29 ต.ค. 2568 | 08:28 น.

KEY
POINTS
ภูมิทัศน์ของดนตรีแจ๊สเต็มไปด้วยเรื่องราวของวีรบุรุษผู้พลิกโลกด้วยพลังจากลมหายใจและปลายนิ้ว แต่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ที่สาดส่อง ยังมีการปฏิวัติอีกสายหนึ่งที่เกิดขึ้นในความเงียบ ไม่ใช่บนเวทีที่ร้อนแรง แต่คือบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ที่ซึ่ง ‘เสียง’ ถูกจินตนาการขึ้นก่อนที่จะถูกบรรเลงจริง เป็นศาสตร์แห่งการเลือกสรรและถักทอ ‘สีสัน’ ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเพื่อสร้างโลกใบใหม่ และในจักรวาลแห่งนั้น บุรุษผู้เป็นดั่ง ‘สถาปนิกทางเสียง’ คนสำคัญที่สุดก็คือ ‘กิล เอแวนส์’ (Gil Evans 1912-1988)
แม้ชื่อของเขาอาจไม่ก้องกังวานในหมู่นักฟังทั่วไป แต่สำหรับนักดนตรีด้วยกัน กิล คือบุคคลที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงสุด คำยืนยันที่ทรงพลังที่สุดมาจาก ‘ไมล์ส เดวิส’ (Miles Davis) สุดยอดทรัมเป็ตเตอร์ผู้เป็นไอคอนแห่งยุคสมัย ที่เคยกล่าวถึง กิล ไว้อย่างชัดเจนว่า
“สำหรับผมแล้ว เขาคือที่สุด ผมยังไม่เคยได้ยินงานของใครที่ทำให้ผมทึ่งได้สม่ำเสมอเท่าเขา นับตั้งแต่ที่ผมได้ยิน ‘ชาร์ลี พาร์คเกอร์’ เป็นต้นมา”
คำยกย่องนี้ น่าจะไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อัลบั้มรวมเพลงชุดสำคัญ อย่าง ‘Birth of the Cool’ ออกวางจำหน่าย อัลบั้มที่บันทึกเสียงระหว่างปี 1949-1950 ชุดนี้ คือหมุดหมายที่เปลี่ยนทิศทางของโมเดิร์นแจ๊สไปตลอดกาล และ กิล เอแวนส์ คือบุคคลเบื้องหลังคนสำคัญที่ทำให้เซสชันการบันทึกเสียงเหล่านี้เกิดขึ้นได้
เขาคือผู้เรียบเรียงเสียงประสาน เพลง ‘Moon Dreams’ และ ‘Boplicity’ ในอัลบั้ม ซึ่งโดยเฉพาะในเพลงหลังนั้น ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ชั้นครู อย่าง ‘อ็องเดร โอแดร์’ (André Hodeir) ว่า “แค่เพลงเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ กิล เอแวนส์ กลายเป็นหนึ่งในนักเรียบเรียง/นักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการแจ๊ส”
กิล ไม่ใช่นักดนตรีที่ยืนอยู่หน้าเวที ไม่ใช่โซโลอิสต์ที่เร่าร้อน แต่คือผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างภูมิทัศน์ของเสียงที่ซับซ้อนและงดงาม เป็นผู้ที่ทำให้นักดนตรีหัวก้าวหน้าในยุคนั้น ได้พบกับ ‘พาหนะทางเสียง’ (sound vehicle) ที่เหมาะสมสำหรับความคิดใหม่ ๆ ของพวกเขา
เรื่องราวของชายผู้อยู่เบื้องหลังความ ‘Cool’ ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดของดนตรี นั่นคือ ‘เสียง’
กิล เอแวนส์ หรือในชื่อเดิม (Ian Gilmore Green) เกิดที่เมืองโตรอนโต แคนาดา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1912 ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นในห้องเรียนดนตรีคลาสสิก แต่มาจากการ ‘ฟัง’ อย่างลึกซึ้ง ในขณะที่คนอื่น ๆ เรียนรู้ดนตรีผ่านตัวโน้ต เอแวนส์ กลับปล่อยให้ ‘เสียง’ นำทางไปก่อน
