บทเรียนจาก ‘แฟรงก์ เกห์รี’ จงกล้า ‘ไม่สมบูรณ์’ และอย่าหยุด ‘เล่น’ จนวันสุดท้าย

บทเรียนจาก ‘แฟรงก์ เกห์รี’ จงกล้า ‘ไม่สมบูรณ์’ และอย่าหยุด ‘เล่น’ จนวันสุดท้าย

‘แฟรงก์ เกห์รี’ คือสถาปนิกผู้เปลี่ยนความไม่สมบูรณ์และความรู้สึกแปลกแยกในวัยเด็กให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ระดับโลก อาคารที่เหมือนกำลังเคลื่อนไหวของเขาเกิดจากหัวใจที่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความสงสัยในตัวเอง และไม่เคยหยุด ‘เล่น’ กับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จนวาระสุดท้ายของชีวิต

KEY

POINTS

เช้าวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ข่าวการเสียชีวิตของ ‘แฟรงก์ เกห์รี’ (Frank Gehry 1929-2025) กระจายไปทั่วแวดวงสถาปัตยกรรมอย่างรวดเร็ว เขาจากไปอย่างสงบที่บ้านพักในซานตาโมนิกา ด้วยวัย 96 ปี ท่ามกลางความอาลัยของผู้คนที่เคยมองเห็นโลกในมุมใหม่ ผ่านอาคารของเขา อาคารที่มีลักษณะโค้ง บิด และเคลื่อนไหวราวกับกำลังสนทนากับแสงแดดและสายน้ำ มากกว่าจะเป็นวัตถุที่หยุดนิ่ง

หากเรามองดูอาคารไทเทเนียมอันโด่งดัง อย่าง Guggenheim Museum Bilbao หรือความเงางามของ Walt Disney Concert Hall เราอาจจินตนาการว่าผู้อยู่เบื้องหลังผลงานเหล่านี้ คงเป็นศิลปินที่มีอีโก้สูงเสียดฟ้า หรือเป็นคนที่เข้าถึงยาก แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ภายใต้เปลือกอาคารที่ดูหวือหวานั้น คือชายชราท่าทางใจดี สวมเสื้อยืดสีดำเรียบง่าย ผู้ซึ่ง ‘เอเรียนนา ฮัฟฟิงตัน’ (Arianna Huffington) ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอัจฉริยะหลายคน รวมถึง ‘ปิกัสโซ’ เคยกล่าวบนเวทีงานวันเกิดครบรอบ 80 ปีของเขาว่า

“จนกระทั่งดิฉันได้พบกับ แฟรงก์ เกห์รี ดิฉันไม่เคยเจออัจฉริยะคนไหนที่ ‘นิสัยดี’ มาก่อนเลย แฟรงก์ เกห์รี คือ ‘อัจฉริยะผู้เป็นมิตร’”

เกห์รี ไม่ได้เป็นเพียงสถาปนิกที่สร้างตึกแปลก ๆ แต่เขาคือนักเล่าเรื่องผ่านโครงสร้าง ผู้ที่นำเอารูปทรงที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มาตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องราวน่าหลงใหลยิ่งกว่าตึกระฟ้า คือ ‘ความเปราะบาง’ ภายในจิตใจ

ต่างจากสถาปนิกในตำนานอย่าง ‘แฟรงก์ ลอยด์ ไรท์’ (Frank Lloyd Wright) ผู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนล้น เกห์รี กลับเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสงสัยในตัวเอง (Self-doubt) และโหยหาการยอมรับ เขาไม่ได้สร้างงานเพียงเพื่อให้โลกตะลึง แต่เขาสร้างงานเพื่อสื่อสารและเพื่อ ‘ถูกรัก’

เพื่อนเก่าแก่ของเขาอย่าง ‘แบ๊บส์ ธอมพ์สัน’ (Babs Thompson) เคยอธิบายตัวตนของ เกห์รี ไว้อย่างลึกซึ้งว่า

“มันสำคัญมากสำหรับแฟรงก์ ที่จะรู้สึกว่าเป็นที่ต้องการและถูกรัก... ผ่านการยอมรับในงานสถาปัตยกรรมของเขา”

เรื่องราวของ แฟรงก์ เกห์รี เป็นการเดินทางของเด็กชายชาวยิว ผู้เริ่มต้นจากการเล่นเศษไม้กับคุณยายบนพื้นครัว ผู้ที่เปลี่ยนปมด้อยและความรู้สึกแปลกแยก (Outsider) ให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่หยุดเวลาด้วยความเคลื่อนไหว

