20 ต.ค. 2568 | 18:15 น.

KEY
POINTS
อันเนื่องมาจากพระธาตุโนนตาลล้ม!!!
ตามที่เราจะเห็นได้จากภาพเผยแพร่ทางสื่อมวลชน พระธาตุโนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ที่มีข่าวล้มเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมา มีลักษณะรูปแบบเป็นพระธาตุเจดีย์จำลองแบบพระธาตุพนม ต้นแบบอยู่ที่วัดพระธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
พระธาตุเจดีย์รูปแบบนี้เป็นที่นิยมสร้างกันมากในหมู่ชุมชนลาว จนเกิดเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาว (คนลาวจะนิยมเรียกเจดีย์ที่บรรจุอัฐิว่า ‘พระธาตุ’ หรือ ‘ทาด’ หมด ไม่ได้จำแนกว่าเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเรียก ‘พระธาตุ’ แล้วเรียกเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของคนทั่วไปว่า ‘สถูป’ หรือ ‘เจดีย์’ เฉย ๆ เหมือนอย่างที่คนภาคกลางนิยมกัน)
ถ้าเจอเจดีย์รูปทรงแบบนี้ที่ใด ก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ชุมชนอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์ดังกล่าวนี้คือ ‘ชุมชนลาว’ หรือชุมชนของคนสืบเชื้อสายมีเทือกเถาเหล่ากอแต่เดิมเป็นลาว บางที่ไม่มีพระธาตุเจดีย์ ก็สามารถไปส่องดูโกศธาตุตามกำแพงวัดได้ เจดีย์รูปแบบนี้ยังนิยมใช้เป็นที่บรรจุอัฐิกันจนถึงปัจจุบัน
พระธาตุโนนตาลที่อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ก็เช่นกัน อายุกว่า ๑๒๑ ปี ย้อนหลังกลับไปถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ คือในเรือนพ.ศ.๒๔๔๗ ตามที่มีจารึกระบุศักราชแรกสร้างเอาไว้ สมัยนั้น (รัชกาลที่ ๕) เป็นอีกช่วงที่มีการสร้างเจดีย์รูปแบบนี้กันมาก
ในภาคอีสาน อาจจะไม่แปลกเพราะคนลาวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของพื้นที่ แต่ในภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคเหนือตอนล่าง ตลอดจนภาคใต้ตอนบน เราก็ยังสามารถพบเจดีย์รูปแบบนี้ แน่นอนว่านั่นก็สืบเนื่องมาจากการที่ชุมชนอันเป็นที่ตั้งของเจดีย์ดังกล่าวนั้นเป็นชุมชนลาวเช่นกัน
เจดีย์นี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มนิยมสร้างกันในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ พระธาตุพนมเป็นพระธาตุเจดีย์เก่าโบราณ สันนิษฐานกันว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเลยด้วยซ้ำ ร่องรอยหลักฐานมีมากมายทั้งรูปแบบจารึกและตำนานซึ่งบันทึกเล่าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อคนลาวจากอีกฝั่งแม่น้ำของ (โขง) ถูกกวาดต้อนเข้ามาสยามเป็นอันมาก ในช่วงแรก พ.ศ.๒๓๒๒ (สมัยกรุงธนบุรี) รูปแบบเจดีย์ดังกล่าวนี้ก็ยังไม่แพร่หลายลงมายังภาคกลาง แต่ในช่วงหลังพ.ศ.๒๓๗๐ (สมัยรัชกาลที่ ๓) เมื่อเสร็จศึกเจ้าอะนุวงลง พบว่าเจดีย์รูปแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมสร้างกันมาตามลำดับ
