ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน : มุสลิมผู้คิดค้นการกลั่นแอลกอฮอล์

ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน : มุสลิมผู้คิดค้นการกลั่นแอลกอฮอล์

เรื่องราวของ ‘ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน’ (Jabir ibn Hayyan 721–815) บุรุษลึกลับที่หลายคนยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งเคมี’ และมุสลิมผู้คิดค้นการกลั่นแอลกอฮอล์

KEY

POINTS

กลางศตวรรษที่ 8 โลกอิสลามภายใต้ราชวงศ์ ‘อับบาซียะห์’ (Abbasid Caliphate) กำลังเจริญรุ่งเรืองสู่จุดสูงสุด นครแบกแดด เป็นศูนย์กลางของการแสวงหาความรู้จากทั่วทุกสารทิศ ทั้ง นักปราชญ์ แพทย์ และนักเล่นแร่แปรธาตุ ต่างมารวมตัวกันเพื่อถอดรหัสธรรมชาติ สร้างภูมิปัญญาที่เชื่อมกรีก อินเดีย และเปอร์เซียเข้าไว้ด้วยกัน

ท่ามกลางบรรยากาศนั้น ปรากฏชื่อของ ‘ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน’ (Jabir ibn Hayyan, 721–815) บุรุษลึกลับที่หลายคนยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งเคมี’ เขาคือผู้ที่พัฒนาเทคนิคการกลั่นอย่างจริงจัง จนสามารถแยกสารออกมาได้ในระดับที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน เครื่องมือที่เขาคิดค้น คือ ‘หม้อกลั่น’ (alembic) ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ยุคต้น และยังเป็นต้นแบบของการกลั่นในอุตสาหกรรมหลายร้อยปีให้หลัง

ความย้อนแย้งกลับอยู่ตรงที่ ศาสนาอิสลามห้ามดื่มสุราอย่างเคร่งครัด แต่หนึ่งในนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอิสลาม คือคนที่ทำให้การกลั่นแอลกอฮอล์ก้าวหน้าไปไกล เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมชาติ และเพื่อประโยชน์ด้านยา น้ำหอม และพิธีกรรม 

ด้วยความรู้ที่เริ่มต้นจากห้องทดลองในแบกแดดนี้ ได้เดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปถึงยุโรป และได้เปลี่ยนทั้งภาษาและวัฒนธรรมการดื่มของโลกในเวลาต่อมา

แบกแดด &
บรรยากาศวิทยาศาสตร์

ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 เมื่อราชวงศ์อับบาซียะห์ ย้ายศูนย์กลางอำนาจจากเมืองดามัสกัส ซึ่งเคยเป็นราชธานีของราชวงศ์อุมัยยะห์ (Umayyad Caliphate) มาสู่นครแบกแดด ในปี ค.ศ. 762 เมืองนี้ก็กลายเป็นเวทีแห่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคกลาง 

ทั้งหอสมุด ‘บ้านแห่งปัญญา’ (Bayt al-Hikma) และสถาบันต่าง ๆ ได้เก็บรวบรวมตำราภาษากรีก เปอร์เซีย อินเดีย มีการแปลเป็นอาหรับอย่างกว้างขวาง ความรู้ทางปรัชญา การแพทย์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์จึงหลั่งไหลเข้าสู่สังคมอิสลามอย่างรต่อเนื่อง

แต่นี่ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาตำราจากโลกเก่า แต่ยังมีการตีความและทดลองใหม่ โดยเหล่านักปราชญ์พยายามเข้าใจธรรมชาติอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงอธิบายโลกเชิงทฤษฎี แต่ยังทดลองซ้ำได้ในห้องปฏิบัติการ และการสร้างคำศัพท์ใหม่ ๆ เพื่อบรรยายสิ่งที่ไม่เคยมีใครบรรยายมาก่อน 

หากไม่มีโลกอับบาซียะห์ที่เปิดกว้างต่อการผสานความรู้จากทุกทิศทาง ญาบีร์ อาจไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้น ก็คงไม่สามารถพัฒนาแนวคิดจนทิ้งร่องรอยลึกในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ได้

