09 ธ.ค. 2568 | 17:24 น.

KEY
POINTS
(๑) พุทธพาณิชย์กับการเมืองไทย ๆ
หลังจากประสบความสำเร็จไปในซีซันแรก ซีรีส์เรื่อง ‘สาธุ ซีซัน 2’ ก็เดินเครื่องต่อ โดยเล่นประเด็นเกี่ยวข้องกับบทบาทสงฆ์และการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะ ‘เซนซิทีฟ’ สำหรับสังคมไทย
จากละครซีรีส์ ก็หันมามองความจริงกันซักหน่อย บางครั้งเรื่องในซีรีส์ก็กระจอกไปเลย เมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเป็นข่าวให้เจ็บปวดรวดร้าวระบมกันไม่เว้นแต่ละมือแต่ละเดย์!
อนึ่ง มีนักวิชาการเสนอกันมามากแล้วว่า ‘พุทธพาณิชย์ไทย’ ไม่ได้ดำรงอยู่ได้แค่เพราะกระแสทุนนิยม หากแต่ยังมีมิติสัมพันธ์กับระบบสังคมการเมือง เมื่อการเมืองแย่ ได้ผู้นำห่วยหรือมีรัฐบาลที่ล้มเหลวไม่เอาอ่าว เศรษฐกิจก็แย่ตาม พอเศรษฐกิจแย่ ชาวบ้านก็หันไปพึ่งพาศาสนา จึงเป็นเหตุให้พุทธพาณิชย์รุ่งเรืองเฟื่องฟู สวนทางกับความตกต่ำของการเมืองและเศรษฐกิจอย่างวนหลูปกันไป
ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะมาแสดงข้อถกเถียงหรือสนทนาอะไรกับประเด็นเหล่านี้ที่เอาจริงก็รู้ ๆ กันอยู่ดีแล้ว แต่เฉพาะประเด็นที่สาธุนำเสนอนั้นก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย แม้จะเป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่อีกเหมือนกัน แต่บ่อยครั้งที่เรื่องที่เหมือนจะรู้ ๆ กันอยู่แล้วนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏงานศึกษาจริงจัง ไม่มีใครเสนอเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัย เพราะหากเสนอมหาวิทยาลัยกับหน่วยงานให้ทุนก็อาจปฏิเสธได้ง่าย ๆ ดังนั้นก็เข้าใจได้ในแง่ที่ว่าก็แล้วจะเสียเวลาเสียพลังงานเขียนข้อเสนองานวิจัยส่งให้บรรดาเมธีผู้ทรงเกียรติทั้งหลายนั้นย่ำยีลงถังขยะกันไปทำอะไร
บทบาทสงฆ์ในการเมืองไทยมีกี่แบบ แบบไหนประสบความสำเร็จ แบบไหนล้มเหลว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นี่คือคำถามนำสำหรับบทความนี้
(๒) ‘คณะสงฆ์’ องค์กรจัดตั้งเก่าแก่สุดในสังคมไทยและอุษาคเนย์
ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีข่าว ‘พระกับสีกา’ โดยเฉพาะกรณีสีกากอล์ฟ คงจำกันได้ในโลกโซเชียลมีมีมล้ออยู่พักหนึ่ง (ก่อนที่เพจทนายธาตรีจะมาแย่งซีนไป) ก็คือมีมล้อ “ผู้ชายคณะไหน รวยสุด” คำตอบคือ ‘คณะสงฆ์’ จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ คณะสงฆ์เป็นองค์กรจัดตั้งทางสังคมที่อยู่ยั่งยืนในสังคมนี้มามากกว่าสถาบันชาติใด ๆ เสียอีก เพราะดังที่ทราบกันว่า รัฐชาติเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ มานี้เอง ใครไม่เชื่อก็ไปเถียงกับอาจารย์เบน (เบน แอนเดอร์สัน) กับอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล กันเอาเอง