เจดีย์แรกที่สร้างขึ้นนั้นคือเจดีย์ตั้งอยู่ขนาบข้างมณฑปพระพุทธบาท สระบุรี เป็นพระธาตุเจดีย์ที่มีหลักฐานว่า ‘กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ’ วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๓ (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้มีการเฉลิมพระนามใหม่ว่า ‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ เป็นพระนามสุดท้าย ดังนั้นลำดับถัดไปจะใช้พระนามสุดท้ายดังกล่าวนี้เมื่อเอ่ยถึงพระองค์) ทรงมีพระราชโองการให้สร้างขึ้นไว้ เจดีย์นี้นับเป็นเจดีย์รูปแบบพระธาตุพนมรุ่นแรก ๆ ที่สร้างขึ้นในภาคกลาง
เจดีย์รูปแบบนี้ปกติคนลาวจะสร้างขึ้นไว้เป็นอัตลักษณ์ชุมชนของตนนั้นไม่แปลก แต่เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ซึ่งเป็นเจ้านายระดับสูงชั้นกษัตริย์วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๓ ทำไมจึงทรงให้สร้างเจดีย์รูปแบบนี้ขึ้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้สร้างไว้ในวัดหลวงสำคัญอันเป็นหมุดหมายการแสวงบุญของพระบรมวงศานุวงศ์จักรีอย่างวัดพระพุทธบาท สระบุรี อีกด้วย
เราทราบว่าวังหน้าในช่วงหลังศึกเจ้าอะนุวง มีกำลังคนเป็นลาวกันมาก นั่นเพราะวังหน้าเป็นกลุ่มหลักที่มีบทบาทในศึกเจ้าอะนุวง โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงได้รับแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งเป็น ‘จอมพยุหะ’ หรือก็คือแม่ทัพใหญ่สูงสุดในศึกเจ้าอะนุวง
เราอาจจะทราบกันดีถึงบทบาทของแม่ทัพใหญ่อีกท่านหนึ่งคือ ‘พระยาราชสุภาวดี’ (สิงห์) ผู้ซึ่งต่อมาหลังเสร็จศึกเจ้าอะนุวงจะได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบเป็น ‘เจ้าพระยาบดินทรเดชา’ (สิงห์) แต่ที่จริงในสงครามระหว่างกรุงเทพ-เวียงจัน ครั้งนั้น แม่ทัพใหญ่สูงสุดตัวจริงคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ผู้นี้ต่างหาก
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นแม่ทัพรอง และเป็นตัวแทนของฝ่ายวังหลวง เป็นตัวแทนไปรบต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เข้าใจอะไรมากขึ้น จะขอจำแนกกองทัพฝ่ายสยามสมัยนั้นดังนี้
(1) ทัพหลวงมีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพใหญ่ เกณฑ์คนไปจากหัวเมืองปักษ์ใต้ แถบกุยบุรี ปราณบุรี บางสะพาน ท่าชนะ ท่าแซะ ชุมพร และหัวเมืองตะวันตก เช่น เมืองเพชรบุรี ราชบุรี ท่าจีน และแม่กลอง (‘ท่าจีน’ นี้ภายหลังรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า ‘สมุทรสาคร’ และ ‘แม่กลอง’ ก็ทรงเปลี่ยนเป็น ‘สมุทรสงคราม’ ในคราวเดียวกัน) ทัพนี้เป็นทัพหลักยกไปทางสระบุรีข้ามเข้าใหญ่ดงพญาไฟไปทางนครราชสีมา
(2) ทัพหลวงมีพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เป็นแม่ทัพ ยกไปตั้งเกณฑ์ผู้คนจากหัวเมืองตะวันออกแถบปราจีนบุรี นครนายก กบินทร์บุรี วัฒนานคร เมื่อได้คนเข้ากองทัพตามหมายเกณฑ์แล้ว พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ก็ยกข้ามเขาใหญ่ที่ช่องเรือแตกไปยังเขตอีสานใต้ แล้วไปบรรจบกับทัพหลวงของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพที่นครราชสีมา
(3) ทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีเมืองพิษณุโลก พิไชย สวรรคโลก ยกไปทางเพชรบูรณ์ ไปบรรจบกับทัพหลวงที่เมืองพานพร้าว (ในเขตหนองคายปัจจุบัน)
(4) ทัพล้านนา หรือที่สยามเรียก ‘ทัพลาวพุงดำ’ มีเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ ยกลงใต้มาที่ระแหงแล้วตัดไปทางพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ตามลำดับ
(5) ทัพหลวงพระบาง เนื่องจากสมัยนั้นยังเป็นยุคแตกแยก เวียงจัน จำปาสัก และหลวงพระบาง ถือเป็นคนละอาณาจักร ทั้งสาม (เวียงจัน จำปาสัก หลวงพระบาง) สวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อเจ้าลาดซะบุดโย้ โอรสของเจ้าอะนุวงปราบขบถพระสาเก็ดโง้งที่จำปาสักได้สำเร็จแล้ว เจ้าลาดซะบุดโย้ได้รับแต่งแต่งให้เป็นเจ้านครจำปาสัก จึงทำให้อาณาจักรเวียงจันกับจำปาสักกลับมารวมกันอีกครั้ง
แต่ขณะนั้นหลวงพระบางยังไม่ได้รวมเข้ากับเวียงจัน เมื่อเกิดศึกเจ้าอะนุวง เจ้ามันทาตุราชของหลวงพระบางได้รับคำสั่งให้ส่งกองทัพลงมาปราบปรามเวียงจันด้วย แต่ทั้งทัพล้านนาและทัพหลวงพระบาง ซึ่งที่จริงก็แอบมีใจให้แก่ฝ่ายเจ้าอะนุวงมาแต่เดิม ต่างแสร้งเดินทัพล่าช้าไปถึงเมืองพานพร้าวบรรจบกับทัพหลวงของฝ่ายสยามแล้วก็เมื่อเป็นเวลาแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายเวียงจันพ่ายศึกนี้และเจ้าอะนุวงได้อพยพหลบหนีไปเวียดนามแล้วในขณะนั้น
เหตุที่กองทัพหลักนำโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ จะต้องไปเกณฑ์เอาไพร่พลมาจากหัวเมืองปักษ์ใต้ตอนบน ก็เพราะเหตุว่ากรุงเทพฯ กับภาคกลางเวลานั้นยังบอบช้ำจากโรคอหิวาต์ที่ระบาดหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๒ ประกอบกับต้องคงกำลังคนเอาไว้ในภาคกลาง เพราะเวลานั้นสุ่มเสี่ยงจะเกิดสงครามกับอังกฤษอยู่ด้วย เพราะราชสำนักรัชกาลที่ ๓ ทรงมีข้อพิพาทกับอังกฤษเรื่องการทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์
อีกอย่างที่สำคัญสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพยังเป็นเจ้านายชั้นสูงที่มีสายสัมพันธ์กับหัวเมืองปักษ์ใต้ เพราะเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ประสูติจาก ‘เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่’ ธิดาของ ‘เจ้าพระยานครศรีธรรมราช’ (พัฒน์) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือกันในหมู่ชนชั้นนำท้องถิ่นหัวเมืองปักษ์ใต้สมัยนั้น
แม้เจ้าพัฒน์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เจ้าพัฒน์ก็มีทายาทที่มีบารมีไม่น้อยไปกว่าตนเองสืบทอดต่อมาคือ ‘เจ้าน้อย’ (เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)) ผู้ซึ่งเป็นลูกของ ‘เจ้าจอมปราง’ อดีตพระสนมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงเป็นที่เล่าลือกันต่อมาว่า เจ้าน้อยเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และเจ้าน้อยก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับวังหน้ายุคสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
เมื่อแรกเปิดศึกกับเวียงจัน ฝ่ายวังหน้าซึ่งมีกำลังคนที่เกณฑ์ได้เป็นอันมากจากหัวเมืองปักษ์ใต้ คงอยู่ในความประมาทเลินเล่อหลายอย่างหลายประการ ด้วยเพราะมีคนมาก ฝ่ายเวียงจันมีคนน้อยกว่า และทั้งที่มีคำเตือนเรื่องเส้นทางเดินทัพว่าควรเลี่ยงเส้นทางข้ามเขาใหญ่ดงพญาไฟ แต่ปรากฏว่าทัพฝ่ายสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพก็หาได้รับฟังไม่ ดึงดันจะใช้เส้นทางข้ามเขาใหญ่ เพราะเห็นเป็นทางที่จะไปถึงนครราชสีมาได้เร็วกว่าทางแม่น้ำป่าสัก-ลำสนธิ (ผ่านทางช่องเขาพังเหย)
การณ์จึงปรากฏว่าเมื่อทัพฝ่ายสมเด็จพระวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพต้องพบความวิบัติผู้คนเผชิญไข้ป่าจนล้มตายไปกว่าสามในสี่ ทำให้เมื่อไปถึงนครราชสีมา เป็นทัพเล็ก ๆ ไม่มีกำลังคนมากเหมือนอย่างเมื่อแรกเดินทัพออกจากกรุงเทพฯ หนำซ้ำเมื่อไปถึงนครราชสีมาเหยียบแดนอีสานแล้ว ยังพบว่าเจ้าเมืองนครราชสีมาหนีหายไปไหนไม่รู้ มารู้ทีหลังว่าหลบหนีทัพ ‘เจ้าลาดซะบุดโย้’ ไปกัมพูชา
แค่นั้นไม่พอเมืองนครราชสีมายังถูกเผาเสียราบไม่เหลือเป็นเมืองเสบียงอาหารข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ไว้คอยต้อนรับทัพหลวงเหมือนดังที่เคยคาดการณ์เอาไว้ พอเรียกเจ้าเมืองในอีสานให้มาเข้าเฝ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพยังต้องตะหนกตกพระทัยไปมากขึ้นอีก เมื่อพบว่าบรรดาเจ้าเมืองชนชั้นนำตลอดจนไพร่ในท้องถิ่นต่างพากันไปเข้ากับฝ่ายเจ้าอะนุวงเสียเกือบหมดไปอีก แค่ทัพเจ้าโถง หลานเจ้าอะนุวง ที่ตั้งค่ายอยู่พิมาย ก็เป็นทัพที่คุกคามทัพหลวงของสยามไว้ได้ถนัดแล้ว จนฝ่ายสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพไม่กล้ายกออกจากเมืองนครราชสีมา เพราะเกรงทัพเจ้าโถงจะมาตีเอาได้ง่าย ๆ
เมื่อทัพพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ยกมาถึงนครราชสีมา สถานการณ์ค่อยพลิกกลับ เมื่อทัพหลักอยู่ในสภาพอ่อนกำลัง ฝ่ายพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ซึ่งเป็นตัวแทนของวังหลวงก็ได้โอกาสสร้างความดีความชอบ ยกไปตีทัพเจ้าโถงที่พิมายประเดิมเป็นศึกแรก ได้รับชัยชนะ เปิดทางให้ทัพหลักได้ยกออกจากนครราชสีมาได้ แต่ทัพพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ก็ต้องวกลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่อติดตามทัพเจ้าลาดซะบุดโย้ ซึ่งล่าถอยออกจากศรีสะเกษไปอุบลราชธานีและกลับจำปาสักตามลำดับ
ถัดจากพิมาย ทัพหลักนำโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้ยกไปทางชัยภูมิและหนองบัวลำภู ได้ปะทะเป็นศึกใหญ่ที่หนองบัวลำภูกับที่ทุ่งส้มป่อย ที่หนองบัวลำภู เจ้าอะนุวงได้แต่งตั้งให้ ‘พระยานะลิน’ (ไทยเขียน ‘พระยานรินทร์’) อดีตเจ้าเมืองสี่มุม (จัตุรัส) เป็นเจ้าเมืองหนองบัวลำภู รักษาค่ายหนองบัวลำภู รบกันไม่รู้แพ้ชนะ แต่แล้วก็บังเอิญว่ากองหน้าของทัพสยามได้ลอบจับกุมตัวหน่วยสอดแนมได้สามคน หนึ่งในนั้น ‘แจ็กพ็อต’ เพราะเป็นพระยานะลิน แม่ทัพฝ่ายลาวที่มาลาดตระเวนดูทัพไทยด้วยตนเอง เมื่อเสียพระยานะลิน ฝ่ายทัพไทยก็เป็นต่อ จึงหักตีค่ายหนองบัวลำภูแตก