เพื่อรำลึกถึงอัจฉริยภาพของเขา เราจะพาคุณย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น รากเหง้า และปรัชญาที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็น ‘Master Builder’ ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าของเมืองและโลกใบนี้ไปตลอดกาล

รากเหง้าและความเป็นมนุษย์: จากเด็กชาย Goldberg สู่ Frank Gehry

หากเราย้อนเวลากลับไปมองดูรากฐานชีวิตของบุรุษผู้ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นสถาปนิกที่โลกต้องจารึก เราจะไม่ได้พบกับภาพร่างของตึกระฟ้าหรือโมเดลอาคารอันวิจิตรบรรจง แต่เราจะพบกับภาพของเด็กชายตัวน้อยที่นั่งเล่นอยู่บนพื้นครัวกับคุณยาย ท่ามกลางกองเศษไม้รูปร่างแปลกตา

แฟรงก์ เกห์รี ลืมตาดูโลกที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ในปี 1929 ด้วยชื่อเดิมว่า ‘แฟรงก์ โอเวน โกลด์เบิร์ก’ (Frank Owen Goldberg) เขาเติบโตมาในครอบครัวผู้อพยพชาวยิวที่ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง ซ้ำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อ ‘เออร์วิง’ (Irving) ก็เต็มไปด้วยรอยร้าว พ่อมักมองว่าเขาเป็นคนเพ้อฝันและไร้ความสามารถ 

“พ่อไม่เคยเห็นตึกของผม และเขาคิดว่าผมเป็นแค่คนช่างฝัน ผมคิดว่าเขาคงภูมิใจในตัวผม... ผมอยากจะคิดว่าถ้าเขาเห็นตึกหลังนี้ เขาอาจจะรู้สึกว่าผมก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”

แต่ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น แฟรงก์ ยังมีพื้นที่ปลอดภัยที่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยทางจิตวิญญาณ นั่นคือช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับคุณยาย ‘ลีอาห์’ (Leah)

ในวัยเด็ก กิจกรรมโปรดของ แฟรงก์ ไม่ใช่การวิ่งเล่นในสนามหญ้า แต่เป็นการไปร้านฮาร์ดแวร์ของคุณตาเพื่อขนเศษไม้ที่เหลือใช้ใส่ถุงกระสอบกลับมาบ้าน เมื่อมาถึง คุณยายลีอาห์จะเทกองเศษไม้เหล่านั้นลงบนพื้นครัว และนั่นคือช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ ทั้งสองยายหลานจะนั่งลงด้วยกัน และเริ่มประกอบสร้างเมืองในจินตนาการจากเศษวัสดุเหล่านั้น นี่กิจกรรมการปลูกฝังรากฐานความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต

“มีเศษไม้ทรงกลมที่ดูเหมือนสะพานและทางด่วน ก่อนที่จะมีทางด่วนจริง ๆ เสียอีก และผมรักมันมาก เธอเล่นกับผมในระดับเดียวกันเหมือนผมเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง”

เขาเคยย้อนรำลึกถึงช่วงเวลานั้นไว้ในหนังสือชีวประวัติว่า “มันเป็นความสนุกที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาในชีวิต ผมตระหนักได้ว่านั่นคือ ‘ใบอนุญาตให้เล่น’ (license to play)”  การเล่นที่ไร้กฎเกณฑ์บนพื้นครัววันนั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมที่ไร้กรอบในวันข้างหน้า

นอกจากเศษไม้แล้ว อีกหนึ่งความทรงจำที่ฝังแน่นในใจของเด็กชายแฟรงก์ คือภาพของ ‘ปลาคาร์ป’ ในอ่างน้ำ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวชาวยิว คุณยายจะซื้อปลาคาร์ปเป็น ๆ มาขังไว้ในอ่างอาบน้ำเพื่อเตรียมทำเมนู gefilte fish สำหรับมื้อค่ำวันศุกร์ เด็กชายแฟรงก์มักจะเข้าไปเฝ้าดูปลาตัวนั้นแหวกว่ายอย่างเพลิดเพลิน 

“ผมเคยเข้าไปในนั้นและเฝ้าดูปลาคาร์ป ผมใช้เวลามากมายไปกับการจ้องมองมัน” 