ในประวัติศาสตร์ไทย คณะสงฆ์มีมายาวนานก่อนศตวรรษที่ ๑๙ ร่นไปจนก่อนสุโขทัย และก่อนอยุธยา เสียอีก ไม่มีคณะพรรคการเมืองใด ๆ ที่จะเทียบเทียมความอยู่ยั่งยืนนี้ได้ แม้แต่กองทัพซึ่งมีความพยายามจะอธิบายว่าเป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ก็ไม่ใช่องค์จัดตั้งที่มีมาก่อนหน้าศตวรรษที่ ๑๙ เช่นกัน กองทัพสมัยใหม่ เกิดภายหลังจากยกเลิกระบบไพร่ ส่วนใครจะบอกว่าระบบไพร่ยังคงฝังรากอยู่กับระบบทหาร นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กองทัพที่ช่วยสมเด็จพระนเรศวรรบกับพม่า กับกองทัพที่มาทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางจะเป็นกองทัพเดียวกันไปได้ ผู้ที่ช่วยสมเด็จพระนเรศวรรบกับพม่า ช่วยพระเจ้าตากสินฯ กอบกู้อาณาจักรนั้นล้วนแต่เป็นไพร่ที่ถูกเกณฑ์มาจับอาวุธ ไม่ใช่กองทัพที่ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์แบบสมัยใหม่
แต่คณะสงฆ์ที่เคยมีบทบาทในสมัยกรุงศรีอยุธยากับคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ ไม่ใช่องค์กรที่แตกต่างกันราวฟ้าเหว เหมือนอย่างองค์กรอื่น ๆ แน่นอนว่าในยุคสมัยใหม่ คณะสงฆ์มีการปรับตัวไปมากกว่าในยุคอดีตก่อนหน้าก็จริง แต่กล่าวได้ว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ยิ่งวัตรปฏิบัติแบบเก่ายิ่งถือว่าเป็นของแท้ ยิ่งสวดมนต์แบบเก่าได้ ยิ่งเทศน์แบบออริจินได้ ยิ่งขลัง ตรงข้ามกับทหาร ตำรวจ หรือคณะพรรคราชการอื่นใด ขืนยังใช้กระบี่กระบองอยู่ ไม่มีทางจับคนร้ายได้ ถ้ายังฝึกแบบอยุธยา ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะเอารถถังมายึดอำนาจได้
สภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นแต่เฉพาะในสังคมไทย ทั่วทั้งอุษาคเนย์ที่นับถือพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา เป็นเหมือนกันหมด
เมื่อเป็นองค์กรจัดตั้งเก่าแก่ อำนาจบารมีก็มากตามมา ตัวอย่างจากประสบการณ์ เมื่อครั้งผู้เขียนยังทำงานสอนหนังสืออยู่ที่จังหวัดอดีตราชธานีไทยแห่งหนึ่ง (คือพระนครศรีอยุธยาที่ถูกทำให้เป็น ‘ทุ่งรับน้ำ’ อยู่ตอนนี้นั่นแหละขอรับ) ผู้หลักผู้ใหญ่มักจะเตือนอาจารย์นักวิชาการหนุ่ม ๆ เช่นผู้เขียนกับเพื่อนอยู่เสมอว่า
“อยู่ที่นี่ ทะเลาะกับใครก็ไม่เป็นไร จะทหาร ตำรวจ กรมศิลป์ ก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามีเรื่องกับพระเป็นอันขาด”
เพื่อนผู้เขียนท่านหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามนะครับ) ถึงกับบอกว่า “คำเตือนนี้เหมือนบอกเป็นนัย ๆ ว่า คนในเครื่องแบบไหน ใหญ่และมีอำนาจจริง”
ใครจะอยากทะเลาะมีเรื่องกับพระสงฆ์องค์เจ้ากันล่ะ (จริงมั้ย?)