แต่ครั้นเมื่อยกไปบ้านส้มป่อย ไม่ไกลจากช่องเขาสาร (บางแห่งเขียน ‘ช่องข้าวสาร’ หรือ ‘ช่องเข้าสาน’) ทีนี้เป็นศึกใหญ่กว่าที่หนองบัวลำภูเสียอีก เพราะทัพหลักของสยามถูก ‘พระยาสุโพ’ (ซานน) แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายเจ้าอะนุวงนำกำลังมาล้อมไว้ อดข้าอดน้ำจนเกือบยกธงยอมแพ้แล้ว แต่เมื่อทัพกองหลอนนำโดย ‘กรมหมื่นนเรศร์โยธี’ ยกมาถึงได้นำกำลังเข้าตีค่ายพระยาสุโพ ฝ่ายพระยาสุโพตกใจให้ถอยจากที่ล้อม เพราะคิดว่าเป็นทัพใหญ่นำโดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ได้ยกมาช่วยทัพหลักแล้ว แต่แท้ที่จริงทัพกรมหมื่นนเรศร์โยธีมีกำลังไพร่พลกองโจรในสังกัดอยู่เพียง ๑๐๐ กว่าคนเท่านั้น
ประเด็นก็คือในทัพหลักที่ถูกทัพพระยาสุโพล้อมเอาไว้อดข้าวอดน้ำจนเกือบยอมแพ้ไปแล้วนั้น เป็นทัพที่นำโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ซึ่งทรงอยู่ในค่ายที่ถูกล้อมนั้นด้วย เมื่อรวมความย้อนไปที่การเดินทัพข้ามเขาใหญ่ที่เป็นการบัญชาการทัพที่ผิดพลาดจนเสียไพร่พลไปมาก บวกกับความสูญเสียที่หนองบัวลำภูกับที่ทุ่งส้มป่อย จึงทำให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงแค้นเคืองพระทัยฝ่ายเจ้าอะนุวงอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่าเมื่อ ‘พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง’ ของสยามเวลานั้น ทรงเป็นผู้นำทัพมาเองจะถูกต่อต้านอย่างหนักเช่นนั้น
เมื่อเสด็จยกทัพไปถึงเมืองพานพร้าว ฝั่งตรงข้ามแลเห็นนครหลวงเวียงจัน ก็ไม่ทรงเสด็จข้ามไป ทรงให้ทัพพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ข้ามไปแทน ด้วยทรงพระพิโรธหนัก จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เผาเมืองเวียงจันทิ้งเสียอย่าให้ตั้งเป็นเมืองอยู่ได้สืบต่อไป แต่พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ตอนนั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชกระแสรับสั่ง ด้วยว่าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) นำทัพไปในฐานะตัวแทนโดยตรงของวังหลวงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงไม่เพียงไม่ได้เผาเมืองเวียงจัน (ในครั้งนั้น) ยังได้คิดอ่านจัดการปกครองเมืองเวียงจัน สำหรับทำนุบำรุงไว้ในฐานะหัวเมืองประเทศราช เพื่อเป็นพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบต่อมา
แต่ทว่าฝ่ายสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพก็ไม่ได้ละความพยายาม เนื่องจากทรงแค้นพระทัยมาก เมื่อเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระดำริที่ควรให้เผาเมืองเวียงจันเสีย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วย เมื่อพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) กลับมาถึงกรุงเทพฯ บ้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรมราชโองการให้ยับยั้งการพระราชทานบำเหน็จรางวัลตอบแทนความดีความชอบในการศึกครั้งนี้แก่พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เอาไว้ก่อน ให้นำทัพกลับไปเวียงจันใหม่ เมื่อถึงก็ให้จัดการเผาเมืองเวียงจันเสียอย่าให้ตั้งเป็นบ้านเมืองได้อีกต่อไป คราวนี้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ก็จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ
แต่เมื่อการเผาเมืองเวียงจันสมพระประสงค์และเจ้าน้อยเมืองพวนได้นำตัวเจ้าอะนุวงไปมอบให้แก่พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) กุมตัวลงมารับโทษที่กรุงเทพฯ จนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ตามมาด้วยการกวาดต้อนครัวลาวจำนวนมหาศาลจากอีกฝั่งแม่น้ำของลงมายังสยาม ทีนี้ปัญหาใหม่ก็เกิดตามมาว่า ทำอย่างไรจึงจะสลายความโกรธเกลียดที่มีต่อกันและให้คนลาวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยามได้ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าจะเอาชนะสงครามอย่างไรเสียอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเผาเมืองเวียงจันนั้นเป็นการตัดสินพระทัยที่ผิดพลาดใหญ่หลวงทั้งสำหรับฝ่ายวังหลวงและวังหน้า แต่ครั้นจะให้กลับฟื้นเมืองเวียงจันให้คงดีดังเดิมก็ไม่ได้อีก ด้วยเกรงว่าจะถูกใช้เป็นฐานก่อขบถต่อสยามให้ต้องทำสงครามปราบปรามกันขึ้นมาอีก
ในฝ่ายวังหน้า คงมีปราชญ์ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ถวายคำแนะนำแด่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการสร้างสถูปเจดีย์บรรจุอัฐิผู้ล่วงลับในการศึกสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ความทรงจำรำลึกกันสืบไป (สมัยนั้นยังไม่มีแนวคิดเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์)
เพื่อสลายความโกรธเกลียดที่เคยมีต่อกัน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้ทรงใช้ศาสนาเพื่อการณ์นี้โดยการให้สร้างเจดีย์อนุสรณ์ศึกเจ้าอะนุวงเป็นรูปแบบพระธาตุพนม ซึ่งเป็นพระธาตุเจดีย์รูปแบบที่คนลาวเคารพนับถือกันมาแต่โบราณ มีร่องรอยหลักฐานปรากฏในรูปของตำนานที่เรียกว่า ‘ตำนานอุรังคธาตุ’ หรือ ‘อุรังคนิทาน’
นอกจากที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี ที่อยุธยากรุงเก่าก็มีเจดีย์รูปแบบนี้ที่วัดใหญ่เทพนิมิตร์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งก็มีอายุแรกสร้างย้อนหลังกลับไปจนถึงสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพเช่นกัน ทั้งนี้ย่านนครหลวงของอยุธยากรุงเก่าก็มีคนลาวตั้งถิ่นฐานอยู่มาก ต่อเนื่องตลอดแนวแม่น้ำป่าสักเรื่อยไปจนถึงสระบุรี
อีกฝั่งน้ำของเดิม ก่อนสมัย ‘พระเจ้าไซยะเซดถาทิราช’ พระธาตุหลวงเวียงจันกับพระทาดสีโคตะบองที่เมืองท่าแขก (ฝั่งตรงข้ามนครพนม) ก็คาดว่าเป็นรูปแบบเดียวกับพระธาตุพนม ร่นลงใต้ไปแขวงสะหวันนะเขตก็มีพระทาดอิงฮัง ก็รูปแบบดั้งเดิมแบบพระธาตุพนม เจดีย์รูปแบบนี้จึงไม่เพียงเป็นอัตลักษณ์เจดีย์ธาตุของฝั่งอีสาน-สยาม หากแต่เป็นของล้านซ้างมาแต่ดั้งเดิม