ภาพปลาที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระนี้ กลายเป็นต้นทางของ ‘ภาษารูปทรงปลา’ ที่เขานำไปใช้หลังจากนั้นหลายสิบปี ทั้งในประติมากรรมและอาคารที่ต้องการสื่อถึงการไหลเวียน ความไม่หยุดนิ่ง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เขาอธิบายเหตุผลไว้แบบตรงไปตรงมาว่า หากจะย้อนไปหาต้นกำเนิดของรูปทรงในโลกมนุษย์ ก็ต้องย้อนให้สุดทาง

“สามร้อยล้านปีก่อนมนุษย์คือปลา... ถ้าคุณต้องย้อนกลับไป และคุณไม่มั่นใจที่จะก้าวไปข้างหน้า... ก็ย้อนกลับไปสามร้อยล้านปีเลยสิ ทำไมต้องหยุดอยู่แค่กรีกด้วยล่ะ?”

การเคลื่อนไหวที่บิดโค้งและรูปทรงที่ลื่นไหลของปลา ได้กลายเป็นภาพจำทางสุนทรียศาสตร์ที่ทรงพลัง ซึ่งต่อมาเขาได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านความแข็งทื่อของสถาปัตยกรรมยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodernism)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเติบโตขึ้นและย้ายมาตั้งรกรากที่ลอสแองเจลิส ชีวิตของเขาก็ต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สั่นคลอนตัวตนของเขาอย่างรุนแรง นั่นคือการเปลี่ยนนามสกุล ในปี 1954 ภรรยาคนแรกของเขา ‘อนิตา’ (Anita) ซึ่งกังวลอย่างมากเกี่ยวกับกระแสการต่อต้านยิว (Anti-Semitism) ที่ยังคงมีอยู่ในสังคมอเมริกัน ได้ขอร้องให้เขาเปลี่ยนนามสกุลจาก Goldberg เป็น Gehry เพื่ออนาคตของลูกที่จะเกิดมา

แฟรงก์ ตกอยู่ในสภาวะจำยอม เขาเล่าถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่า “ผมกัดฟันยอมทำ และผมเกลียดมัน... ผมยอมให้เธอทำแบบนั้น” แม้เขาจะเป็นฝ่ายออกแบบตัวสะกดชื่อใหม่นี้ด้วยตัวเอง โดยให้เหตุผลทางกราฟิกว่า ตัวอักษร G-E-H-R-Y มีรูปทรงและจังหวะที่คล้ายคลึงกับ Goldberg แต่ลึกิๆ แล้ว การละทิ้งชื่อเดิมทำให้เขารู้สึกเหมือนคนนอกและเต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ 

ทว่า ในด้านหนึ่ง ความรู้สึกของการเป็น ‘คนนอก’ นี้เอง ได้กลายเป็นแรงขับดันที่ทำให้เขาไม่ยึดติดกับขนบธรรมเนียม และกล้าที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างและท้าทายโลกในเวลาต่อมา

ปรัชญาและสุนทรียศาสตร์: ความงามในความไม่สมบูรณ์ 

เมื่อ แฟรงก์ เกห์รี เริ่มต้นชีวิตสถาปนิกในลอสแองเจลิส เขาไม่ได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ปูด้วยพรมแดง แต่เขาก้าวเข้าสู่เมืองแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยโรงงาน โกดัง และวัสดุก่อสร้างราคาถูก ในขณะที่สถาปนิกยุคนั้นต่างพากันเชิดชูความเนี้ยบกริบ ความสะอาด และเส้นสายที่คมชัดตามแบบฉบับของ ‘มีส ฟาน เดอร์ โรห์’ (Mies van der Rohe) สถาปนิกชั้นครูผู้เชื่อในความสมบูรณ์แบบ แต่ เกห์รี กลับรู้สึกอึดอัดกับความงามที่จับต้องไม่ได้เหล่านั้น

เขาหลงใหลในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาเรียกมันว่า ‘Cheapskate Architecture’ หรือสถาปัตยกรรมยาจก แทนที่จะใช้หินอ่อนหรือกระจกราคาแพง เขากลับมองเห็นเสน่ห์ในวัสดุที่คนทั่วไปมองข้าม อย่าง ‘รั้วตาข่าย’ (Chain-link fencing) และ ‘ไม้อัด’ (Plywood)

