01 เม.ย. 2564 | 12:01 น.

“ก่อนหน้านั้นเราเป็นคนที่ดูหนังแทบทุกอาทิตย์ ในโรงด้วย แผ่นด้วย วันหนึ่งเราตกใจว่า เฮ้ย! นี่เราไม่ได้เข้าโรงหนังเลยเป็นเวลาหลายปี และสุดท้ายเป็นสิบปีมั้ง ไม่ได้เข้าเลย” หลายคนอาจคุ้นหน้า ‘ธเนศ วรากุลนุเคราะห์’ จากหลากบทบาทในภาพยนตร์และซีรีส์ดัง ไม่ว่าจะเป็นบทบาท ‘ธนา’ จาก ป๊อปอาย มายเฟรนด์ ‘ผู้คุม’ จากโฮมสเตย์ ‘นักสืบ’ จากเลือดข้นคนจาง หรือบทบาท ‘พ่อ’ จากฉลาดเกมส์โกง หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2528 ‘ธเนศ’ หรือ ‘เอก’ คือเด็กหนุ่มที่หลงรักในภาพยนตร์ แต่จับพลัดจับผลูได้ทำงานดนตรี และมีอัลบั้มเปิดตัวภายใต้สังกัดไนท์สปอตอย่าง ‘แดนศิวิไลซ์’ (2528) ที่เป็นที่ฮือฮาในฐานะอัลบั้มโปรเกรสซีฟร็อกชั้นดีอีกอัลบั้มของไทย ตามมาด้วย ‘คนเขียนเพลง บรรเลงชีวิต’ (2530) ก่อนย้ายค่ายมาที่แกรมมี่ และปล่อยเพลงอีกสองอัลบั้ม คือ ‘กดปุ่ม’ และ ‘ร็อกกระทบไม้’ จากนั้นจึงแยกตัวออกมาก่อตั้ง ‘Music Bugs’ ค่ายเพลงอิสระหน้าใหม่ที่มีศิลปินชูโรงอย่าง ‘บอดี้สแลม’, ‘บิ๊กแอส’ และ ‘ลาบานูน’ The People ชวนธเนศคุยถึงวันวานในวงการดนตรี เส้นทางชีวิตใน ‘รักแรก’ ของเขาอย่างภาพยนตร์ วันที่หยุดงานเพื่อไปเลี้ยงลูก ค้นพบหลักแห่งธรรม และคืนวงการหนังไทยด้วยความตั้งใจเพียงประการเดียว “เราตั้งใจไว้ว่าจากวันนี้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร จะทำแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่นโดยส่วนเดียวเท่านั้น” The People: ย้อนเล่าเรื่องราวในวัยเด็ก อะไรคือจุดเริ่มต้นของธเนศ ทราบว่าเป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วเข้ามาในกรุงเทพฯ และเริ่มต้นเส้นทางสายอาชีพของคุณได้อย่างไร ธเนศ: เป็นเด็กต่างจังหวัด สมุทรสงคราม ชอบดูหนังกลางแปลง งานวัด ชอบฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ รู้จักไหม? (หัวเราะ) นั่นละ ละครวิทยุ เพลงลูกทุ่ง เพลงไทยสากลก็มีบ้าง แต่ฟังเพลงลูกทุ่งมากกว่า แล้ววิ่งเล่นกระโดดท้องร่อง กระโดดแม่น้ำลำคลองตามปกติ ประมาณอายุเท่าไรจำไม่ได้แล้ว ป.6 ครอบครัวย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่แถวฝั่งธนฯ ตลาดพลู ไอความชอบแบบเดิม มันทำได้แค่ไม่กี่อย่างแล้ว ไม่มีท้องร่องให้กระโดดมากนัก พอมี แต่ว่ามันไม่ลุยเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีสวนให้เดิน เราเดินไปโรงเรียนเป็นหลายกิโลฯ เหมือนกันนะ เดินไปโรงเรียนเดินกลับ ธรรมดาเลย แล้วก็มีเรือหางยาว มีเรือโยง บ้านอยู่ริมน้ำ พอมากรุงเทพฯ ก็คลองเล็กใช่ไหม ก็กระโดดน้ำได้บ้าง แต่ว่าไม่เหมือนก่อน แล้วก็ด้วยความที่ครอบครัวย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นห่วง ก็ไม่ปล่อยเหมือนเดิมแล้ว เดิมไปไหนมาไหนก็ไม่ได้สนใจ กระโดดไปนู่นมานี่ คราวนี้เขาก็ระวัง ก็กลัว ห่วง เพราะว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัดกัน ก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไร ก็เลยเหลือกิจกรรมที่ยังทำได้เหมือนเดิมคือการดู ทีนี้ไม่ใช่หนังกลางแปลงแล้ว งานวัดก็น้อย เพราะกรุงเทพฯ แม้ฝั่งธนฯ สมัยโน้นก็ไม่ได้เยอะเหมือนต่างจังหวัด ก็เหลือทีวี วิทยุ อันนั้นคือเป็นกิจกรรมหลัก ชีวิตมันก็เลยผูกพันกับสิ่งนี้มากขึ้น ยิ่งเหมือนเด็กต่างจังหวัดมาอยู่กรุงเทพฯ เนี่ย คนที่เป็นแบบนี้จะเข้าใจดี ความรู้สึกว่าเด็กบ้านนอกมาอยู่กรุงเทพฯ ถึงแม้ไม่ใช่จังหวัดไกลมาก แต่ว่าด้วยความที่เราไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ มันจึงเป็นความรู้สึกแปลกแยกเล็กน้อย มันก็เลยมีโลกส่วนตัว ก่อร่างเป็นตัวเป็นตนเราขึ้นมา โดยเชื่อมโยงกับโลกข้างนอกผ่านเสียงเพลง รายการทีวี วิทยุ แน่นอนมีเพื่อน ๆ แต่ว่าก็เพื่อน ๆ แถวนั้น ไม่ได้กระจายไปมากนัก แล้วก็ชีวิต เรียนโรงเรียนก็เรียนโรงเรียนไม่ไกลจากบ้าน ซึ่งใช้วิธีเดินเหมือนเดิม เดินไปโรงเรียน เดินกลับ เราไม่เคยนั่งรถไปโรงเรียนเลยจนกระทั่งจบ ม.3 ขึ้นรถไปเรียนครั้งแรกก็มานี่เลย สยามสแควร์เลย ข้างจุฬาฯ เลย อุเทนถวาย นั่นเป็นครั้งแรกที่นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน (หัวเราะ) นั่นแหละชีวิตก็ใช่ไหม ก็เป็นโลกกว้างอีกอย่าง พอมาถึงตรงนั้นปั๊บ ทีนี้ก็เป็นอีกอย่างเลย โลกเปลี่ยน พอเลิกเรียนก็สยามสแควร์แทบจะทุกวัน ดูหนังโรงใหญ่ละ สยาม ลิโด้ สกาล่า The People: จากการที่เคยเป็นเด็กที่ชอบดูหนังฟังเพลงวิทยุ เริ่มเข้ามาเป็นฝ่ายผลิต เข้าเป็นส่วนหนึ่งในวงการนี้ได้อย่างไร ธเนศ: คือมันเริ่มที่ว่า พอเราชอบเราสนใจตั้งแต่อยู่ต่างจังหวัด เวลาเขามีรับประกวดร้องเพลงตามต่างจังหวัดก็เคยขึ้นไปประกวด แต่พอประกวดปั๊บ เสร็จแล้วเราก็ไปดูหนังต่อ ไปดูอะไร ก็ไม่รู้ว่าเขาประกาศให้รางวัลอะไร ติดรอบหรือเปล่า ไม่รู้ นั่นจำได้ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นพอมาถึงเนี่ย เราก็ดูไป ๆ เรารู้สึกว่า เราอยากเป็นแบบนั้น ก็เหมือนเด็กทั่วไปนั่นแหละ ไม่ได้จริงจังมาก มาสังเกตตัวเองจริง ๆ แล้วเนี่ย เอาเข้าจริงแล้วเราไม่ได้ชอบการร้องเพลงเท่ากับการแสดง เราไม่ได้ชอบเพลงเท่ากับภาพยนตร์จอใหญ่ ๆ จอใหญ่ด้วยนะ ไม่ใช่ทีวี แต่ว่าโอกาสที่จะไปจอใหญ่มันก็ยาก ทีนี้พอไปเรียนที่อุเทนฯ ในหนังสือพิมพ์เขาประกาศรับสมัครนักแสดงจำนวนมาก เป็นละครเวทีการกุศลเพื่อสร้างหอสมุดวชิรญาณ เมื่อตอนนั้น ประมาณปี 2500 อืมม์... น่าจะ 19 หรือ 20 เนี่ย หรือ 18 เนี่ย จำไม่ได้แล้ว เราก็เลยไปสมัคร คือเพื่อน ๆ งงกันหมดเลย เพราะว่าทุกคนเป็นเด็กช่างกัน เราก็กระโดดข้ามรั้วจากอุเทนฯ ไปที่เขารับสมัครที่คณะอักษร เราก็ไป Try Out ไปนู่นนี่ แล้วก็ได้รับเลือก ด้วยความตั้งใจว่า เออ...