(๓) บทบาทคณะสงฆ์ ๔ แบบ
เท่าที่ลองไล่เลียงนึก ๆ ดู ในประวัติศาสตร์ไทย บทบาทองค์กรจัดตั้งเก่าแก่ยาวนานที่สุด (ไม่มีตุลาการภิวัฒน์ที่ไหนจะมายุบได้ ไม่ว่าคนในคณะพรรคนี้จะทำผิดแค่ไหนก็ตาม) คงมีอยู่ ๔ แบบ (อย่างคร่าว ๆ) ดังนี้
(๓.๑) สายเชียร์
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสายปกติทำทีไม่ยุ่งเกี่ยว แต่จะว่าไม่เกี่ยวข้องเลยก็ไม่ได้เพราะการไปเชียร์ผู้มีอำนาจก็เป็นการเล่นการเมืองแบบหนึ่ง ตัวอย่างที่โดดเด่นในสายนี้เห็นจะได้แก่ ‘สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว’ องค์สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ-สมเด็จพระนเรศวร
ที่มีเรื่องว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยังเป็นพระเธียรราชา ได้รับคำชักชวนจากขุนพิเรนทรเทพกับพรรคพวก ให้กระทำการยึดอำนาจโค่นล้มกลุ่มขุนวรวงศาธิราช-พระนางศรีสุดาจันทร์ พระเธียรราชาซึ่งลี้ภัยไปบวชอยู่วัดราชประดิษฐาน รู้สึกไม่มั่นใจตนเองว่าจะมีบุญ-บุญถึงหรือไม่ ขุนพิเรนทรเทพจึงได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงทายที่โบสถ์วัดป่าแก้ว โดยจุดเทียนขึ้นมาสองเล่ม กำหนดให้เป็นตัวแทนบุญบารมีของขุนวรวงศาธิราชเล่มหนึ่ง อีกเล่มเป็นตัวแทนบุญบารมีของพระเธียรราชา ปรากฏว่าเทียนของพระเธียรจะมอดดับ เทียนของขุนวรวงศาธิราชพุ่งสว่างไสว แต่ขุนพิเรนทรเทพซึ่งกำลังเคี้ยวหมากอยู่ สบถแล้วน้ำหมากกระเด็นไปโดนเทียนของขุนวรวงศาธิราชดับลง จึงเป็นนิมิตหมายว่าพระเธียรราชามีบุญบารมีมากกว่าขุนวรวงศาธิราช
ความในพระราชพงศาวดารยังระบุว่าในเวลาไม่นานหลังจากพิธีเสี่ยงเทียนได้ผ่านพ้นไปแล้วนั้น สมเด็จพระพนรัตน์เจ้าอาวาสผู้ครองวัดป่าแก้วซึ่งหลบอยู่นั้น ก็ได้เปิดประตูโบสถ์เข้ามา และเมื่อรับทราบว่าทุกท่านที่มาในที่นั้นคิดอ่านกระทำการสิ่งใด สมเด็จพระพนรัตน์ไม่ได้ห้ามปราม ยังกล่าวเชียร์อำนวยอวยชัยให้สำเร็จสมดังปรารถนาอีกด้วย
แต่เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ พระศรีศิลป์ ทายาทของสมเด็จพระไชยราชาอีกองค์หนึ่ง ได้ก่อการกบฏ ก็ได้ไปขอฤกษ์ยามในการยกกำลังบุกวังมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เมื่อตอนแรกสนับสนุนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่ต่อมาทำไมไยจึงไปสนับสนุนพระศรีศิลป์ เรื่องนี้ที่จริงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหากเทียบระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับขุนวรวงศาธิราช เวลานั้นผู้คน (รวมทั้งสมเด็จพระพนรัตน์) อาจจะเลือกข้างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับทายาทสายตรงของสมเด็จพระไชยราชา สมเด็จพระพนรัตน์อาจจะเห็นว่าพระศรีศิลป์มีบุญบารมีหรือเหมาะสมมากกว่าก็อาจเป็นได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ให้ฤกษ์แก่กบฏ สมเด็จพระพนรัตน์ก็ยังไม่โดนลงพระราชอาญา ยังมีชีวิตอยู่จนถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวร แถมยังเป็นที่เคารพของสมเด็จพระนเรศวรอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากเรื่องเมื่อครั้งทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชามังสามเกียดนั้น อันที่จริงช้างของพระองค์หลุดเข้าไปอยู่วงล้อมของข้าศึก เหล่าขุนศึกและไพร่พลในทัพของพระองค์วิ่งตามเสด็จไปไม่ทัน เคราะห์ดีที่ทรงกระทำยุทธหัตถีได้รับชัยชนะ เมื่อเสด็จกลับคืนพระนครแล้วก็จึงรับสั่งให้นำตัวขุนศึกที่ตามเสด็จไปไม่ทันในศึกนี้ไปประหารชีวิตเสีย
แต่ขุนศึกเหล่านี้ก็รอดตายอย่างหวุดหวิดเพราะสมเด็จพระพนรัตน์ได้ช่วยกราบทูลขอชีวิตไว้ เหตุผลที่ใช้กราบทูลขอชีวิตแก่เหล่าขุนศึกนายทหารครั้งนั้นก็โคตรจะแสดงออกถึงความเป็นสายชะเลีย เอ้ย เชียร์ ว่า เพราะการตามเสด็จไม่ทันของขุนศึกนายทหารเหล่านี้ไม่ใช่หรือ พระองค์ถึงได้โอกาสในการแสดงกฤดาภินิหารในการเอาชนะข้าศึกศัตรูได้โดยลำพังพระองค์เอง
(๓.๒) สายซัพพอร์ต
สายนี้เป็นอีกเลเวลหนึ่ง เขยิบจากสายเชียร์ ตรงที่มีบทบาทเกี่ยวข้องอยู่มากกว่า เมื่อเทียบกับสายที่แอบเชียร์อยู่ข้างหลัง (ทั้งแบบลับ ๆ และเปิดเผยโจ่งแจ้ง) เพราะเป็นสายที่มีบทบาทในการซัพพอร์ตแบบจัดหนักจัดเต็ม ตัวอย่างของสายนี้ก็เช่น พระอาจารย์ธรรมโชติแห่งค่ายบางระจัน
หลักฐานของพม่าระบุด้วยซ้ำไปว่าพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของค่ายบางระจัน แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับหลักฐานอื่น ๆ แล้ว ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เป็นบทบาทของพระภิกษุในการซัพพอร์ตเหล่านักรบที่ค่ายนั้นมากกว่า
ทั้งที่พระอาจารย์ธรรมโชติสนับสนุนการฆ่าฟันโดยตรง แต่กลับได้รับการยกย่อง ทั้งนี้เพราะแนวคิดชาตินิยมที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ชาติมากกว่าความเป็นมนุษย์ มากกว่าหลักศาสนา การที่พระอาจารย์ธรรมโชติมาเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ชาวบางระจัน แจกผ้ายันต์ ทำพิธีปลุกขวัญ ตลอดจนอาจมีส่วนร่วมในการประชุมวางแผนการรับศึกด้วย แทนที่จะถูกมองเป็นการละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรง และไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เพราะชาตินิยมทำให้คนยกย่องบทบาทนี้ไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าพระฝาง สวางคบุรี ซึ่งตกเป็นผู้ร้ายในเชิงเปรียบเทียบกับพระอาจารย์ธรรมโชติ ทั้งที่ลักษณะการละเมิดพระธรรมวินัยก็คล้ายคลึงกัน เกี่ยวข้องกับการฆ่าฟันเช่นกัน แต่เพราะเจ้าพระฝางอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษของชาติ’ ไปแล้ว (ถึงจะมีข้อกล่าวหาว่าทรงพระสติวิปลาสอย่างไร แต่บทบาทในช่วงกอบกู้บ้านเมืองก็ยังคงทำให้พระองค์เป็นวีรบุรุษ) เมื่อมีวีรบุรุษในทางตรงข้ามก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมี ‘ผู้ร้าย’ หรือ ‘ตัวโกง’ ในที่นั้นเจ้าพระฝางถูกจัดวางให้เป็นผู้ร้ายไป เพราะถูกจัดวางเป็นคู่ตรงข้ามกันแต่แรก ยิ่งเจ้าพระฝางร้ายแค่ไหน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับพระอาจารย์ธรรมโชติก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ สายซัพพอร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ได้รับการยกย่องตลอดกาล น่าจะเป็นคำกล่าวที่เหมาะสมสำหรับกรณีพระอาจารย์สี (บางแห่งเขียน ‘ศรี’) อดีตเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง และดำรงสมณศักดิ์เป็นพระสังฆราชาฝ่ายใต้ (ก่อนหน้าสมัยรัชกาลที่ ๕ พระสังฆราชมีหลายองค์) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ พระอาจารย์สีได้หลบลี้ภัยกลับไปบ้านเกิดคือที่นครศรีธรรมราช
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงปราบปรามก๊กเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ได้สำเร็จ ก็ได้อัญเชิญพระอาจารย์สีขึ้นมาจำพรรษาอยู่ที่กรุงธนบุรี คืนสมณศักดิ์ให้เป็นพระสังฆราชาฝ่ายใต้ดังเก่า พระอาจารย์สีเป็นผู้มีบทบาทมากในการฟื้นฟูบ้านเมืองหลังกรุงแตก อาจกล่าวได้ว่าพระอาจารย์สีเป็นผู้นำฝ่ายสงฆ์ (พุทธจักร/ศาสนจักร) ในการฟื้นฟูบ้านเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้นำทางโลกย์หรือฝ่ายอาณาจักรในบทบาทเดียวกัน
บทบาทของพระอาจารย์สีในสมัยนั้นก็ได้แก่ การคัดลอกพระไตรปิฎก การสร้างสมุดภาพไตรภูมิ การปฏิรูปพระธรรมวินัย วางระบบระเบียบแบบแผนการพระสงฆ์ต่าง ๆ เพราะการพระศาสนาเศร้าหมองเสื่อมถอยไปมากหลังจากกรุงแตก
ถึงแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จะถูกโค่นล้มลง และเมืองหลวงได้ย้ายจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงเทพฯ พระอาจารย์สีก็ยังมีบทบาทเป็นผู้นำในกระบวนการฟื้นฟูพุทธศาสนาในสมัยต้นกรุงเทพฯ ต่อมา และอันที่จริงการรัฐประหารโค่นล้มฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ลงเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ ก็ได้รับการซัพพอร์ตจากพระอาจารย์สีและคณะอยู่ด้วย เพราะกลุ่มนี้เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไม่เหมาะจะครองราชย์บัลลังก์ เนื่องจากไม่ใช่สืบสายมาจาก ‘ผู้ดีเก่า’ ของอยุธยา ชาวคณะนี้เลยสนับสนุนอีกกลุ่มขึ้นมาแทน ซึ่งก็สเตปเดียวกับที่เคยเลิกสนับสนุนสมเด็จพระนารายณ์มาซัพพอร์ตสมเด็จพระเพทราชา
(๓.๓) สายผู้นำ
ในประวัติศาสตร์ไทย มีผู้นำคณะสงฆ์ที่กลายมาเป็นผู้นำทางโลกย์ไม่น้อย ก่อนหน้ารัชกาลที่ ๔ ก็เคยมีกรณีพระพิมลธรรม ซึ่งก็คือสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมในเวลาต่อมา
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมผู้ซึ่งมีปริศนาเรื่องพระชาติกำเนิด บางท่านเสนอว่าเป็นโอรสของสมเด็จพระนเรศวรที่เลี่ยงราชภัยในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถไปผนวช บางท่านก็ว่าเป็นเชื้อสายขุนนางใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเป็นพระพิมลธรรมมีสถานะเป็นผู้นำคณะสงฆ์ในยุคที่กษัตริย์เวลานั้นทรงบกพร่องทั้งทางพระวรกายและทางพระสติปัญญา ก็นับว่าเป็นผู้มีบุญบารมีด้วยองค์หนึ่ง
ทางพระวรกาย สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ทรงมีพระเนตรข้างเดียว ทางพระสติปัญญาก็เป็นที่ครหาว่าทรงไม่เฉียบแหลม และมีพระทัยโอนเอียง ลุ่มหลงนารี จนเสียราชกิจ เวลานั้นผู้คนจึงหันสปอตไลท์ไปที่พระพิมลธรรม จนกระทั่งเมื่อพระพิมลธรรมเห็นว่าได้รับความสนับสนุนจากชาวเมืองมากแล้ว ก็ลาสิกขาบทออกมานำทัพบุกเข้ายึดพระราชวัง ตั้งตนเป็นกษัตริย์
แต่ผู้นำที่อยู่ภายใต้คณะสงฆ์มานาน แม้ได้การยกย่องยอมรับเป็นคนดีมีบุญบารมี ทว่าก็มีข้อบกพร่องในด้านวิชันทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุให้ขุนนางผู้มีวิชันในเรื่องนี้ได้โอกาสตั้งตัว ขุนนางคนดังกล่าวนี้ก็คือสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในเวลาต่อมานั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่งของผู้นำคณะสงฆ์แล้วประสบความสำเร็จ ก็คือสมเด็จพระเพทราชา ก่อนหน้าปีที่จะกระทำรัฐประหารยึดอำนาจโค่นล้มราชวงศ์ปราสาททอง ก็เคยลาออกจากราชการไปบวชอยู่วัดพระยาแมน เวลานั้นราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ลพบุรี การมาบวชอยู่วัดพระยาแมน ซึ่งคือตอนบนเหนือเมืองอยุธยา และเป็นทางแพร่งสามแยกระหว่างสุพรรณบุรี อยุธยา และลพบุรี