“ผมชอบความตรงไปตรงมาของวัสดุราคาถูก ที่ดูไม่ ‘จงใจออกแบบ’ จนเกินไป มันเข้ากับแนวคิดทางการเมืองของผม”

ความตรงไปตรงมานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องรูปแบบ หากสะท้อนจุดยืนทางสังคมอันชัดเจนของเขา เขาเชื่อในการทำงานเพื่อคนหมู่มาก ไม่ใช่เพียงรับใช้ความหรูหราของคนรวย

“ผมเป็นยิวหัวก้าวหน้าที่ชอบทำเพื่อสังคมอย่างเข้ากระดูกดำ และมันยากสำหรับผมที่จะคิดว่าผมกำลังแก้ปัญหาอะไรได้จากการสร้างบ้านให้คนรวย”

ท่ามกลางโลกสถาปัตยกรรมที่ยังเต็มไปด้วยอุดมการณ์แบบโมเดิร์น ซึ่งเน้นความสมบูรณ์แบบ ความเรียบ ความเงียบสงบไร้ตำหนิ เกห์รี กลับสนใจสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาสนใจ ‘ความยังไม่เสร็จสมบูรณ์’ ความเคลื่อนไหวที่ยังค้างอยู่บนพื้นผิว ความรู้สึกว่ารูปทรงกำลังจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นในวินาทีถัดไป

เขายกตัวอย่างจากงานจิตรกรรมที่เขาหลงใหลมาตลอดชีวิต

“ผมสนใจในความยังไม่เสร็จสมบูรณ์… หรือคุณภาพแบบที่พบในงานของ Jackson Pollock หรือ de Kooning หรือ Cézanne ที่ดูเหมือนว่าสีเพิ่งถูกป้ายลงไป สถาปัตยกรรมที่เสร็จสมบูรณ์และสมบูรณ์แบบทุกรายละเอียดดูเหมือนจะไม่มีคุณภาพแบบนั้นสำหรับผม ผมเลยอยากลองทำแบบนั้นในอาคารดู”

สำหรับ เกห์รี รั้วตาข่ายที่เห็นได้ทั่วไปตามลานจอดรถหรือสนามเทนนิส ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่มันคือความจริงของเมือง เขาเคยกล่าวถึงวัสดุเหล่านี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ผมรักรูปลักษณ์ของมัน มันมีความเป็นมนุษย์ (humanity) และมันเข้าถึงได้ (accessibility) มันไม่ได้ดูสูงส่งจนแตะต้องไม่ได้... มันคือขั้วตรงข้ามของบ้าน Farnsworth House (ของมีส) ที่ซึ่งทุกรายละเอียดต้องสมบูรณ์แบบ คุณเข้าไปในนั้นแล้วถ้าคุณไม่เก็บที่นอนทันทีที่คุณลุกขึ้นมา มันก็เหมือนคุณทำลายโลกทั้งใบลงไปแล้ว”

จุดระเบิดทางความคิดที่ทำให้โลกต้องหันมามองเกห์รี ไม่ได้เกิดขึ้นที่ตึกระฟ้ากลางเมือง แต่เกิดขึ้นที่หัวมุมถนนสายหนึ่งในซานตาโมนิกา ในปี 1977 เกห์รีและภรรยา ‘เบอร์ตา’ (Berta) ตัดสินใจซื้อบ้านเก่าสไตล์ดัตช์โคโลเนียลสีชมพูหม่น ๆ หลังหนึ่ง แทนที่จะทุบทิ้งหรือรีโนเวตให้สวยงามตามสมัยนิยม เขากลับเลือกทำในสิ่งที่เพื่อนบ้านต้องอ้าปากค้าง

เกห์รีตัดสินใจ ‘ห่อหุ้ม’ บ้านหลังเก่าด้วยวัสดุใหม่อย่างแผ่นโลหะลูกฟูก ไม้อัด และรั้วตาข่าย โดยจงใจให้ดูเหมือน ‘ยังสร้างไม่เสร็จ’ (Unfinished) เขาฉีกกฎทุกข้อ ทุบผนังบางส่วนออก เผยให้เห็นโครงสร้างไม้ภายใน ราวกับต้องการหยุดเวลาไว้ในขั้นตอนของการก่อสร้าง

ผลลัพธ์ที่ได้คือความโกลาหลที่งดงาม แต่เพื่อนบ้านไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขามองว่ามันคือสิ่งแปลกปลอมที่ทำลายทัศนียภาพ บางคนถึงกับเรียกมันว่า ‘โรงงานไส้กรอกทิฮัวนา’ (Tijuana sausage factory) หรือแม้กระทั่ง ‘คุก’ แต่เกห์รีไม่ได้ยี่หระ 

สำหรับเขา ‘ความยุ่งเหยิง’ ไม่ใช่ปัญหา หากเป็นสภาวะของชีวิตจริง ชีวิตที่ไม่มีรูปทรงสมมาตร ไม่มีผิวเรียบจนไร้ร่องรอย และไม่สามารถควบคุมได้ด้วยไม้บรรทัดหรือกฎเกณฑ์สถาปัตยกรรมใด ๆ

เขาจึงเลือกจะกอดรับความยุ่งเหยิงนั้น แทนที่จะปฏิเสธมัน และสร้างอาคารที่มีลมหายใจของตัวเอง อาคารที่เคลื่อนไหวภายใน แม้จะหยุดนิ่งอยู่ในเมือง

บทเรียนจาก ‘แฟรงก์ เกห์รี’ จงกล้า ‘ไม่สมบูรณ์’ และอย่าหยุด ‘เล่น’ จนวันสุดท้าย

เขาอธิบายปรัชญาเบื้องหลังความยุ่งเหยิงนี้ว่า

“ในโลกใบนี้ คุณไม่สามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ สะอาด เรียบง่าย และปิดผนึกได้หรอก... สถาปัตยกรรมไม่สามารถทำความสะอาดความยุ่งเหยิง (mess) ได้ด้วยตัวคนเดียว และสิ่งที่ผมเห็นในงานสถาปัตยกรรมที่แสร้งทำเป็นว่าสะอาดเรียบร้อยนั้น มันคือการเสแสร้ง (contrivance)... ผมคิดว่าสถาปัตยกรรมควรจะรับมือกับความยุ่งเหยิงนั้นต่างหาก”

บ้านหลังนั้น ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือห้องทดลองทางความคิด เป็นการประกาศว่า ‘ความไม่สมบูรณ์’ ก็มีความงามในแบบของมัน และความงามนั้นไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่ง แต่มันเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แสงเงา และผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใน

นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘สุนทรียศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหว’ (Motion & Emotion) ที่ เกห์รี จะนำไปขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยในงานชิ้นต่อ ๆ ไปของเขา

เทคโนโลยีเพื่อปลดปล่อยจินตนาการ

ในยุคที่สถาปนิกทั่วโลกเริ่มหันมาใช้คอมพิวเตอร์เพื่อความรวดเร็วและประหยัดต้นทุน แฟรงก์ เกห์รี กลับยืนอยู่คนละฝั่งของกระแสธารนั้น สำหรับเขา คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เครื่องทุ่นแรง แต่คือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่จินตนาการของเขาเคยถูกขังไว้ด้วยข้อจำกัดทางวิศวกรรม

เป็นเรื่องน่าขันที่สถาปนิกผู้สร้างรูปทรงอันซับซ้อนระดับโลกคนนี้ ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว เกห์รี ยังคงทำงานด้วยวิธีดั้งเดิม คือการขยำกระดาษ ตัดโมเดล และวาดภาพร่างด้วยมือ (Hand-drawn sketches) ที่ดูยึกยือเหมือนลายเส้นของเด็ก แต่ปัญหาคือ ลายเส้นที่เต็มไปด้วยอารมณ์เหล่านั้นมักจะถูกวิศวกรและผู้รับเหมาปฏิเสธว่า “สร้างจริงไม่ได้”

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ ‘จิม กลิมฟ์’ (Jim Glymph) สถาปนิกในทีมของเขา แนะนำให้รู้จักกับซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า ‘CATIA’ ซึ่งไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่ออกแบบตึก แต่ถูกพัฒนาขึ้นโดยอุตสาหกรรมอวกาศของฝรั่งเศสเพื่อใช้ออกแบบเครื่องบินรบ!

เกห์รี ค้นพบความจริงที่น่าตื่นตะลึงว่า เส้นโค้งที่ซับซ้อนและบิดเบี้ยวในหัวของเขานั้น คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณและแปลงค่าให้กลายเป็นโครงสร้างที่สร้างได้จริง และที่สำคัญคือสร้างได้ในราคาที่จับต้องได้ วินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักว่าเทคโนโลยีไม่ได้เข้ามาเพื่อทำลายจิตวิญญาณของศิลปิน แต่คือเครื่องมือปลดแอก

“คอมพิวเตอร์... คือเครื่องมือที่ปลดปล่อยผมจากข้อจำกัด”

แต่ปรัชญาการใช้เทคโนโลยีของ เกห์รี นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การสร้างตึกสวย เขาเชื่อว่าในอดีต สถาปนิกเคยเป็น ‘Master Builder’ หรือนายช่างใหญ่ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการก่อสร้าง แต่ในยุคปัจจุบัน บทบาทนั้นถูกลดทอนลงด้วยความซับซ้อนของงานก่อสร้างและอำนาจของผู้จัดการโครงการ เกห์รี มองว่าเทคโนโลยีคืออาวุธที่จะช่วยให้สถาปนิกทวงคืนอำนาจนั้นกลับมา

ด้วยซอฟต์แวร์นี้ สถาปนิกสามารถควบคุมทุกองศาของความโค้งและทุกรายละเอียดของงบประมาณได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาการตีความของผู้รับเหมาอีกต่อไป มันคือการ ‘มอบอำนาจคืนสู่สถาปนิก’ (Re-empower the architect)

“ครั้งหนึ่งสถาปนิกเคยถูกยกย่องว่าเป็น ‘Master Builder’... แต่ตอนนี้เราถูกผลักไสไปอยู่ที่ขอบสนาม... การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยกอบกู้สถานะของสถาปนิกให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง”

สำหรับเกห์รี เทคโนโลยีไม่ใช่วิธีทำให้ตึก ‘ดูล้ำ’ หากเป็นเครื่องมือทำความฝันให้ยืนได้จริงในโลก โลกที่แรงดึงดูด น้ำหนักลม และโครงสร้างเหล็กยังเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องเคารพ

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ มันทำให้เขากลับไปสู่จุดเดิม สู่การเล่น การปั้นแบบด้วยมือยังเป็นหัวใจของงาน และเทคโนโลยีทำหน้าที่เพียงรับช่วงต่อให้ความกำกวม กลายเป็นรูปทรงที่สร้างได้จริง

เขาย้ำเสมอว่า การเริ่มต้นแบบของเขาไม่เคยมีคำตอบ

“ในการทำอาคาร ผมไม่รู้หรอกว่าจะไปจบที่ตรงไหนตอนเริ่มต้น ถ้าผมรู้ว่าปลายทางคือที่ไหน ผมคงไม่ไปที่นั่นแน่นอน”

ความไม่รู้คือพื้นที่อิสระของเขา ความกำกวมคือสนามเด็กเล่น และเทคโนโลยีคือประตูที่เปิดให้ความคิดที่ยังไม่เกิดรูป กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่เดินได้จริงในเมือง

ผลงานระดับตำนาน: ชัยชนะและความเจ็บปวด

เมื่อเทคโนโลยี CATIA เข้ามาปลดล็อกจินตนาการ แฟรงก์ เกห์รี ก็พร้อมแล้วที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ แต่เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันคือบททดสอบที่เต็มไปด้วยดราม่า การเมือง และเดิมพันที่สูงลิบลิ่ว

เริ่มจากปาฏิหาริย์ที่บิลเบา (The Miracle in Bilbao) ในช่วงทศวรรษ 1990s เมืองบิลเบา (Bilbao) ทางตอนเหนือของสเปน เป็นเพียงเมืองอุตสาหกรรมที่ซบเซาและกำลังเสื่อมถอย รัฐบาลบาสก์ต้องการแลนด์มาร์กใหม่ที่จะพลิกฟื้นเมืองให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และพวกเขาเลือก เกห์รี

สถาปนิกคนนี้รู้ดีว่าความคาดหวังทั้งหมดนี้กำลังถ่ายเทมาที่เขาเพียงคนเดียว

เขาเริ่มต้นแบบด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เป็นหัวใจของงานทั้งหมด “คุณจะสร้างอาคารขนาดมหึมาให้มีความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?”

จากนั้นเขาอธิบายถึงสิ่งที่พยายามทำในบิลเบา

“ผมพยายามปรับให้เข้ากับเมือง… ในบิลเบา ผมคำนึงถึงสะพาน แม่น้ำ ถนน แล้วพยายามสร้างอาคารที่มีสัดส่วนเข้ากับเมืองในศตวรรษที่ 19”

เกห์รี ไม่ได้ออกแบบแค่พิพิธภัณฑ์ แต่เขาสร้างประติมากรชิ้นยักษ์ที่ห่อหุ้มด้วย ‘ไทเทเนียม’ (Titanium) วัสดุที่ไม่ค่อยมีใครนำมาใช้กับอาคาร แผ่นไทเทเนียมบางเฉียบกว่า 33,000 แผ่น ถูกนำมาเรียงต่อกัน บิดโค้งราวกับเกล็ดปลาหรือกลีบดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง เพื่อจับแสงอาทิตย์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน

อาคารโลหะสีเงินที่บิดโค้งราวเกล็ดปลา แรงบันดาลใจจาก ‘ปลา’ ที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของเขามาตั้งแต่วัยเด็ก ค่อย ๆ กลายเป็นรูปเป็นร่างกลางเมืองที่ถูกบดขยี้ด้วยอุตสาหกรรมหนัก

แต่เมื่อมันเสร็จจริง เขากลับรู้สึกสั่นไหว

เกห์รีเล่าว่าตอนเห็นงานตนเองครั้งแรก เขาแทบหยุดหายใจ

“ตอนผมเห็นบิลเบาครั้งแรก… ผมอุทานว่า ‘พระเจ้าช่วย ผมทำอะไรลงไปกับคนพวกนี้เนี่ย?’”

เมื่อ Guggenheim Museum Bilbao เปิดตัวในปี 1997 ผู้คนนับล้านหลั่งไหลเข้ามาชมสถาปัตยกรรมที่ดูเหมือนหลุดมาจากความฝันนี้ เมืองฟื้นตัว เศรษฐกิจเปลี่ยนหน้าตา

บทเรียนจาก ‘แฟรงก์ เกห์รี’ จงกล้า ‘ไม่สมบูรณ์’ และอย่าหยุด ‘เล่น’ จนวันสุดท้าย

โลกเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘The Bilbao Effect’

‘ฟิลิป จอห์นสัน’ (Philip Johnson) สถาปนิกผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อได้เห็นมัน และกล่าวคำยกย่องที่กลายเป็นตำนานว่า

“(มันคือ)อาคารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา”

ในขณะที่บิลเบาคือชัยชนะที่หอมหวาน อีกฟากหนึ่งของโลกที่บ้านเกิดอย่างลอสแองเจลิส โปรเจกต์ Walt Disney Concert Hall กลับกลายเป็นมหากาพย์แห่งความเจ็บปวดที่เกือบจะทำลายอาชีพของเขา

แม้ เกห์รี จะชนะการประกวดแบบตั้งแต่ปี 1988 แต่โครงการกลับประสบปัญหาอย่างหนัก ทั้งงบประมาณที่บานปลาย การเมืองภายใน และความไม่เชื่อมั่นจากผู้บริหารโครงการ จนงานก่อสร้างถูกสั่งหยุดชะงักในปี 1994 เกห์รีเล่าถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่าเขา ‘ใจสลาย’ และรู้สึกเหมือนเป็น ‘คนนอกคอกในเมืองของตัวเอง’

ในกระบวนการทำงาน บางคนไม่รับฟังเขาเพราะบทบาท ‘ศิลปิน’ ที่ถูกติดป้ายให้

“พวกเขาไม่อยากฟังผมเพราะผมเป็นพวกสายสร้างสรรค์… พวกเขาปัดตกความเห็นผมเพราะผมเป็น ‘อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่’ และทุกครั้งที่พวกเขาพูดคำนี้ ผมจะรู้สึกขยาด ผมถูกคำว่าอัจฉริยะเล่นงานจนน่วมแล้ว”

ความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นที่เขาตัดสินใจยื่นใบลาออกและขอถอนชื่อออกจากโครงการ แต่สุดท้าย ด้วยความช่วยเหลือของ ‘ไดแอน ดิสนีย์ มิลเลอร์’ (Diane Disney Miller) ลูกสาวของวอลต์ ดิสนีย์ ที่ยืนยันว่า “เราสัญญากับลอสแองเจลิสว่าจะให้ตึกของแฟรงก์ เกห์รี และนั่นคือสิ่งที่เราจะส่งมอบ” โครงการจึงได้เดินหน้าต่อ

บทเรียนจาก ‘แฟรงก์ เกห์รี’ จงกล้า ‘ไม่สมบูรณ์’ และอย่าหยุด ‘เล่น’ จนวันสุดท้าย

เกห์รี รักดนตรีคลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ สำหรับเขา คอนเสิร์ตฮอลล์แห่งนี้ต้องเป็นมากกว่าสถานที่แสดงดนตรี แต่ต้องเป็น ‘ห้องนั่งเล่นของเมือง’ ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้

เขาทำงานร่วมกับ ‘ยาสุชิสะ โตโยตา’ (Yasuhisa Toyota) นักสวนศาสตร์ (Acoustician) ชาวญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพื่อออกแบบภายในห้องโถงที่บุด้วยไม้ Douglas fir เพื่อให้มีระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยที่ผู้ชมนั่งล้อมรอบวงดุริยางค์ สร้างความรู้สึกใกล้ชิดและเป็นหนึ่งเดียว

ภายนอกอาคาร ใบเรือสแตนเลสที่ซ้อนทับและพลิ้วไหว ไม่ได้เป็นเพียงความงามทางสายตา แต่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของ L.A. เมืองแห่งความเคลื่อนไหวและแสงสี เมื่อเสร็จสมบูรณ์ในปี 2003 อาคารแห่งนี้ได้ลบคำสบประมาททั้งหมด และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองภาคภูมิใจที่สุด

มรดกของชายผู้ไม่เคยหยุดเล่น 

ในโลกที่สถาปนิกชื่อดังก้องโลกมักถูกจดจำด้วยอีโก้ที่สูงเสียดฟ้าและความมั่นใจที่เปี่ยมล้น แฟรงก์ เกห์รี เลือกที่จะจารึกชื่อในความทรงจำของผู้คนด้วยวิธีที่ต่างออกไป เขาไม่ได้ทิ้งไว้เพียงอาคารรูปทรงมหัศจรรย์ แต่เขาทิ้ง ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่จับต้องได้ไว้ในทุกเส้นสายที่เขาวาด คือสถาปัตยกรรมที่หายใจได้ มีความรู้สึก และพร้อมที่จะโอบกอดผู้คนที่เดินเข้าไปข้างใน

หากจะมีคำสักคำที่นิยามชีวิตวัย 96 ปีของ เกห์รี ได้ดีที่สุด คำนั้นคงไม่ใช่ ‘การทำงาน’ แต่คือ ‘การเล่น’

ในงานวันเกิดครบรอบ 85 ปีของเขาที่บิลเบา ศิลปินดังอย่าง ‘อนิช คาปูร’ (Anish Kapoor) ได้ส่งสาส์นอวยพรที่จับหัวใจของเกห์รีได้อย่างแม่นยำที่สุด

“แด่แฟรงก์, ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเฝ้ามองคุณเล่น เล่นอย่างจริงจัง แต่ก็ยังคือการเล่น... ผมขอบอกว่า นั่นคือความลับของการมีชีวิตที่ดี”

เกห์รี ไม่เคยหยุดเป็นเด็กชายคนนั้น เด็กชายที่นั่งบนพื้นครัวกับคุณยาย ต่อเศษไม้ให้เป็นเมืองในฝัน เขาไม่เคยปล่อยให้ความเป็นผู้ใหญ่หรือกฎเกณฑ์ของโลกมาพรากจินตนาการนั้นไป 

แฟรงก์ เกห์รี จากโลกนี้ไป แต่เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สถาปัตยกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของการกันแดดกันฝน หรือการอวดศักดาของเทคโนโลยี แต่มันคือศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้ลึกซึ้งไม่ต่างจากดนตรีหรือภาพวาด

และในวันนี้ อาคารไทเทเนียมที่บิดโค้งในบิลเบา ใบเรือสแตนเลสที่ลอสแองเจลิส และผลงานอีกมากมายทั่วโลก คือประจักษ์พยานว่าเขาทำสำเร็จแล้ว

จากเด็กชาย Frank Owen Goldberg ผู้ถูกพ่อปรามาสว่าเป็นคนช่างฝัน สู่ Frank Gehry ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่ได้แค่สร้างตึก แต่เขาสร้างแรงบันดาลใจให้เราทุกคนกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะแตกต่าง และที่สำคัญที่สุด... กล้าที่จะไม่หยุดเล่น

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images

 ที่มา:

     Goldberger, Paul. Building Art: The Life and Work of Frank Gehry. Alfred A. Knopf, 2015.