกัน “ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” คือตรงไหน แล้วจะเอามาใช้ประโยชน์อะไร

เราอยู่ในกรรมาธิการ เราทราบดีว่า วิธีการเจรจาสามารถปกป้องดินแดนไทยได้หลายร้อยไร่แล้ว ด้วยการเจรจา ด้วยการดูเอกสารหลักฐาน ที่ตรงไหนเคยเป็นของไทยก็ยังเป็นของไทยอยู่

แต่ตรงกันข้าม กำลังทหารคุณรักษาได้ไม่นานหรอก ยกตัวอย่างเขาพระวิหารที่จอมพล ป. พิบูลสงครามไปยึดไว้ ยึดอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ไปฟ้องศาลโลก ก็ต้องคืนไป ก็ไม่ใช่ของไทยอยู่ดี

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: “ปะทะทางทหารไม่ทำให้จบ แต่เป็นการเริ่มต้นเพื่อไปจบที่เจรจา”

เพราะฉะนั้น เราจะเสียกำลังทหาร เสียชีวิตทหารไปทำไม เขาเป็นลูกหลานเราทั้งนั้น เอาเขาไปเสี่ยงทำไม ในเมื่อเราสามารถใช้ทักษะทางการทูตเจรจาได้ นักการทูตไทยเก่งมีความสามารถเจรจามาได้เยอะแยะ ที่ดินไหนควรเป็นของเราก็เป็นของเราอยู่ดี

แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา แม้เอากำลังไปยึดก็ต้องถอนออกมา เช่นเดียวกันกับคนที่เรียกร้องพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ถามว่าช่วงประวัติศาสตร์ 3 เมืองนี้เคยเป็นของไทยกี่ปี ก็ 5 ปีสมัยจอมพล ป.

ต่อมาพอญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยก็ต้องคืน 3 เมืองนั้น ตอนนั้นจอมพล ป. อยู่ฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น ตอนนั้นไทยยังมีพันธมิตรคือญี่ปุ่น 

ปัจจุบัน ถ้าเราไปยึด 3 เมืองนั้น ถามว่าใครเข้าข้างเราบ้าง ญี่ปุ่นก็ไม่มีกำลังทหารมาช่วยอย่างสมัยนั้น

อเมริกากับจีนจะเข้าข้างไทยไหม ทหารต้องคิดว่าเราไม่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนี้ได้ตลอดเวลา ที่จะให้ประชาชนรุกฮือไปยึดดินแดน

ในโลกความเป็นจริงทุกวันนี้อาศัยซึ่งกันและกัน การทะเลาะเบาะแว้งมีแต่ทำลายทั้งคู่ ทุกวันนี้รัสเซียยังติดหล่มยูเครนยังไม่จบ ประเทศที่ติดหล่มสงครามมีแต่ถดถอยไม่ได้เจริญขึ้น

คนที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่ทหารตำแหน่งใหญ่ ๆ ส่วนทหารตำแหน่งน้อย ๆ กับคนในพื้นที่ชายแดนก็ตายไป แล้วนี่มาปะทะกันอีกเดือนธันวาคม จบไหม ไม่จบ วนหลูบอยู่อย่างนี้แหละ ไม่มีวันจบ

 

สัมภาษณ์: ฟ้ารุ่ง ศรีขาว

ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน