03 ก.ย. 2568 | 13:53 น.
KEY
POINTS
ในประวัติศาสตร์ของดนตรีแจ๊ส มีเรื่องราวศิลปินอยู่สองประเภท ประเภทแรก คือ ‘ตำนานผู้ยิ่งใหญ่’ ที่โลกจารึกชื่อไว้บนทำเนียบเกียรติยศ กับอีกประเภทหนึ่ง คือ ‘ศิลปินผู้เปี่ยมพรสวรรค์’ ทว่ากลับถูกลืมเลือนไปกับกระแสธารแห่งกาลเวลา
คนกลุ่มหลัง คือเสียงกระซิบในบทสนทนาของนักฟังเพลงผู้เสาะแสวงหา คือ ‘เพชรเม็ดงาม’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในเหมืองลึก รอคอยให้ใครสักคนค้นพบ และในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้น คงไม่มีชื่อใดที่จะสะท้อนความจริงอันน่าเสียดายข้อนี้ ได้เจ็บปวดและชัดเจนเท่ากับ ‘ลอเรซ อเล็กซานเดรีย’ (Lorez Alexandria 1929-2001)
นักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊สชั้นครู อย่าง ‘วิลล์ ไฟรด์วัลด์’ (Will Friedwald) ให้คำนิยามสถานะอันย้อนแย้งของเธอไว้ในหนังสือเล่มสำคัญ ‘A Biographical Guide to the Great Jazz and Pop Singers’ ไว้อย่างคมคายที่สุดว่า เธอคือ “ผู้มีพรสวรรค์ระดับเมเจอร์ แต่โชคร้ายที่มีเส้นทางอาชีพระดับไมเนอร์” ประโยคสั้น ๆ นี้ได้สรุปรวมชีวิตและผลงานของนักร้องหญิง ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็น “หนึ่งในนักร้องแจ๊สที่ถูกประเมินค่าต่ำไปมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20” ไว้อย่างสมบูรณ์
แล้วอะไรคือม่านหมอกที่บดบังแสงสว่างอันเจิดจ้าของดวงดาวดวงนี้? อะไรคือสมการที่ทำให้เสียงร้องอันน่าดึงดูดใจและเปี่ยมด้วยมิติอันซับซ้อนที่สุดเสียงหนึ่ง กลับต้องถูกจัดวางไว้บนชั้นหนังสือแถวหลังของประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊ส ทั้งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ นี่คือการเดินทางเพื่อตามหาคำตอบเบื้องหลังโชคชะตาของเสียง ที่โลกรู้จักน้อยเกินไป
หากจะทำความเข้าใจในจักรวาลของ ลอเรซ อเล็กซานเดรีย เราจำต้องเดินทางย้อนกลับไปยังจุดกำเนิด ณ นครชิคาโก ดินแดนที่หล่อหลอมจิตวิญญาณทางดนตรีของเธอ ผ่านคณะนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ รากฐานจากเพลงกอสเปลและสปิริตชวลเหล่านี้ ได้มอบความลุ่มลึกให้กับเสียงของเธอ แต่ทว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อหญิงสาวนาม ‘โดลอเรซ อเล็กซานเดรีย เทอร์เนอร์’ (Dolorez Alexandria Turner) ตัดสินใจก้าวสู่โลกของแจ๊ส เธอได้ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ไว้แก่ตัวเอง นั่นคือการ ‘สร้างสรรค์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง’ ที่ผู้คนสามารถจดจำได้ทันที
นักวิจารณ์ในยุคนั้นมักจัดกลุ่มนักร้องหญิงสายโซลฟูลที่แจ้งเกิดในยุคเดียวกันว่า เป็น ‘Dinah's Daughters’ หรือ ‘เหล่าธิดาของไดนาห์ วอชิงตัน’ (Dinah Washington) เพื่อสะท้อนถึงอิทธิพลอันท่วมท้นของราชินีเพลงบลูส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับ ลอเรซ แล้ว ป้ายฉลากนี้กลับเป็นกรอบที่เล็กเกินไป สำหรับพรสวรรค์อันซับซ้อนของเธอ ‘วิลล์ ไฟรด์วัลด์’ ได้ชี้ให้เห็นความจริงข้อนี้ไว้อย่างแหลมคมว่า ในบรรดานักร้องที่สืบทอดจิตวิญญาณมาจาก ‘ไดนาห์ วอชิงตัน’ นั้น ลอเรซ คือผู้ที่ “ได้รับอิทธิพลโดยตรงน้อยที่สุด” (least derivatively and directly Washingtonian)
