แฟรงก์ ซินาตรา : เสียงของความเหงา ตัวตน และตำนาน

แฟรงก์ ซินาตรา : เสียงของความเหงา ตัวตน และตำนาน

'แฟรงก์ ซินาตรา' ถ่ายทอดความเหงาและบาดแผลชีวิตสู่บทเพลง สร้างสไตล์เฉพาะตัว ผสมความเข้มแข็งกับอ่อนโยน กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมนุษย์และเมืองใหญ่

KEY

POINTS

หากจะมีคำใดที่สรุปแก่นแท้ในตัวตนของ แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra 1915-1998) ได้อย่างหมดจด คงหนีไม่พ้น ‘ความเหงา’ 

เพลงบัลลาดของเขา คือกลยุทธ์ในการรับมือกับความโดดเดี่ยว ส่วนเพลงจังหวะสนุก ก็เป็นเพียงการเฉลิมฉลองชั่วขณะ ความรู้สึกนี้หยั่งรากลึกมาตั้งแต่เยาว์วัย ณ เมืองโฮโบเกน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ท่ามกลางครอบครัวของผู้อพยพที่มีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

เรื่องราวของ ซินาตรา ไม่อาจแยกขาดจากตำนานผู้อพยพ เขาคือผลผลิตจากความขัดแย้ง ระหว่างโลกเก่าอันเคร่งครัดที่พ่อแม่จากมา และโลกใหม่ที่เปี่ยมด้วยเสรีภาพอันน่าเย้ายวน 

มาร์ตี พ่อของเขา มาจากซิซิลี ดินแดนตอนใต้ของอิตาลี ส่วน ดอลลี แม่ของเขา มาจากเจนัว เมืองท่าทางภาคเหนือ การแต่งงานของทั้งคู่เป็นการฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมในโลกเก่า ซึ่งครอบครัวทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุด ทั้งคู่ได้ให้กำเนิดเด็กชาย ผู้ที่จะกลายมาเป็นเสียงของอเมริกาในรูปแบบใหม่

ซินาตราเติบโตขึ้นมาในยุคที่การถูกเรียกว่า ‘ไอ้เลี่ยน’ เป็นเรื่องปกติ ความรู้สึกแปลกแยกจากการถูกตีตรานี้เองที่สร้างบาดแผลและเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องดีกว่าใคร บาดแผลนั้นยิ่งลึกลงไปอีก เมื่อกลับมาที่บ้าน พ่อของเขาคือผู้ชายที่เงียบขรึมที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จัก ส่วนแม่ก็เต็มไปด้วยภารกิจจนแทบไม่มีเวลาให้ แม้อาศัยอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยครอบครัวใหญ่ ซินาตรากลับต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวในห้องนอนของตัวเอง 

"ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการนอนอยู่ในความมืดตอนเป็นเด็ก มีเรื่องราวล้านแปดอยู่ในหัว แต่ไม่มีใครจะเล่าให้ฟัง"  เขาเล่าทวนความทรงจำ

สภาพแวดล้อมรอบตัวไม่ได้อ่อนโยนนัก โฮโบเกนในยุคห้ามขายสุรา (Prohibition 1920-1933) คือเมืองที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล เขาเห็นโลกที่ทุกคนดูเหมือนจะมีราคาค่างวดที่ซื้อได้ ตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงนักการเมือง ประสบการณ์บนท้องถนนหล่อหลอมให้กลายเป็นคนสองบุคลิก ด้านหนึ่งคือเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่พร้อมจะชกหัวใครก็ได้หากจำเป็น แต่อีกด้านหนึ่งคือเด็กหนุ่มช่างฝันที่หลบเร้นอยู่ในโลกส่วนตัว

ความฝันเริ่มก่อตัวขึ้นผ่านเสียงเพลงจากวิทยุ และจอภาพยนตร์ เขาเห็น บิง ครอสบี (Bing Crosby) เป็นต้นแบบ แล้วตกหลุมรักในความสบาย ๆ เป็นธรรมชาติของศิลปินผู้นั้น ซินาตรารู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่เขาก็ทำได้และอยากจะเป็นให้ได้ ดนตรีจึงกลายเป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากทุกสิ่ง ทั้งความโดดเดี่ยว ความสับสน และความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ

บางคืน เด็กหนุ่มแฟรงก์จะเดินไปที่ท่าเรือเพียงลำพังผ่านย่านสลัมที่ผุดขึ้นจากพิษเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) ผ่านรางรถไฟสนิมเขรอะ ไปจนสุดปลายท่า ณ ที่แห่งนั้น เขาทอดสายตามองข้ามผืนน้ำไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำฮัดสัน ‘เกาะแมนฮัตตัน’ เมืองที่เส้นขอบฟ้าทอดยาวราวกับมีมนต์สะกด ในความเงียบงันนั้นเอง เสียงกระซิบแห่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น

มหาวิทยาลัยทอมมี ดอร์ซีย์

ความฝันที่ก่อตัวขึ้นริมท่าเรือโฮโบเกนไม่ได้ล่องลอยอยู่ในอากาศเนิ่นนานนัก แฟรงก์ ซินาตรา ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยมในปีสุดท้าย ท่ามกลางความผิดหวังของผู้เป็นพ่อที่มองว่าลูกชายคงจะกลายเป็นนักเลงหัวไม้ แต่สำหรับแฟรงก์  นี่คือเดิมพันครั้งสำคัญ เขาเริ่มตระเวนร้องเพลงตามคลับเล็ก ๆ แลกกับเศษเงิน แซนด์วิช หรือแม้แต่บุหรี่เพียงไม่กี่มวน ด้วยทฤษฎีเดียวในใจ คือ ต้องฝึกฝนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในที่สุด ประตูบานแรกก็เปิดออก เมื่อเขาได้เข้าร่วมวงของ แฮร์รี เจมส์ (Harry James) นักทรัมเป็ตฝีมือดี ผู้เพิ่งแยกตัวออกมาจากวงของ เบนนี กูดแมน (Benny Goodman) ราชาเพลงสวิง ที่นั่นเองที่ ซินาตรา ได้สัมผัสชีวิตของนักดนตรีอาชีพ ได้เรียนรู้โลกกว้าง และได้บันทึกเสียงครั้งแรกในชีวิต 

แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงมาถึง เมื่อทอมมี ดอร์ซีย์ (Tommy Dorsey) นักทรอมโบนและหัวหน้าวงสวิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มาเคาะประตูเรียกตัวเขา

การเข้าร่วมกับวงของ ดอร์ซีย์ เปรียบเสมือนการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยดนตรีที่ดีที่สุดในยุคนั้น ดอร์ซีย์ ไม่ได้เป็นเพียงหัวหน้าวงที่เข้มงวด แต่ยังเป็นครูโดยไม่รู้ตัว ซินาตราเฝ้าสังเกตเทคนิคการเล่นทรอมโบนของดอร์ซีย์ ผู้บรรเลงเพลงประโยคที่ยาวเหยียดได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ เขาเรียนรู้ที่จะเชื่อมท่อนจบของประโยคหนึ่งเข้ากับท่อนเริ่มต้นของประโยคถัดไปได้อย่างแนบเนียน ซินาตราจึงใช้เทคนิคนี้มาพัฒนากับการร้องจนเกิดเป็นสไตล์ที่ลื่นไหลราวกับสายน้ำ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นักร้องส่วนใหญ่ในยุคนั้นทำไม่ได้

นอกเหนือจากเทคนิคการหายใจแล้ว ซินาตรา ยังค้นพบเครื่องดนตรีที่แท้จริงของเขา นั่นคือ ‘ไมโครโฟน’ ในยุคที่นักร้องส่วนใหญ่ยังคงยืนแข็งทื่ออยู่หน้าไมโครโฟนราวกับเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ซินาตรากลับกุมขาตั้งไมค์ไว้ ดึงมันเข้าหาตัวเมื่อต้องการเน้นเสียง และผละมันออกเมื่อต้องการส่งพลังเสียง เขาเรียนรู้ที่จะใช้มันสร้างความรู้สึกส่วนตัวกับผู้ฟังแต่ละคนราวกับว่ากำลังกระซิบเรื่องราวให้ฟังอยู่ข้างหู

จีน ลีส์ (Gene Lees) นักเขียนคนสำคัญ เคยยกย่องซินาตราว่า เป็นหนึ่งในนักร้องที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเปรียบเปรยว่าซินาตราสามารถ ‘เปลี่ยนเพลงรัก 3 นาที ให้เป็นละคร 3 องก์ที่มีชั้นเชิง’ ความเป็นเลิศของเขาไม่ได้มาจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากการบุกเบิกเทคนิคการร้องเพลงที่ปฏิวัติวงการไปตลอดกาล

หัวใจสำคัญของซินาตราอยู่ที่การเป็นนักเล่าเรื่อง เขาร้องเพลงโดยยึดที่ความหมายของเนื้อเพลงเป็นหลัก ไม่ใช่แค่โครงสร้างของทำนอง ทุกคำที่เขาร้องออกมาจึงเต็มไปด้วยอารมณ์และความเข้าใจในเรื่องราวนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง ดังที่ อเล็ก ไวล์เดอร์ (Alec Wilder) วิเคราะห์ว่า ซินาตราตีความบทเพลงจนถึงแก่น (Undertext) หรือเข้าถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเนื้อเพลงได้อย่างน่าทึ่ง 

ทั้งหมดนี้คือการกำเนิดขึ้นของสุ้มเสียงที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน เสียงของเมืองใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 เสียงของลูกหลานผู้อพยพที่ต้องการก้าวข้ามสำเนียงท้องถิ่น จีน ลีส์ วิเคราะห์ด้วยว่า การออกเสียงของเขานั้นสมบูรณ์แบบราวกับเจ้าของภาษา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของนิวยอร์กอย่างมีเสน่ห์ 

ซินาตรารู้ดีว่าควรจะเปล่งเสียงสระ (vowel) และพยัญชนะกึ่งสระ (semivowels: m, n, l, r) อย่างไรให้น่าฟังที่สุด ทำให้ทุกถ้อยคำในบทเพลงของเขามีความไพเราะในตัวเอง สร้างต้นแบบใหม่ของความเป็นชายอเมริกันขึ้นมา นั่นคือภาพของ "Tender Tough Guy" ชายที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยนได้โดยไม่รู้สึกขัดเขิน

การร่ำเรียนในมหาวิทยาลัย ทอมมี ดอร์ซีย์ สิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 1942 เมื่อซินาตรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องโบยบินด้วยปีกของตัวเอง 

วันที่ 30 ธันวาคมของปีเดียวกันบนเวทีโรงภาพยนตร์พาราเมานท์ในนิวยอร์ก เขาก้าวออกมาในฐานะศิลปินเดี่ยว ทำหน้าที่เสริมให้วงของ เบนนี กูดแมน ทันทีที่เขาเริ่มร้องเพลงประโยคแรก เสียงกรีดร้องของเหล่าหญิงสาวก็ดังกระหึ่มจนกลบเสียงดนตรีทั้งวง เบนนี กูดแมน ถึงกับหันไปถามเพื่อนนักดนตรีของเขาด้วยความตกตะลึงว่า ‘นั่นมันเสียงบ้าอะไรวะ?’

คืนนั้นเอง ที่ Swoonatra หรือบางคนเรียกว่า ‘The Voice’ ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และปรากฏการณ์ ‘Sinatra Effect’ ก็ได้เริ่มต้นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ตามติดด้วยปรากฏการณ์คลั่งไคล้ในหลาย ๆ พื้นที่ หลาย ๆ ครั้ง รวมถึงกรณีที่ซินาตราหวนคืนเวทีโรงภาพยนตร์พาราเมาท์อีกครั้ง ในปี 1944 ครานั้น มีฝูงชนจำนวน 3 หมื่นคนที่ไม่สามารถเข้าชมการแสดงได้ จนเกิดเป็นสภาพจลาจลในเมือง ที่เรียกว่า เหตุการณ์ Columbus Day Riot

เสียงกรีดร้องยามสงคราม

เสียงกรีดร้องที่ดังกระหึ่มในโรงภาพยนตร์พาราเมานท์คือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวัฒนธรรมอเมริกัน คือเสียงของยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง และ แฟรงก์ ซินาตราก็บังเอิญไปยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้นพอดี

สงครามโลกครั้งที่สองได้สร้างสุญญากาศขนาดใหญ่ขึ้นในหัวใจของชาวอเมริกัน ชายหนุ่มนับล้านถูกส่งไปยังสมรภูมิ ทิ้งไว้เพียงความเงียบเหงาและความอ้างว้างของผู้หญิงที่รอคอยอยู่แนวหลัง พวกเธอไม่ได้เป็นเพียงแม่บ้านที่เฝ้ารอสามีอีกต่อไป แต่กลายเป็น ‘Rosie the Riveter’ สัญลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่ที่ก้าวเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญในการผลิตยุทโธปกรณ์ 

พวกเธอมีเงินเป็นของตัวเอง มีอิสระ และซ่อนความปรารถนาไว้ ซินาตราจึงกลายเป็นตัวแทนของความปรารถนานั้น เขาคือคนรักในจินตนาการ คือชายหนุ่มที่กระซิบคำหวานผ่านบทเพลง ขณะที่คนรักตัวจริงกำลังเผชิญหน้ากับความตายอยู่อีกฟากของโลก

ขณะเดียวกัน บัลลังก์ของดนตรีป๊อปได้ว่างลง ยุคทองของวงบิ๊กแบนด์ที่เคยรุ่งเรืองกำลังจะปิดฉากลงด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งการประท้วงหยุดงานของสหภาพนักดนตรีที่ทำให้วงไม่สามารถบันทึกเสียงได้ และต้นทุนที่สูงขึ้นจนวงดนตรีขนาดใหญ่ไม่สามารถเดินทางไปเปิดการแสดงได้เหมือนเดิม สปอตไลท์จึงค่อย ๆ เคลื่อนจากหัวหน้าวงมาสู่นักร้อง ผู้ยืนอยู่หน้าเวที และไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งราชาคนใหม่ มากไปกว่า แฟรงก์ ซินาตรา

แต่บัลลังก์นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เสียงกรีดร้องชื่นชมจากเหล่าหญิงสาว มาพร้อมกับเสียงก่นด่าจากชายหนุ่มจำนวนมาก โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญที่มองว่า ซินาตราคือคนหนีทหาร (draft dodger) ที่สุขสบายอยู่แนวหลัง ส่วนพวกเขากำลังสละเลือดเนื้อเพื่อชาติ  แม้ความจริง ซินาตราจะถูกคัดออกจากการเกณฑ์ทหารเนื่องจากปัญหาแก้วหูทะลุ แต่ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งประเทศย่อมสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ชายที่รู้สึกว่าตนเองกำลังเสียสละอยู่ไม่น้อย

ภาพลักษณ์ของซินาตราในยุคนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง  เขาคือสามีและพ่อผู้แสนดีของครอบครัว ถ่ายภาพลงนิตยสารในบ้านที่แสนอบอุ่น พร้อม ‘แนนซี’ ภรรยาของเขาและลูก ๆ แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็คือชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้ตกเป็นข่าวกับดาราสาวมากหน้าหลายตา ความกำกวมระหว่างภาพของ ‘สามี’ และ ‘คนรักในจินตนาการ’ นี้เอง ที่สร้างแรงดึงดูดอันซับซ้อนและทำให้เสน่ห์ของเขายากเกินจะต้านทาน

เถ้าถ่านของความรุ่งโรจน์

เปลวไฟแห่งความสำเร็จมักแผดเผาผู้ที่เข้าใกล้มันเสมอ และสำหรับ แฟรงก์ ซินาตรา เปลวไฟนั้นร้อนแรงเป็นพิเศษ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เหล่าทหารได้กลับบ้าน และภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงไป เด็กสาวที่เคยกรีดร้องให้เขาหน้าเวทีพาราเมานท์ บัดนี้กลายเป็นภรรยาและแม่คน พวกเธอทิ้งถุงเท้าขาวและคนรักในจินตนาการไว้เบื้องหลัง ความคลั่งไคล้ในตัวซินาตรากลายเป็นเพียงความทรงจำอันน่าอายของวัยรุ่นที่ไม่มีใครอยากพูดถึงอีก

ในโลกดนตรี กระแสธารสร้างสรรค์เริ่มเปลี่ยนทิศทาง เพลงแปลก ๆ และนักร้องหน้าใหม่เริ่มได้รับความนิยม ซินาตรา ซึ่งยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิม เริ่มดูเหมือนของตกยุค ภายใต้แรงกดดันจาก มิตช์ มิลเลอร์ (Mitch Miller) ผู้บริหารค่ายโคลัมเบียเรคคอร์ดส์ เขาจำใจต้องบันทึกเสียงเพลงที่ไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย 

เพลงที่อื้อฉาวที่สุด คือ ‘Mama Will Bark’ เขาร้องคู่กับดาราสาวทรงโตนามว่า แด็กมาร์ (Dagmar) มันคือจุดด่างพร้อยที่เขาเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง

ขณะที่อาชีพการงานเริ่มสั่นคลอน ชีวิตส่วนตัวของเขาก็ลุกเป็นไฟ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเดินทางไปฮาวานาในปี 1947 ได้สลักตราบาปที่ลบไม่ออกไปตลอดชีวิต 

ภาพถ่ายขณะลงจากเครื่องบิน พร้อมกับ โจ ฟิสเชตติ (Joe Fischetti) น้องชายของเจ้าพ่อมาเฟียชิคาโก และการเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของเหล่ามาเฟีย ซึ่งมี ชาร์ลี ลัคกี้ ลูเซียโน (Lucky Luciano) เป็นประธานในที่ประชุม ถูกตีแผ่โดยคอลัมนิสต์ โรเบิร์ต รวร์ก (Robert Ruark) 

ซินาตรา แก้ต่างว่า "ผมถูกสอนมาให้จับมือกับคนที่ได้รับการแนะนำให้รู้จัก โดยไม่จำเป็นต้องไปสืบสาวเรื่องราวในอดีตของเขา" แต่มันสายเกินไปแล้ว ภาพลักษณ์เพื่อนมาเฟียกลายเป็นเงาตามตัวเขา และเป็นอาวุธให้ฝ่ายที่ไม่ชอบเขาทางการเมืองใช้โจมตีอย่างเมามัน

แต่พายุลูกที่รุนแรงที่สุด มีชื่อว่า เอวา การ์ดเนอร์ (Ava Gardner) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปรียบเสมือนเปลวไฟที่เผาผลาญทุกสิ่ง ทั้งคู่รักกันอย่างบ้าคลั่ง ทะเลาะกันอย่างรุนแรง และทำร้ายกันอย่างสาหัส การหย่าร้างกับ แนนซี ภรรยาคนแรกผู้เป็นที่รักของแฟนเพลง ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขาทรุดหนักลงไปอีก ผู้หญิงที่เคยรักเขา บัดนี้มองเขาเป็นผู้ชายใจร้ายที่ทอดทิ้งภรรยาและลูก ๆ 

ทุกอย่างพังทลายลงพร้อมกัน สัญญากับค่ายหนังถูกยกเลิก รายการวิทยุถูกถอดผัง สัญญาบันทึกเสียงก็ไม่ได้รับการต่ออายุและแล้วในคืนหนึ่งของปี 1950 ณ คลับโคปาคาบานา (Copacabana) สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น เขาก้าวขึ้นเวที พยายามจะเปล่งเสียงร้อง... แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ความเงียบงันในคืนนั้น คือเสียงสะท้อนของความล่มสลายในทุกมิติของชีวิต จากบัลลังก์ของราชาซินาตรา ได้ร่วงหล่นลงสู่กองเถ้าถ่านของความรุ่งโรจน์ที่มอดดับไปแล้ว

การเกิดใหม่ของฟีนิกซ์

ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักถูกเล่าขานผ่านเรื่องราวของวีรบุรุษผู้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ก่อนจะลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง และสำหรับ แฟรงก์ ซินาตรา เรื่องราวการกลับมาของเขานั้น ยิ่งใหญ่กว่านิยายเรื่องใด ๆ จากกองเถ้าถ่านแห่งความล้มเหลว เขาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าชายผู้ถูกน็อกเอาต์จนร่วงลงไปกองกับพื้นสามารถลุกขึ้นมาเป็นแชมเปียนได้อีกครั้ง

จุดเปลี่ยนแรกเกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ เขาหมกมุ่นอยู่กับนิยายสงครามเรื่องยิ่งใหญ่ของ เจมส์ โจนส์ (James Jones) ที่ชื่อ From Here to Eternity และเห็นภาพตัวเองในบทบาทของ แอนเจโล แมจจิโอ ทหารอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนร่างเล็กใจใหญ่ ผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร 

ซินาตรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บทนี้ เขาลดค่าตัวเหลือเพียง 8,000 ดอลลาร์ และร้องขอโอกาสในการทดสอบหน้ากล้องอย่างไม่ลดละ โดยมี เอวา การ์ดเนอร์ ผู้เป็นทั้งรักและพิษร้าย คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง

ในที่สุดโชคชะตาก็เข้าข้างเขา เมื่อ อีไล วอลลัค (Eli Wallach) นักแสดงตัวเลือกแรกปฏิเสธบทนี้เพื่อไปเล่นละครเวที การแสดงของซินาตรา ในบท แมจจิโอ มีความหมายมากกว่าการได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม 

พีท แฮมิลล์ (Pete Hamill) วิเคราะห์ว่า การที่ตัวละครแมจจิโอถูกทุบตีจนตายในเรื่อง เปรียบเสมือนการไถ่บาปในเชิงสัญลักษณ์ ในสายตาของสาธารณชน ผู้ชายที่เคยชิงชัง บัดนี้ได้แสดงให้เห็นความเปราะบางและความกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ ผู้คนเริ่มยอมรับเขา ในฐานะผู้ที่ชดใช้กรรมของตนเองแล้ว

การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนจอเงิน แต่ยังรวมถึงในโลกของเสียงเพลงด้วย หลังจากถูกค่ายโคลัมเบียปฏิเสธสัญญา เขาได้บ้านหลังใหม่ที่ แคปิตอล เรคคอร์ดส์ (Capitol Records) ช่วงแรกเขาให้ แอ็กเซล สตอร์ดาห์ล (Axel Stordahl) นักเรียบเรียงดนตรีคู่บุญคนเดิมมาช่วยบันทึกเสียง แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อ สตอร์ดาห์ล ติดภารกิจไม่สามารถมาทำงานให้ได้ ซินาตราจึงต้องทำงานกับนักเรียบเรียงเสียงประสานหนุ่ม เนลสัน ริดเดิล (Nelson Riddle) ตามคำแนะนำของผู้บริหารค่าย

การพบกันของ ซินาตรา และ ริดเดิล คือหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป ริดเดิล ซึ่งมากด้วยฝีมือ ได้สร้างสรรค์ดนตรีที่แตกต่างออกไป ด้วยซาวด์สวิงที่ยิ่งใหญ่ ทันสมัย และเปิดพื้นที่ให้เสียงร้องของซินาตรา ได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ 

ผลงานชิ้นแรกที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลง คือเพลง ‘I've Got the World on a String’ คือเสียงของชายคนใหม่ที่กลับมาอย่างมั่นใจกว่าเดิม เสียงของเขาทุ้มลึกและมีน้ำหนักมากขึ้น เต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดที่ผ่านมา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวังและการไม่ยอมแพ้

การร่วมงานกับ ริดเดิล ได้ปลดปล่อยศักยภาพทางดนตรีของซินาตราออกมาอย่างเต็มที่ เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทั้งคู่ได้สร้างสรรค์อัลบั้มระดับมาสเตอร์พีซ ที่กลายเป็นต้นแบบของคอนเซ็ปต์อัลบั้มในเวลาต่อมา