เขารับจำนวนมาก ไปเล่นเป็นอะไรก็ไม่รู้อะ เป็นต้นไม้ ก้อนหินอะไรก็เอา เพราะว่าละครเวทีมันต้องใช้คน ตรงนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มที่เราได้ไปรู้จักบุคคล ซึ่งวันนี้เป็นบุคคลสำคัญในวงการบันเทิงหลายคน พอเล่นตอนนั้น อันนั้นคือเล่นที่โรงละครแห่งชาติ เป็นละครใหญ่ เล่นหลายรอบมาก เรื่อง ‘มัทนะพาธา’ ‘มัทนะพาธา’ เป็นละครที่มีภาคสวรรค์ ภาคพื้นดิน อะไรแบบนี้ เดิมเราได้รับบทเป็นเทวดาอยู่ภาคสวรรค์ แต่ว่าทำไปทำมา เขากำลังหาบทที่เป็นลูกศิษย์วัด หาไม่ได้ บังเอิญเราไปกับเพื่อนอีกคน เขาเห็นว่าสองคนนี้รู้จักกัน ก็เลยลองชวนเพื่อนเราว่าลองเล่นด้วยกันสิ เพื่อนก็ไม่เคยเล่น แล้วก็ไม่ได้อยากเล่น เราบอกเหยก็มาช่วยกัน มาลองดูหน่อย ปรากฏว่าด้วยความเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว มันเลยเข้าขากัน เขาก็เลยเปลี่ยนให้เราเล่นเป็นลูกศิษย์วัด เป็นเด็กวัดซะงั้น จากเทวดา ตกสวรรค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แล้วก็กลายมาเป็นลูกศิษย์วัด มัทนะพาธาเป็นบทพระราชนิพนธ์ที่ต้องใช้คำฉันท์ คำคล้องจอง เป็นบทกวี แต่ว่ามีตัวละครแค่สองตัวเท่านั้นที่พูดธรรมดาคือลูกศิษย์วัด (หัวเราะ) เราก็พูดใส่มุกอะไรก็ได้ ผู้กำกับบอกลุยไปเลย อันนั้นคือเรื่องแรก แล้วเราก็เริ่มเล่นละครโทรทัศน์ของคุณปนัดดา กัลย์จาฤก ตอนนั้นมีละครสด ๆ เล่นกันสด ๆ เลย ตอนประมาณ 4 ทุ่ม สดหมายความว่าทุกอย่างสดหมดเลย ผิดก็ผิดกันสด ๆ เลยนะ สองเดือนครั้งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งเนี่ย คุณปนัดดาก็เปลี่ยนเรื่องเทคโนโลยี เรื่องการบันทึกเทป เริ่มมีแล้ว ก็ทำละครบันทึกเทปครั้งแรกใช้ชื่อคณะส่งเสริมศิลปิน เป็นซิตคอม เรื่องแรก ๆ ในยุคนั้นของเมืองไทย ชื่อ 38 ซอย 2 เป็นตอน ๆ เป็นครอบครัว มีคุณพ่อคุณแม่ แล้วมีพี่น้องสามคน มีพี่แก้ว เราเป็นพี่ก้อง แล้วก็มีน้องก้อย เราเป็นทีมใหม่หมดเลย เป็นทีมนักศึกษาอักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์มาเขียนบท มันเลยทันสมัยในยุคนั้น มีมุกมีอะไร ไม่ใช่ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ หรือเรื่องผัวเมีย เมียน้อยเมียหลวงอะไร ตั้งแต่ตอนนู้นก็มีแล้วนะ ทุกวันนี้ยังมีเลย คือมันเป็นอีกแบบ เป็นเรื่องแฟมิลี่ วัยรุ่น ปัญหาของวัยรุ่นสามคนนี้แหละเป็นหลัก นี่คือเรื่องแรกที่เราเริ่มเขียนบท ก็เขียนมาเลย 1 ตอน นอกจากนั้นเรายังทำเพลงแต่งเพลงด้วย ในเรื่องเราก็เป็นวัยรุ่นไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง เพลงนี้เป็นเพลงบอกรักผู้หญิงคนนั้นในเรื่อง ชื่อเพลง นกน้อย ยังจำได้เลย อันนั้นก็คือที่มาก็เริ่มทำ เราไม่เคยทำมาก่อน และก็ไม่เคยรู้สึกว่าทำได้หรือทำไม่ได้ คือทำไปเลย แล้วมันก็ได้ (หัวเราะ) อันนี้คือที่มาจากคำถามที่ว่าเข้ามาอยู่ในวงการได้อย่างไร รวมทั้งวงการเบื้องหลังด้วย แล้วหลังจากนั้นมันก็มีอีกเยอะแยะมากมาย