เสียงของเธอไม่ใช่สำเนาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภาพปะติดปะต่อของสุดยอดศิลปินที่เธอเคารพ แล้วหลอมรวมขึ้นใหม่ด้วยตัวตนของเธอเอง ในบางขณะ เราอาจได้ยินโทนเสียงอันเยือกเย็นแบบ ‘cool school’ เฉกเช่น ‘แอนิตา โอเดย์’ (Anita O'Day) แต่ในอีกไม่กี่อึดใจ เธอก็สามารถพลิ้วไหวไปกับเมโลดี้อย่างหยอกล้อและเปี่ยมชั้นเชิง ไม่ต่างจาก ‘เอลลา ฟิตซ์เจอรัลด์’ (Ella Fitzgerald) หรือ ‘ซาราห์ วอห์น’ (Sarah Vaughan)
และในยามที่เธอต้องการถ่ายทอดความสวิงอันบางเบา ก็ชวนให้นึกถึง ‘แม็กซีน ซัลลิแวน’ (Maxine Sullivan) หรือแม้แต่ ‘เพ็กกี ลี’ (Peggy Lee)
ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของกอสเปลและบลูส์ที่หยั่งรากลึก ทำให้เธอสามารถ “ร้องตะโกนเพลงบลูส์ได้อย่างสบาย ๆ พอ ๆ กับการร้องเพลงบัลลาดหวาน ๆ อย่าง ‘Little Girl Blue’ ของ ร้อดเจอร์ส แอนด์ ฮาร์ท”
ไฟรด์วัลด์ ถึงกับกล่าวยกย่องไว้อย่างไม่ลังเลว่า “เธอมีเสียงที่น่าดึงดูดใจที่สุดในบรรดาสุภาพสตรีในบทนี้ มีช่วงเสียงที่กว้างที่สุด และมีระดับเสียงที่ยอดเยี่ยมสม่ำเสมอที่สุด หากระดับเสียงสามารถอธิบายได้ว่าสวยงาม เสียงของเธอก็เป็นเช่นนั้น”
และนี่คือแก่นแท้ของ ลอเรซ อเล็กซานเดรีย ศิลปินผู้ปฏิเสธที่จะเป็นเพียงภาพสะท้อนของใคร แต่เลือกจะเป็นกระจกที่สะท้อนความงดงามจากทุกทิศทาง แล้วหลอมรวมให้กลายเป็นแสงเฉพาะตัว อุดมการณ์ทางศิลปะอันแน่วแน่ที่จะไม่ยอมประนีประนอมสไตล์ของตนเอง เพื่อแลกกับความสำเร็จจอมปลอม คือสิ่งที่ทำให้เสียงของเธอยังคงท้าทายต่อการจัดจำแนก และเป็นอิสระเหนือกาลเวลามาจนถึงวันนี้
เส้นทางสายดนตรีของ ลอเรซ เริ่มต้นขึ้นอย่างสมถะ ณ คลับแจ๊สในชิคาโกช่วงกลางทศวรรษ 1950s ที่นั่น ภายใต้การสนับสนุนของนักดนตรีอย่าง ‘คิง เฟลมิง’ (King Fleming) เธอได้ค่อย ๆ สั่งสมชื่อเสียงขึ้นมา ในฐานะ ‘ศิลปินคนโปรดประจำท้องถิ่น’ (Local Favorite)
สถานะนี้ แม้จะน่าภาคภูมิใจ แต่ก็ได้กลายเป็นทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดที่กำหนดทิศทางอาชีพของเธอในเวลาต่อมา โดยในช่วงแรกของการบันทึกเสียง เธอได้ฝากผลงานอันน่าทึ่งที่แสดงให้เห็นถึง ‘ความหลากหลายทางดนตรี’ อันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา อัลบั้ม อย่าง ‘Lorez Sings Pres’ คือบทบันทึกอันหลักแหลมในการอุทิศแด่บทเพลงของ ‘เลสเตอร์ ยัง’ (Lester Young) นักแซ็กโซโฟนที่ทรงอิทธิพล ซึ่งเธอทำได้อย่างมีชั้นเชิงโดยไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบใคร
ถัดมาใน ‘The Band Swings-Lorez Sings’ เธอก็ได้ปลดปล่อยพลังแห่งการสวิงและการร้องสแกท (scat) ออกมาอย่างน่าทึ่ง ท่ามกลางวงออร์เคสตราเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก นั่นคือการประกาศศักดาว่าเธอพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นสู่เวทีระดับชาติ แต่แล้วเธอก็พลิกกลับมาสำรวจอีกด้านของจิตวิญญาณในอัลบั้ม ‘Early in the Morning’ ด้วยการร่วมงานกับนักเปียโนระดับปรมาจารย์ ‘แรมซีย์ ลูว์อิส’ (Ramsey Lewis) ที่นี่...เสียงของเธอลุ่มลึก เงียบขรึม และเปราะบาง ถ่ายทอดอารมณ์เพลงบลูส์ได้อย่างหมดจดงดงาม
ทว่า จุดสูงสุดทางความคิดสร้างสรรค์ของเธอมาถึงอย่างแท้จริงในปี 1964-65 เมื่อเธอย้ายไปลอสแอนเจลิสและได้บันทึกเสียงกับค่ายเพลงแจ๊สระดับตำนานอย่าง ‘Impulse!’ โดยมี 2 อัลบั้มที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ‘Alexandria the Great’ และ ‘More of the Great’ ซึ่งนับเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่สุดที่เธอทิ้งไว้ให้โลกดนตรี ไฟรด์วัลด์ ถึงกับยกย่องผลงานทั้งสองชุดนี้ว่า เป็นงานระดับ ‘พิเศษสุด’ (extraordinary) และกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ชื่อเสียงของเธอสามารถตั้งอยู่บนเพียง 20 แทร็กจาก 2 อัลบั้มนี้ได้อย่างสบาย ๆ”
สิ่งที่ทำให้อัลบั้มทั้ง 2 ชุดนี้มีความสำคัญ ไม่ใช่แค่คุณภาพการร้องอันไร้ที่ติ หรืองานดนตรีที่มีสุดยอดวงริธึ่มเซ็คชั่นของ ‘ไมล์ส เดวิส’ (พอล เชมเบอร์ส, จิมมี ค็อบบ์, วินตัน เคลลี) มาร่วมสนับสนุน แต่ยังรวมถึงอิทธิพลที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน เช่น ไอเดียการเรียบเรียงดนตรีอันชาญฉลาด โดยเฉพาะการนำเพลง ‘Sing a Rainbow’ มาเป็นท่อนอินโทรให้แก่เพลง ‘Over the Rainbow’ ซึ่งได้ถูกนำไปใช้โดยนักร้องยุคหลังมากมาย โดยอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ต้นฉบับดั้งเดิมมาจากใคร
นี่คือหลักฐานอันเงียบงันที่บ่งบอกถึงสถานะความเป็นผู้สร้างสรรค์และผู้มีอิทธิพลอย่างแท้จริงของเธอ
บทบันทึกเสียงอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ ควรจะเป็นแรงส่งให้ชื่อของ ลอเรซ ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเทียบเคียงกับดวงดาวดวงอื่น แต่ในความเป็นจริง มันกลับเป็นเพียงแสงสว่างวาบที่เจิดจ้าอยู่ในแวดวงของผู้ฟังเฉพาะกลุ่มที่เข้าถึงเท่านั้น แล้วเหตุใดเส้นทางอาชีพของเธอจึงไม่รุ่งโรจน์เท่าที่ควรจะเป็น?
เมื่อบทเพลงชั้นเลิศมิอาจนำพาชื่อเสียงให้ขจรขจาย เราจำต้องเบนสายตาจากตัวโน้ตบนบรรทัดห้าเส้น มาสู่ความเป็นจริงอันซับซ้อนของโลกที่เรียกว่า ‘อุตสาหกรรมดนตรี’ โศกนาฏกรรมของ ลอเรซ ไม่ใช่เรื่องของความด้อยสามารถ หากแต่เป็นเรื่องของจังหวะ โอกาส และที่สำคัญที่สุด คือ ‘การเลือก’ ของเธอเอง เส้นทางอาชีพของเธอนั้น ขาดซึ่ง ‘หมุดหมาย’ สำคัญที่จะผลักดันให้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
ประการแรก เธอไม่เคยมี ‘เพลงฮิตติดชาร์ต’ (a chart hit) หรือ ‘เพลงประจำตัว’ (a signature song) ที่จะกลายเป็นลายเซ็นให้ผู้ฟังกระแสหลักจดจำได้เหมือนที่ ‘เอททา โจนส์’ (Etta Jones) มีเพลง ‘Don't Go to Strangers’
ประการต่อมา เธอขาดการมี ‘ผลงานอัลบั้มที่ต่อเนื่องกับค่ายเพลงที่มีการจัดจำหน่ายในวงกว้าง’ การทำงานกับค่ายเล็ก ๆ ทำให้ผลงานอันยอดเยี่ยมของเธอไปไม่ถึงหูของผู้ฟังในวงกว้างเท่าที่ควร