“ก่อนที่ผมจะเชื่อมโยงเสียงเข้ากับตัวโน้ตในความคิดได้ เสียงคือสิ่งที่ดึงดูดผมก่อน” กิล เคยเล่าให้นักวิจารณ์ ‘แนท เฮนทอฟฟ์’ ฟัง ความผูกพันกับเสียงของเขาแหลมคมถึงขนาดที่ว่า “ตอนเด็ก ๆ ผมสามารถบอกได้ว่า รถยี่ห้ออะไรกำลังวิ่งมาโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง”
พรสวรรค์ในการฟังนี้เองที่เป็นรากฐานสำคัญ เพราะ เอแวนส์ คือนักดนตรีที่เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง (self-taught) เขาไม่มีพื้นฐานดนตรียุโรปดั้งเดิม ทั้งในแง่การเรียนหรือการฟัง แต่สร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาจากแนวทางปฏิบัติจริงล้วน ๆ โรงเรียนของเขาคือแผ่นเสียงและรายการวิทยุที่ถ่ายทอดเสียงดนตรีของวงดนตรีต่าง ๆ ในยุคนั้น
‘การศึกษา’ ของเขา มาจากการซึมซับเสียงของเหล่ายอดนักดนตรีแห่งวงการแจ๊ส ไม่ว่าจะเป็นเสียงทรัมเป็ตของ ‘หลุยส์ อาร์มสตรอง’ (Louis Armstrong) หรือซาวด์ของวงดนตรี อย่าง ‘ดุ๊ก เอลลิงตัน’ (Duke Ellington), ‘แมคคินนีย์ คัตตอน พิคเกอร์ส’ (McKinney Cotton Pickers) และที่สำคัญคือวงของ ‘ดอน เร็ดแมน’ (Don Redman)
เอแวนส์ ชี้ว่าวงของ เร็ดแมน นั้น ไม่เพียงแค่สวิงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ “การเรียบเรียงเสียงประสาน (voicings) ยังทำให้วงมีซาวด์ที่กระชับหนักแน่น (compact sound)” ประสบการณ์จากการฟังอย่างละเอียดลออนี้เอง ได้ค่อย ๆ หล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักคิดผู้หมกมุ่นอยู่กับการทดลอง เพื่อสร้าง ‘ซาวด์’ ที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเป็นหัวหน้าวงของตัวเองในแคลิฟอร์เนีย และทำงานเรียบเรียงเสียงประสานให้แก่วงของ ‘สคินเนย์ เอนนิส’ (Skinnay Ennis) ในที่สุด กิล เอแวนส์ ก็ได้พบกับ ‘ห้องทดลอง’ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับแนวคิดทางดนตรีของเขา นั่นคือวงดนตรีของ ‘โคลด ธอร์นฮิลล์’ (Claude Thornhill)
เอแวนส์ เล่าว่าเขาประทับใจแนวทางของธอร์นฮิลล์อย่างมาก ถึงกับต้อง “เฝ้าตามตื๊อโคลด จนกระทั่งเขายอมจ้างผมเป็นนักเรียบเรียงในปี 1941”
สิ่งที่ทำให้วงธอร์นฮิลล์แตกต่างและปฏิวัติวงการอย่างสิ้นเชิง คือการสร้าง ‘ซาวด์’ ที่ไม่เหมือนใคร ขณะที่วงบิ๊กแบนด์อื่น ๆ ในยุคนั้น เน้นความอุ่นและมีชีวิตชีวาด้วยเทคนิคการสั่นเสียง (Vibrato) วงของ ธอร์นฮิลล์ กลับเลือกเส้นทางตรงกันข้าม โดยให้เครื่องเป่าเล่นด้วย ‘เสียงตรง’ (Straight Tone) ที่ไร้การสั่นไหว ผลลัพธ์คือโทนเสียงที่ ‘เย็น’ (Cool) และบริสุทธิ์ ปราศจากการปรุงแต่งทางอารมณ์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นที่มาของความรู้สึก ‘ห่างไกล’ (Distant)
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศดังกล่าว ธอร์นฮิลล์ ยังทำลายขนบอีกข้อ ด้วยการลดระดับเสียงของวงให้ต่ำลง (Lowered Registers) แทนที่เสียงทรัมเป็ตจะแผดจ้าอยู่ในย่านเสียงสูงเพื่อสร้างความเร้าใจ พวกเขากลับให้เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ บรรเลงในช่วงเสียงที่ทุ้มและนุ่มนวล ก่อเกิดเป็นมวลเสียงที่หนาแน่นและอบอุ่น
การผสมผสานระหว่างเสียงตรงที่ไร้อารมณ์กับย่านเสียงต่ำที่หม่นทุ้มนี้เอง ที่หลอมรวมกันเป็นโทนเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทั้ง ‘ห่างไกลและวังเวง’ (Distant and Haunting) ซึ่งเป็นซาวด์ที่ เอแวนส์ หลงใหลและจะกลายเป็นพิมพ์เขียวสำคัญให้แก่ดนตรี Cool Jazz ในเวลาต่อมา
นวัตกรรมที่สำคัญ คือการที่ ธอร์นฮิลล์ เป็นนายวงบิ๊กแบนด์คนแรก ๆ ที่นำเครื่องดนตรีที่ไม่คุ้นเคยในวงการ อย่าง ‘เฟรนช์ฮอร์น’ (French Horn) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของวงดนตรีเต้นรำในปี 1941 และต่อมาในช่วงปี 1947-48 ก็ยังได้นำ ‘ทูบา’ (Tuba) เข้ามาใช้ในมิติใหม่ จากเดิมที่เป็นเครื่องให้จังหวะ มาเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นในเชิงเสียงประสาน
องค์ประกอบทั้งหมดนี้ หลอมรวมเป็น ‘ซาวด์’ ที่ เอแวนส์ อธิบายด้วยภาพที่ชัดเจนที่สุดว่า
“โดยแก่นแท้แล้ว... ในตอนแรก ซาวด์ของวงนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลดทอนดนตรีไปสู่ความสงบนิ่ง ทุกอย่าง - ทั้งเมโลดี, ฮาร์โมนี และจังหวะ - เคลื่อนไหวในความเร็วที่ต่ำที่สุด... ซาวด์นั้นแขวนลอยอยู่เหมือนก้อนเมฆ”
แต่สำหรับ เอแวนส์ ความนิ่งสงบนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เขาตระหนักว่าซาวด์ที่นิ่งเฉยจะน่าสนใจได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เขาจึงเริ่มทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด นั่นคือการเติมความเคลื่อนไหว, ความซับซ้อนทางฮาร์โมนี และจังหวะซินโคเปชัน (Syncopation) เข้าไป
“ผมเริ่มเติมพื้นเพทางดนตรีแจ๊สของผมเข้าไป และนั่นคือจุดที่อิทธิพลของแจ๊สเริ่มเข้มข้นขึ้น”
ห้องทดลองของ ธอร์นฮิลล์ จึงได้กลายเป็นพื้นที่ที่ซาวด์อันนิ่งสงบดุจหมู่เมฆ ได้เริ่มผสมผสานเข้ากับพลังและความร้อนแรงของ ‘บีบ็อพ’ (Bebop) เพื่อรอวันที่จะกลายร่างเป็นสิ่งใหม่ที่โลกรู้จักในชื่อ คูล (Cool)
ในขณะที่ ‘ห้องทดลองธอร์นฮิลล์’ กำลังปรุงแต่งซาวด์รูปแบบใหม่อยู่นั้น โลกภายนอกของดนตรีแจ๊สกำลังขับเคลื่อนด้วยพลังอันร้อนแรงของบีบ็อพ และหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดของวงการในขณะนั้น คือ ไมล์ส เดวิส นักทรัมเป็ตหนุ่มในวงของ ‘ชาร์ลี พาร์คเกอร์’ (Charlie Parker)
แต่แทนที่จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกับคนอื่น ๆ ไมล์ส กลับถูกดึงดูดด้วยเสียงที่แตกต่างออกไป เขาประทับใจในงานเรียบเรียงที่ กิล เอแวนส์ และ ‘เจอร์รี มัลลิแกน’ (Gerry Mulligan) เขียนให้กับวงของ ธอร์นฮิลล์ เป็นอย่างมาก