เนื่องจากพระธาตุหลวงเวียงจันจะชี้ชวนให้รำลึกนึกถึงเมืองเวียงจันก่อนจะถูกเผาไปนั้น อีกทั้งพระธาตุพนมอยู่ในเขตอิทธิพลของสยาม จึงมีการอนุโลมให้ใช้เจดีย์รูปแบบนี้สำหรับชุมชนคนถูกกวาดต้อนมาจากลาวในสมัยนั้นได้ นี่คือรูปแบบการสร้างสถูปเจดีย์ที่ชนชั้นนำสยามอนุญาตให้คนลาวสามารถสร้างขึ้นได้ในชุมชนของตน โดยที่ไม่ถือเป็นการก่อขบถทางสังคมวัฒนธรรมแต่อย่างใด ในการที่คนลาวไม่ได้สร้างสถูปเจดีย์รูปแบบของภาคกลางสยาม ยังคงสร้างตามรูปแบบเดิมของลาว
แม้แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการสร้างพระธาตุโนนตาลขึ้นที่ท่าอุเทน จะเป็นช่วงปีเดียวกับที่อีสานเกิดกรณีขบถผู้มีบุญอยู่ก็ตาม ทั้งนี้เพราะเป็นรูปแบบเจดีย์ที่ชนชั้นนำสยามเองก็อนุญาตมาแต่เดิมตั้งแต่ช่วงหลังเสร็จศึกเจ้าอะนุวงในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมาแล้ว สงครามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่จะปิดจบกันได้ง่าย ๆ แต่อย่างใดเลย
แน่นอนว่าด้วยความที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงเป็นเจ้านายชั้นสูงของสยาม ย่อมจะทรงต้องการให้คนลาวสร้างเจดีย์ตามแบบของชาวสยาม แต่เนื่องจากเป็นหลังสงครามที่ต้องทรงประนีประนอมกับกลุ่มคนที่ต่อไปภายหน้าจะต้องเป็นกำลังแก่บ้านเมืองสยามสืบไปนั้น ก็ทำให้ต้องยอมอนุญาตให้สร้างสิ่งอันเป็นที่เคารพตามอย่างวัฒนธรรมเดิมของพวกเขา หากไม่ยอมอนุญาตเช่นนั้น สงครามย่อมไม่จบสิ้นลงแต่เพียงเท่านั้นเป็นแน่ ดูเผิวเผินเหมือนว่าสงครามนั้นผู้สามารถนำกำลังไปยึดบ้านเมืองฝ่ายตรงข้ามได้จะเป็นผู้ชนะ แต่หลังการสู้รบผ่านพ้นไป ผู้ชนะจะต้องยอมตามผู้แพ้ เป็นเหตุให้ผู้แพ้ในสงครามมักเป็นผู้ชนะหลังสงครามเสมอ
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
อ้างอิง
“อุรังคธาตุ” ฉบับสมเด็จอัครมหาบัณฑิต พระลูกแก้ว (คูน มะนีวงส์) วัดทาดหลวง นะคอนหลวงเวียงจัน (ฉบับสมบูรณ์). แปลและเชิงอรรถโดย กำพล จำปาพันธ์, กรุงเทพฯ: อัดสำเนา, ๒๕๖๘.
กำพล จำปาพันธ์. (ผู้รวบรวม). ประชุมจดหมายเหตุ ๒๐๐ ปีศึกเจ้าอะนุวง. กรุงเทพฯ: อัดสำเนา, ๒๕๖๘.
กำพล จำปาพันธ์. นาคยุดครุฑ: “ลาว” การเมืองในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๘.
จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓. กรุงเทพฯ: หอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๓๐.
จารุบุตร เรืองสุวรรณ. ของดีอีสาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๐.
ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๘.
ธวัช ปุณโณทก. พื้นเวียง: การศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๖.
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๔.
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๘.
สงวน รอดบุญ. พุทธศิลปลาว. กรุงเทพฯ: สายธาร, ๒๕๔๕.
สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๕.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. ประวัติศาสตร์อีสาน ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑. ขอนแก่น: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๗.
หม่อมเจ้าทับ. นิราศทัพเวียงจันท์. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๔.