และประการสุดท้าย เธอแทบจะไม่มี ‘โอกาสได้ปรากฏตัวในเทศกาลดนตรีแจ๊สใหญ่ ๆ’ หรือในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเวทีที่จะสร้างแรงกระเพื่อมและนำพานักวิจารณ์มือฉมังมาสู่ประตูหน้าบ้านของเธอได้
สถานะ ‘ศิลปินคนโปรดประจำท้องถิ่น’ ที่เธอได้รับในชิคาโกและเวสต์โคสต์ แม้จะทำให้เธอมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ได้กลายเป็นกรงขังอันแสนสบายที่จำกัดให้ชื่อเสียงของเธออยู่ในวงแคบ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้ ส่วนที่ลึกซึ้งที่สุดนั้นมาจากตัวตนของเธอเอง ในช่วงเวลาที่เธอตัดสินใจหยุดบันทึกเสียงด้วยตนเอง เพื่อ ‘การค้นหาจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง’ และตั้งคำถามกับตัวเองว่า เธอยังปรารถนาที่จะถูกทำร้ายและถูกมองข้ามอยู่หรือไม่ นี่คือการตัดสินใจของศิลปินผู้เหนื่อยล้า ไม่ใช่การบีบคั้นจากค่ายเพลง
เหนือสิ่งอื่นใด คือความซื่อตรงต่อศิลปะอย่างไม่ยอมลดละของเธอเอง ลอเรซ เลือกที่จะเป็น ‘Lorez Alexandria’ มากกว่าที่จะเป็น ‘ดาราดัง’ เธอปฏิเสธที่จะร้องเพลงตามสูตรสำเร็จเพื่อสร้างเพลงฮิต เพราะนั่นหมายถึงการทรยศต่อเสียงที่แท้จริงในใจของเธอ
ดังนั้น การที่พรสวรรค์ของเธอถูกมองข้าม จึงมิใช่ปริศนาที่ไร้ซึ่งคำตอบ แต่คือผลลัพธ์อันน่าเศร้าของสมการที่ประกอบขึ้นจากโชคชะตาที่ไม่เข้าข้าง โครงสร้างของอุตสาหกรรมที่ไม่เอื้ออำนวย และจิตวิญญาณของศิลปินผู้เลือกที่จะรักษาตัวตนไว้ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเงียบงันก็ตาม
ลอเรซ อเล็กซานเดรีย อำลาโลกนี้ไปอย่างเงียบ ๆ ณ เมืองการ์เดนา แคลิฟอร์เนีย ในปี 2001 ด้วยวัย 71 ปี ปิดฉากชีวิตของศิลปินผู้ซึ่งพรสวรรค์และเส้นทางอาชีพดูจะสวนทางกันอยู่เสมอ เธอคือบทพิสูจน์ของสัจธรรมที่ว่า ในโลกแห่งศิลปะ เสียงร้องอันไพเราะอาจไม่เพียงพอที่จะเอาชนะกลไกการตลาดได้เสมอไป
ถึงกระนั้น คุณค่าของศิลปินมิอาจวัดได้จากยอดขายหรือชื่อเสียงในกระแสหลักเพียงอย่างเดียว มรดกที่แท้จริงของ ลอเรซ ถูกจารึกไว้ในร่องเสียงของแผ่นไวนิลที่เธอบรรจงสร้างสรรค์ อิทธิพลยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด แต่ได้แทรกซึมและไหลเวียนอยู่ในสายธารของดนตรีแจ๊สอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะปล่อยให้กาลเวลาทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง ชื่อของเธอเริ่มถูกเอ่ยถึงอีกครั้งในแวดวงของนักฟังและนักวิชาการเพลงแจ๊สยุคใหม่ ผู้ซึ่งปรารถนาจะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของเธออาจจะไม่ใช่โศกนาฏกรรมของการถูกลืมเลือน แต่เป็นบทเพลงอันงดงามที่วางซ่อนอยู่ในซอกหลืบ รอคอยเวลาเหมาะสม รอคอยผู้ฟังที่พร้อมจะเปิดใจฟัง เหมือนดังที่ วิลล์ ไฟรด์วัลด์ กล่าวปิดท้ายบทวิเคราะห์ไว้
“เท่าที่ผมพิจารณา เธอคือหนึ่งในศิลปินคนสำคัญที่ถูกประเมินค่าต่ำไปอย่างน่าเสียดาย”
อย่างน้อย...การถูกค้นพบที่ล่าช้าเกินไป ก็ยังดีกว่าไม่ถูกค้นพบเลย
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
Friedwald, Will. A Biographical Guide to the Great Jazz and Pop Singers. Pantheon Books, 2010, pp. 731-34.