ห้องทดลองของ ญาบีร์

หากจะเลือกภาพๆ หนึ่งที่สื่อถึงความเป็น ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน ได้ชัดที่สุด ภาพนั้นคงเป็นห้องทดลองที่เต็มไปด้วยหม้อกลั่น, ขวดแก้ว และเตาไฟที่ลุกโชน ความรู้ไม่ได้ถูกเขียนไว้บนกระดาษอย่างเดียว แต่เกิดจากการลงมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สิ่งที่ทำให้ญาบีร์แตกต่างคือ ‘ความเป็นระบบ’ เขาไม่ได้เพียงแค่กลั่นสารแล้วจดผลลัพธ์ แต่สร้างวิธีบันทึกที่เป็นโครงสร้างทางภาษาของวิทยาศาสตร์ ตำราที่อ้างชื่อเขาแบ่งคุณภาพธรรมชาติ เช่น ร้อน เย็น ชื้น แห้ง ออกเป็น “องศา นาที วินาที และเศษที่สาม” ราวกับกำลังทำแผนที่คุณสมบัติของโลกให้อยู่ในหน่วยที่วัดได้ เหมือนนักดาราศาสตร์ที่แบ่งท้องฟ้าเป็นส่วนย่อยเพื่อหาตำแหน่งดาว

อุปกรณ์ที่ญาบีร์ใช้ก็สะท้อนความคิดก้าวหน้า หม้อกลั่นแบบสองท่อ ที่เรียกว่า al-anbiq คือรากศัพท์ของคำว่า alembic ในภาษาอังกฤษ และยังเป็นต้นแบบของเครื่องกลั่นที่ใช้ทั้งในอุตสาหกรรมสุราและเคมีต่อมาหลายร้อยปี เทคนิคการกลั่นซ้ำ (distillation by repetition) ช่วยให้ได้สารบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำมันหอม และกรดต่าง ๆ

ที่สำคัญ ญาบีร์ให้ความสำคัญกับ ‘การทดลองที่ทำซ้ำได้’ (repeatability) หลักคิดนี้เองที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักเล่นแร่แปรธาตุซึ่งมักแสวงหาความลี้ลับมากกว่าความแม่นยำ เขาเชื่อว่าธรรมชาติมีกฎที่แน่นอน และมนุษย์สามารถเปิดเผยมันได้ด้วยวิธีที่เป็นระบบ

ห้องทดลองของ ญาบีร์ จึงไม่ใช่เพียงสถานที่ทำการทดลอง แต่คือ ‘จุดเปลี่ยนทางความคิด’ จากยุคแห่งเวทย์มนตร์สู่ยุคที่วิทยาศาสตร์เริ่มมีรากฐานมั่นคง

 

จาก al-kuhl สู่ alcohol
และปริศนา Geber

คำว่า ‘al-kuhl’  ในภาษาอาหรับ เริ่มต้นจากความหมายเรียบง่าย หมายถึง ‘ผงละเอียด’ โดยเฉพาะผงสำหรับทาตา แต่ในมือของนักเล่นแร่แปรธาตุอย่าง ญาบีร์ ความหมายค่อย ๆ ขยายออกไป กลายเป็นคำที่ใช้เรียก ‘สิ่งที่ถูกทำให้บริสุทธิ์ด้วยการกลั่น’ ไม่ว่าจะเป็นโลหะ น้ำหอม หรือของเหลวที่ให้ความมึนเมา

เมื่อความรู้จากโลกอิสลามไหลสู่ยุโรปในศตวรรษที่ 12–13 คำนี้ถูกถ่ายทอดไปพร้อมตำรา ผ่านการแปลในโตเลโดและซิซิลี al-kuhl  จึงกลายร่างเป็น alcohol ในภาษาละตินและยุโรปตะวันตก สิ่งที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงศัพท์ทางเทคนิคในห้องทดลองแบกแดด กลายเป็นคำสากลที่โลกใช้เรียกเครื่องดื่มมึนเมา

แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เมื่อชื่อของ ญาบีร์ เดินทางไปยุโรป มันแปรเปลี่ยนเป็น Geber และผลงานที่ถูกยกย่องที่สุดในยุโรปยุคกลาง เช่น Summa Perfectionis (The Sum of Perfection) ก็ลงชื่อผู้แต่งว่า ‘Geber’ หนังสือเล่มนี้กลายเป็นตำราหลักของนักเล่นแร่แปรธาตุในยุโรปหลายร้อยปี

ปัญหาคือ นักวิชาการสมัยใหม่พบว่า ‘Summa Perfectionis’ ไม่ได้มีร่องรอยเป็นงานที่แปลจากอาหรับ และเนื้อหาหลายส่วนก็ดูเหมือนสะท้อนการพัฒนาในยุโรปมากกว่าที่อิสลามเคยมี นักประวัติศาสตร์จึงเรียกปริศนานี้ว่า ‘Geber ปลอม’ (Pseudo-Geber) ผู้ที่อ้างชื่อตัวเองเป็น ญาบีร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตำรา

ดังนั้น ญาบีร์ จึงมีตัวตนซ้อนทับอยู่สองโลก ในโลกอิสลาม เขาคือบุรุษผู้สร้างหม้อกลั่นและระบบภาษาวิทยาศาสตร์ ส่วนในโลกยุโรป เขากลายเป็น ‘Geber’ ตำนานนักเล่นแร่แปรธาตุผู้แต่งตำราละตินอันทรงอิทธิพล

ความคลุมเครือเช่นนี้ทำให้ ญาบีร์ ไม่ใช่เพียงนักวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็น ‘สัญลักษณ์ของอำนาจความรู้’ ที่ต่างวัฒนธรรมต่างตีความและสวมทับตามความต้องการของตน

 

Aqua Vitae: น้ำแห่งชีวิตของยุโรป

เมื่อความรู้เรื่องการกลั่นข้ามจากโลกอิสลามสู่ยุโรป นักวิชาการตะวันตกเริ่มทดลองนำไวน์ไปผ่านกระบวนการกลั่น สิ่งที่ได้คือของเหลวใส ดีกรีแรง และแตกต่างจากไวน์เดิมโดยสิ้นเชิง พวกเขาเรียกมันว่า ‘Aqua Vitae’ หรือ ‘น้ำแห่งชีวิต

ในยุคแรก aqua vitae ถูกมองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แพทย์และนักบวชใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย รักษาโรค และเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา มีบันทึกที่กล่าวถึงฤทธิ์ของเหลวนี้ว่า ให้พลังชีวิต และช่วยยืดอายุ จนแทบจะเป็นน้ำอมฤตในสายตาของผู้คนยุคกลาง

แต่เมื่อผู้คนเริ่มสัมผัสด้าน ‘รื่นรมย์’ aqua vitae ก็ไม่หยุดอยู่ในห้องแพทย์หรือโบสถ์อีกต่อไป หากแพร่เข้าสู่โต๊ะงานเลี้ยงและตลาดการค้า จากน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรม กลายเป็นเครื่องดื่มที่ชาวบ้านและชนชั้นสูงต่างแสวงหา และค่อย ๆ แปรรูปเป็นสุราหลากชนิด

ในฝรั่งเศส มันกลายเป็น ‘บรั่นดี’ (brandy) ส่วนในไอร์แลนด์และสกอตแลนด์ แปรเป็น ‘uisce beatha’ หรือ ‘น้ำแห่งชีวิต’ ในภาษาเซลติก ก่อนจะกร่อนเสียงเป็น ‘วิสกี้’ (whisky)

ความเปลี่ยนแปลงนี้เผยให้เห็นพลวัตทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน ความรู้ที่เริ่มจากหม้อกลั่นในแบกแดดเพื่อยารักษาโรคและน้ำหอม กลับกลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมสุราในยุโรป

บางส่วนของเทคนิคที่ทำให้การกลั่นมีประสิทธิภาพขึ้น ยังได้รับแรงบันดาลใจจากตำราที่อ้างชื่อ Geber ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมไฟ การเลือกโลหะสำหรับอุปกรณ์ หรือการจัดการกับสารกัดกร่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้ aqua vitae เป็นก้าวแรกของการสร้างอุตสาหกรรมสุราในโลกตะวันตก

 

มรดกที่เกินกว่าเหล้า

ชื่อของ ญาบีร์ มักถูกจดจำในฐานะผู้บุกเบิกการกลั่นแอลกอฮอล์ แต่หากพิจารณาให้ลึก เขาทิ้งมรดกที่สำคัญกว่านั้นมาก อันได้แก่ การวางรากฐานของเคมีเชิงระบบ ที่กลายเป็นต้นธารของอุตสาหกรรมสมัยใหม่

ในตำราที่อ้างชื่อเขา มีการอธิบายวิธีผลิตสารเคมีที่ต่อมาเป็นเสาหลักของห้องทดลองทุกแห่ง เช่น กรดไนตริก (HNO₃), กรดซัลฟิวริก (H₂SO₄) และ กรดไฮโดรคลอริก (HCl) นี่ไม่ใช่เพียงสารสำหรับการทดลอง แต่คือหัวใจของเศรษฐกิจโลกในศตวรรษต่อมา กรดเหล่านี้ทำให้มนุษย์ผลิตปุ๋ย ผลิตโลหะ สร้างผงระเบิด และแม้กระทั่งพลังงานในแบตเตอรี่

โดยเฉพาะกรดซัลฟิวริก ที่ภายหลังถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความเจริญทางอุตสาหกรรมของประเทศ ปริมาณการผลิตต่อปีสะท้อนกำลังของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี 

เพราะเหตุนี้ ญาบีร์ จึงไม่ควรถูกจดจำว่าเป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุผู้กลั่นเหล้า เขาเป็นนักคิดที่ทำให้วิทยาศาสตร์เปลี่ยนจากศาสตร์แห่งความลี้ลับ ไปสู่ ‘ศาสตร์ที่สามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมได้จริง’ และมรดกนั้นยังคงอยู่ในโลกทุกวันนี้ ตั้งแต่ขวดปุ๋ยในท้องนาไปจนถึงโรงงานเคมีขนาดมหึมา

 

ชายผู้ลึกลับ

หากย้อนกลับไปอ่านตำราที่อ้างชื่อ ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน เราจะพบกับผลงานนับพันเล่ม บางแห่งระบึว่ามีมากถึงราว 3,000 เล่ม คำถามจึงผุดขึ้นมาทันที เป็นไปได้หรือที่บุคคลเพียงคนเดียวจะเขียนงานทั้งหมดนั้น?

นี่คือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ‘ปัญหา Jabirian Corpus’ หลักฐานหลายชิ้นบ่งชี้ว่า มีงานบางส่วนถูกเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 9 หรือ 10 ซึ่งช้ากว่าเวลาที่ญาบีร์มีชีวิตอยู่ แถมเนื้อหาก็หลากหลายเกินกว่าจะเป็นผลงานของคน ๆ เดียว ทั้งด้านเคมี ดาราศาสตร์ เวชศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา

พอล เคราส์’ (Paul Kraus) นักอาหรับวิทยาชื่อดัง เสนอว่า Jabirian Corpus อาจเป็นผลงานของ ‘สำนักญาบีร์’ กลุ่มผู้สืบทอดที่เขียนงานต่อเนื่องภายใต้ชื่อเดียว เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเชื่อมโยงกับสิ่งที่ถือเป็นมรดกทางวิทยาศาสตร์ของโลกอิสลาม