ไมล์ส ต้องการ ‘พาหนะทางเสียง’ รูปแบบใหม่สำหรับความคิดทางดนตรีของเขา และเขาพบคำตอบในซาวด์ของ เอแวนส์ โดยนักเรียบเรียงเสียงประสานคนนี้ เล่าถึงจุดกำเนิดของโปรเจกต์ในตำนานนี้ว่า
“ไอเดียเรื่องวงดนตรีเล็ก ๆ ของ ไมล์ส สำหรับเซสชันกับค่ายเพลงแคปิตอล (Capitol Records) นั้น ผมคิดว่ามันมาจากซาวด์ของวง โคลด ธอร์นฮิลล์ เลย... ไมล์ส ต้องการเล่นในสำเนียงของเขาเอง แต่ด้วยซาวด์แบบนั้น”
พวกเขาจึงได้ก่อตั้งวง ‘Nonet’ (วง 9 ชิ้น) ขึ้นมา ซึ่ง เอแวนส์ อธิบายว่าเป็นการเลือกเครื่องดนตรีที่ “น้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ยังสามารถถ่ายทอดเสียงประสานทั้งหมดที่วงธอร์นฮิลล์เคยใช้ได้”
ในโปรเจกต์นี้ ไมลส์ เดวิส ไม่ใช่แค่เพียงนักดนตรี แต่คือ ‘ผู้นำที่สมบูรณ์แบบ’ เขาเป็นคนจัดการตั้งวง, เจรจาสัญญาบันทึกเสียง และหางานให้วงได้เล่นที่คลับโรยัลรูสต์ (Royal Roost) และ ณ ที่แห่งนั้นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความเคารพที่ ไมล์ส มีต่อคนทำงานเบื้องหลัง
เอแสน์ เล่าด้วยรอยยิ้มว่า “มีป้ายอยู่นอกร้าน - ‘เรียบเรียงเสียงประสานโดย เจอร์รี มัลลิแกน, กิล เอแวนส์ และ จอห์น ลูว์อิส’ ไมล์ส เป็นคนสั่งให้ติดไว้ข้างหน้า ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นมาก่อน ไม่เคยมีการให้เครดิตนักเรียบเรียงแบบนั้น”
นี่คือช่วงเวลาที่การปฏิวัติอันเงียบเชียบของ กิล เอแวนส์ ได้เผยตัวตนออกมาสู่สาธารณะอย่างเต็มภาคภูมิ ผ่านการบันทึกเสียงที่จะกลายเป็นพิมพ์เขียวให้กับดนตรีแจ๊สในอีกหลายทศวรรษต่อมาในชื่อ ‘Birth of the Cool’
แม้ Birth of the Cool จะเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้แก่ กิล เอแวนส์ ในวงกว้าง แต่มรดกที่แท้จริงของเขานั้นลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง อิทธิพลของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่บนหน้ากระดาษโน้ต แต่คือการมอบ ‘ปรัชญา’ และวิธีคิดใหม่ให้กับการสร้างสรรค์ดนตรี
เอแวนส์ เชื่อว่านักดนตรีแจ๊สในยุคของเขาได้เดินทางมาถึงจุดที่ต้องการ ‘พาหนะทางเสียงสำหรับวงดนตรี’ (a sound vehicle for ensembles) ที่เป็นมากกว่าแค่การเล่นทำนองไปพร้อม ๆ กันระหว่างช่วงโซโล่ ความคิดสร้างสรรค์ของนักดนตรี อย่าง ชาร์ลี พาร์คเกอร์ หรือ ดิซซี กิลเลสปี นั้นล้ำหน้าไปไกล แต่พวกเขายังขาดวงดนตรีขนาดใหญ่ที่จะมารองรับและนำเสนอแนวคิดเหล่านั้นได้อย่างเต็มศักยภาพ
ปรัชญาที่เป็นหัวใจสำคัญในงานของเขาถูกสรุปไว้ในประโยคที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “หากคุณนำเสนอความคิดใหม่ ๆ ด้วยวิธีการเก่า ๆ คุณก็ได้พรากเอาความแข็งแรงและความน่าตื่นเต้นไปจากความคิดนั้นเสียแล้ว”