นอกจากจะเป็นที่ที่สามารถรวบรวมกำลังจากสุพรรณบุรี วิเศษไชยชาญ และอยุธยา ได้สะดวกแล้ว ในตอนนั้นที่ราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มีเรื่องกอสซิปว่าทรงเปลี่ยนไปเข้ารีตนับถือคริสตศาสนาแล้วนั้น การที่ขุนนางใหญ่อย่างออกพระเพทราชา ลาออกจากราชการไปบวช ย่อมเป็นการแสดงตัวต่อคณะสงฆ์ในฐานะตัวแทนผลประโยชน์ได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งลูกชายบุญธรรมของออกพระเพทราชาคือหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือในเวลาต่อมา) ยังเคยมีเรื่องถึงขั้นลงไม้ลงมือชกหน้าออกญาวิไชยเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) โทษฐานที่ไปสั่งให้สึกพระมาทำราชการ การกระทำของออกญาวิไชยเยนทร์สร้างความไม่พอใจให้แก่คณะสงฆ์เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็เป็นปลื้มกับการแสดงออกของหลวงสรศักดิ์
คณะสงฆ์จึงสนับสนุนกลุ่มพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ในการยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์ และเมื่อเผชิญกับกองทัพไพร่ที่รวบรวมมาโดยธรรมเถียร ก็เป็นคณะสงฆ์อีกที่มีบทบาทในการปกครองราชสำนักสมเด็จพระเพทราชาให้รอดพ้นจากการกบฏของไพร่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา
(๓.๔) สายต่อต้าน
ไม่ใช่ว่าพอเป็นคนคณะสงฆ์นี้แล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสายไหนด้วย หากเป็นสายต่อต้าน ไม่ใช่สายเชียร์ สายซัพพอร์ต หรือสายผู้นำ ไม่เพียงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพอล้มเหลวแล้วแม้แต่ศีรษะก็หลุดจากบ่า
มีหลายกรณีด้วยกันที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น กรณีกบฏญาณพิเชียรในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา, กบฏธรรมเถียรในสมัยสมเด็จพระเพทราชา, กบฏบุญกว้างในสมัยสมเด็จพระเพทราชา, กบฏเจ้าพระฝางในสมัยธนบุรี, กบฏพระสาเก็ดโง้งสมัยรัชกาลที่ ๒, กบฏผู้มีบุญอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้น
กบฏเหล่านี้ล้วนมีผู้นำเป็นคนสำคัญในวงการสงฆ์มาก่อนทั้งสิ้น แน่นอนว่าเป็นผู้นำในคณะสงฆ์ที่เห็นประโยชน์สุขของไพร่มากกว่าชนชั้นนำ เพราะพื้นเพที่มาแตกต่าง อีกทั้งพุทธศาสนาแบบที่ชาวบ้านประชาชนนับถือยังแตกต่าง (จนบางครั้งก็ตรงข้าม) กับที่ชนชั้นนำที่เมืองหลวงนับถือ ความเชื่อหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว ก็คือความเชื่อเรื่องยุคพระศรีอาริย์ เป็นต้น
สำหรับชนชั้นนำ ยุคพระศรีอาริย์อาจต้องรอไปจนกว่าศาสนาของพระสมณโคดมจะสิ้นสุดลงเมื่อดำเนินไปได้เป็นเวลากว่า ๕ พันปี ซึ่งหมายความว่ามนุษย์และเหล่าสัตว์จะต้องตายแล้วเกิดใหม่ไม่รู้กี่ร้อยพันชาติกว่าจะได้พบพระศรีอาริย์ แต่สำหรับชาวบ้านประชาชน มีความเชื่อมานานแล้วว่า ยุคพระศรีอาริย์สามารถเกิดขึ้นได้ใน ‘ยุคนี้’ ไม่ต้องรอไปจนถึง ‘ยุคหน้า’ (หรือโลกหน้า)
หากชนชั้นนำเสื่อมบุญบารมีไม่ตั้งอยู่ในสัจในธรรมเมื่อใดเมื่อนั้น พระศรีอาริย์ก็จะต้องปรากฏขึ้น ความเชื่อเรื่องยุคพระศรีอาริย์เช่นนี้เองเป็นความเชื่อที่ขับเคลื่อนขบวนการกบฏของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะชาวบ้านประชาชนในหัวเมืองชนบทที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ
บางกรณี เช่น ภาคอีสาน ยังมีบริบทที่เฉพาะไปอีก เพราะเป็นบ้านเมืองที่พื้นฐานเกิดจากการอพยพของพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ออกจากเวียงจันทร์มาสร้างบ้านแปงเมือง ในอีสานและลาวใต้ ตั้งแต่เมื่อสมัยที่ตรงกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เมื่อกรุงเทพฯ ภายใต้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงดำเนินนโยบายปฏิรูปรวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง ยุบเลิกอำนาจของผู้นำทางโลกย์ในระบบราชการขุนนางท้องถิ่นที่เรียกว่า ‘อาญาสี่’ ไป อีสานก็เหลือผู้นำทางจิตวิญญาณคือคณะสงฆ์ในท้องถิ่น คนเหล่านี้จึงสึกออกมานำการต่อสู้ ไม่ยอมรับอำนาจของสยามในสมัยนั้น
(๔) บทสรุปและส่งท้าย
บทบาทคณะสงฆ์ยังมีอีกมาก ที่ผู้เขียนหยิบยกมาก็เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น พุทธพาณิชย์เป็นกระแสล่าสุด แต่ไม่ใช่กระแสแรกของบทบาทคณะสงฆ์ ถ้ามองจากตัวแบบที่ผู้เขียนเสนอในบทความนี้ก็จะเห็นได้ว่า พุทธพาณิชย์เป็นสายซัพพอร์ตของระบบทุนนิยมระลอกล่าสุด คณะสงฆ์เคยมีบทบาทซัพพอร์ตด้านอื่นมามากแล้ว
ตัวอย่างที่ไม่ได้หยิบยกมาอภิปรายในที่นี้ก็เช่น บทบาทของ ‘ยุวชนสงฆ์’ ที่สมัยคณะราษฎรที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือแม้แต่การเกิด ‘เกจิ’ มากมายทั่วชนบทในช่วงสมัยที่มีสงครามประชาชน (การสู้รบกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในชนบท) หรือแม้แต่การเกิดวาทกรรม “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ก็เป็นวาทกรรมที่มีต้นกำเนิดมาจากคนในคณะสงฆ์ ทั้งที่ควรเป็นคณะที่ห้ามปรามฝ่ายบ้านเมืองที่สุดแล้วไม่ให้ใช้กำลังเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในสมัยโน้น แต่ก็ไม่...
ภายใต้พื้นผิวที่เป็นเรื่องทางพุทธพาณิชย์ มีเรื่องบทบาทคณะสงฆ์แฝงอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีมิติทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ไม่น้อย ปราศจากการพิจารณาในมิตินี้เราอาจเข้าใจพุทธพาณิชย์ได้เพียงพื้นผิวที่เป็นแค่เรื่องการหารายได้หรือมารศาสนา
ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่เสื่อม ไม่ได้ขึ้นกับการมีหรือไม่มีคนรุ่นใหม่ เช่น ในซีรีส์สาธุเข้าไปรันวงการ หากแต่บทบาทคนในคณะสงฆ์เองด้วย ที่ต้องทบทวน เพราะคณะนี้เป็นคณะเก่าแก่ที่สุด และมีบทบาทมามาก (มากกว่าที่ใครจะคาดคิด) และในเรื่องนี้เราควรแยกระหว่างศาสนากับองค์กรจัดตั้งที่เรียกว่า ‘คณะสงฆ์’ ออกจากกันอย่างน้อยก็ในแนวความคิดให้ได้เสียก่อน
การที่สายต่อต้านหรือสายที่เห็นประโยชน์สุขของชาวบ้านประชาชนไม่ค่อยได้รับชัยชนะ เมื่อเทียบกับสายซัพพอร์ต ก็เป็นอะไรที่สะท้อนให้เห็นทางนำไปสู่ความเสื่อมอยู่ในตัวไม่น้อยแล้วด้วย สังคมอาจต้องการสายต่อต้านมากกว่าสายซัพพอร์ต แต่การเป็นสายต่อต้านนั้นไม่ง่าย สำหรับสังคมที่มองสิ่งต่าง ๆ มีแค่ดำกับขาว ‘สงฆ์เทา ๆ’ จึงดำรงอยู่อย่างสุขสบายยิ่งกว่าคุก VVIP ในคณะที่อาจจะร่ำรวยที่สุด และเก่าแก่ยาวนานที่สุดนั่นเอง
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
อ้างอิง:
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) วัดพระเชตุพนฯ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๕.
พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล และอัจฉราพร กมุทพิสมัย (บก.). ความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, ๒๕๒๗.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๒.
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๓.
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๑.
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๘.