ยิ่งไปกว่านั้น ชีวประวัติของ ญาบีร์ เองก็เต็มไปด้วยความคลุมเครือ บางตำนานเล่าว่าเขาเป็นชาวเปอร์เซียจากเมืองทุส บางตำนานบอกว่าเขาเป็นชาวอาหรับที่รับใช้ในราชสำนัก และยังมีความเชื่อว่าเขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดของ อิหม่ามญะอ์ฟัร อัซ-ซอดิก ผู้นำศาสนาที่สำคัญในสายชีอะห์ ความคลุมเครือนี้ทำให้ยากจะสรุปได้ว่า ญาบีร์ เป็นบุคคลจริงเพียงคนเดียว หรือเป็น ‘ภาพสะท้อนรวม’ ของนักปราชญ์หลายรุ่น

และเมื่อข้ามไปยุโรป ชื่อของเขายิ่งเลือนรางกว่าเดิม เพราะถูกใช้ซ้ำในนาม Geber และ Pseudo-Geber จนแยกแทบไม่ออกว่าอะไรคือผลงานดั้งเดิม และอะไรคือสิ่งที่ถูกสร้างใหม่

ทั้งหมดนี้ทำให้ ญาบีร์ กลายเป็นบุคคลที่ยากจะจับต้องได้ เขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักเล่นแร่แปรธาตุ และตำนานที่ถูกสร้างซ้อนทับ การดำรงอยู่ของเขาจึงไม่ใช่แค่ “ชีวประวัติของคน ๆ หนึ่ง” แต่คือเรื่องเล่าร่วมกันของโลกอิสลามและยุโรป

 

เงาที่ไม่เลือนหาย

 

อย่าโกรธเลย พี่น้องของข้า หากเจ้าพบถ้อยคำแห่งศาสนา แทรกอยู่กลางบทว่าด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ ก่อนที่บทนั้นจะจบสิ้น
หรือหากเจ้าพบบทแห่งวิทยา ปรากฏต่อจากบทแห่งศรัทธา ทั้งที่หลักแห่งศาสนายังมิได้อธิบายครบถ้วน เพราะแท้จริงแล้ว ศรัทธาและวิทยานั้น เป็นเส้นด้ายเดียวกันในห้องทอแห่งความรู้ เพียงแต่เราต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะตัดสินมันใด ๆ

- ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน (จากหนังสือ Names, Natures and Things: The Alchemist Jabir ibn Hayyan and his Kitab al-Ahjar ของ Syed Nomanul Haq)

 

สิ่งที่ทำให้ ญาบีร์ ยืนยาวในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงการกลั่นแอลกอฮอล์ หากคือการแสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นได้แม้ในเงื่อนไขที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดทางศาสนาและสังคม ความรู้จากห้องทดลองในนครแบกแดดไม่เพียงแปรเปลี่ยนวิธีคิดของคนรุ่นหลัง แต่ยังกลายเป็นสะพานที่เชื่อมโลกอิสลามและยุโรปเข้าหากัน

ทุกครั้งที่เราเอ่ยคำว่า alcohol เรากำลังพูดคำที่มีรากจาก al-kuhl ของอาหรับ ทุกครั้งที่โรงงานผลิตกรดซัลฟิวริกจำนวนมหาศาลเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจโลก เรากำลังเห็นผลสะท้อนของร่องรอยที่ ญาบีร์ เคยบันทึกไว้ และทุกครั้งที่นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันว่า ‘ญาบีร์ตัวจริง’ มีอยู่จริงหรือไม่ เงาของเขาก็ยิ่งทาบทับในความทรงจำของมนุษยชาติ

ญาบีร์ อิบน์ ฮัยยาน จึงไม่ใช่เพียงชื่อหนึ่งในตำราเก่า หากคือสัญลักษณ์ของการแสวงหาความรู้ ที่ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา.

 

ที่มา:

- Haq, Syed Nomanul. Names, Natures and Things: The Alchemist Jabir ibn Hayyan and his Kitab al-Ahjar (Book of Stones). Springer Science & Business Media, 1994.
- Science History Institute. “Jabir ibn Hayyan.” Science History Institute, 2020.