เขายกตัวอย่าง ไมล์ส เดวิส ว่า ไม่สามารถเล่นเหมือน หลุยส์ อาร์มสตรอง ได้ เพราะซาวด์แบบเก่าจะขัดขวางความคิดของเขา ไมล์ส จึงต้องเริ่มต้นจาก “แทบจะไม่มีซาวด์เป็นของตัวเอง” แล้วค่อย ๆ พัฒนามันขึ้นมาให้เหมาะสมกับสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสาร
นอกจากการเป็นนักคิดแล้ว กิล เอแวนส์ ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนนักดนตรีหัวก้าวหน้าอีกด้วย เขาหิวกระหายการมีเพื่อนร่วมวงการดนตรี และมักจะจัด ‘วงคุย’ (bull sessions) แลกเปลี่ยนทฤษฎีดนตรีกับนักดนตรีคนอื่น ๆ อย่าง ‘เจอร์รี มัลลิแกน’, ‘จอห์น คาริซี’ (John Carisi) และ ‘จอร์จ รัสเซลล์’ (George Russell) เขาไม่ได้สร้างกำแพงทางความคิด แต่สร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้มาแบ่งปันและเติบโตไปด้วยกัน
แนวคิดนี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เปรียบเสมือน ‘สำนัก กิล เอแวนส์’ ที่ส่งอิทธิพลต่อนักเรียบเรียงรุ่นหลังอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในผู้สืบทอดที่สำคัญคือ ‘บ๊อบ บรุคเมเยอร์’ (Bob Brookmeyer) นักวาล์วทรอมโบนและนักประพันธ์ดนตรีผู้หลักแหลม ซึ่งนำความซับซ้อนทางฮาร์โมนีและพื้นผิวของเสียง (Texture) ที่ เอแวนส์ บุกเบิกไปต่อยอดในแนวทางที่เป็นส่วนตัวและท้าทายยิ่งขึ้น
และสายธารแห่งอิทธิพลนี้ยังถูกส่งต่อมาอย่างชัดเจนที่สุด ผ่านคนรุ่นหลัง อย่าง ‘มาเรีย ชไนเดอร์’ (Maria Schneider) ซึ่งเคยทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับ เอแวนส์ ในช่วงท้ายของชีวิต และเธอยังเป็นลูกศิษย์ของบรุคเมเยอร์อีกด้วย
ผลงานของ มาเรีย ชไนเดอร์ ในปัจจุบัน ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาพสะท้อนมรดกของเอแวนส์ในยุคสมัยใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ เธอสร้างสรรค์ดนตรีสำหรับวงบิ๊กแบนด์ด้วยสีสันของวงออร์เคสตราที่งดงาม มีโครงสร้างบทเพลงที่เล่าเรื่องราวคล้ายดนตรีคลาสสิก แต่ยังคงหัวใจของการด้นสดแบบแจ๊สไว้อย่างครบถ้วน
สิ่งนี้ยืนยันว่าปรัชญาของ กิล เอแวนส์ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นสายธารที่ยังคงไหลเวียนและมอบแรงบันดาลใจ แม้ชื่อจะยืนอยู่เบื้องหลังของศิลปินชื่อดังที่เขาเคยร่วมงานด้วย แต่มรดกที่แท้จริงได้ปรากฏอยู่ในงานของศิลปินรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่สืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไป
กิล เอแวนส์ คือสถาปนิกทางเสียงผู้เงียบขรึมที่ไม่ได้เพียงแค่เรียบเรียงบทเพลง แต่ได้เปลี่ยนวิธีที่นักดนตรี ‘สร้างสรรค์’ และวิธีที่เรา ‘ฟัง’ ดนตรีไปตลอดกาล
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
- Hentoff, Nat. "The Birth Of Cool: Gil Evans." DownBeat, 2 May 1957, downbeat.com/archives/detail/the-birth-of-cool-gil-evans.