เสียงเพลงใต้เงาปีกหมวก

การกลับมาของ แฟรงก์ ซินาตรา ในครั้งนี้ ไม่ใช่การหวนคืนสู่ภาพลักษณ์เดิม เขาไม่ได้กลับมาในฐานะเดอะวอยซ์ เด็กหนุ่มร่างบางขวัญใจสาว ๆ อีกต่อไป แต่ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในฐานะศิลปินใหญ่ ผู้สวมหมวกปีกอ่อนเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจนจัด นี่คือยุคทองของ ‘ซินาตรา’ แห่งค่ายแคปิตอล เรคคอร์ดส์ (Capitol Records) ที่เขาได้สร้างสรรค์ผลงานอมตะซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการดนตรีเอาไว้มากมาย

ภาพลักษณ์ใหม่ของซินาตรา คือชายผู้มีโลกทั้งใบอยู่ในกำมือ (I've Got the World on a String) เป็นสุภาพบุรุษนักดื่มในบาร์หรูยามค่ำคืน เป็นผู้นำกลุ่มแรทแพ็ค (The Rat Pack) ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความมั่นใจ เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความเท่ในแบบฉบับของผู้ชายอเมริกันยุคหลังสงคราม 

แต่เบื้องหลังความสำเร็จอันเจิดจ้านั้น มาจากภาพสะท้อนของเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความลุ่มลึกและร่องรอยของบาดแผล สุ้มเสียงในแบบไวโอลินแหลมใสวัยหนุ่ม เปลี่ยนมาเป็นสุ้มเสียงแบบวิโอลาและเชลโลที่ทุ้มกังวานและปลายหม่น คือเสียงของชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เหมือนดังที่ เนลสัน ริดเดิล ตั้งข้อสังเกตไว้ 

"เอวา (การ์ดเนอร์) สอนให้เขารู้จักวิธีร้องเพลงอกหัก... เธอสอนเขาอย่างหนักหน่วง"

ที่สำคัญที่สุด ในยุคนี้ ซินาตราได้ปฏิวัติรูปแบบของอัลบั้มเพ" อัลบั้มไม่ใช่ที่รวมเพลงฮิต แต่คือผืนผ้าใบขนาดใหญ่สำหรับเล่าเรื่องราวที่มีธีมและอารมณ์ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ เขาได้สร้างคอนเซ็ปต์อัลบั้มขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น In the Wee Small Hours ที่เปรียบเสมือนบทเพลงของผู้ชายที่นอนไม่หลับในคืนฝนตก ณ เมืองใหญ่ ดื่มด่ำกับความเหงาและความทรงจำถึงรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป หรือ Songs for Swingin' Lovers! ที่เต็มไปด้วยความสุขและความรักที่กลับมาผลิบานอีกครั้ง

ทุกอัลบั้มเปรียบเสมือนภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านเสียงเพลง มีการวางลำดับเพลงอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างโครงสร้างทางอารมณ์ที่สมบูรณ์ ผู้ฟังร่วมเดินทางพร้อมกับนักร้องตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้าย นี่คือการยกระดับเพลงป๊อปขึ้นสู่การเป็นผลงานศิลปะอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในวงการ

เสียงของซินาตรา ในยุคนี้กลายเป็นซาวด์แทร็กของชีวิตคนเมืองโดยสมบูรณ์ คือกวีผู้ขับขานความเปลี่ยวเหงาของชีวิตในเมืองใหญ่ (the troubadour of urban loneliness) บทเพลงของเขาดังก้องอยู่ในบาร์ยามดึก ในอพาร์ตเมนต์ที่มองเห็นแสงไฟระยิบระยับของตึกระฟ้า และในหัวใจของผู้คนที่กำลังแสวงหาความรักและความหมาย 

เสียงสะท้อนในความเงียบ

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่งเพื่อรอใคร แม้แต่ราชาเพลงป๊อปอย่าง แฟรงก์ ซินาตรา เมื่อยุค 1960s มาถึง โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมคนหนุ่มสาวถูกขับเคลื่อนด้วยดนตรีร็อกแอนด์โรลล์ที่ดังกระหึ่ม บทเพลงที่เขาเคยขับขานเริ่มถูกมองว่าเป็นดนตรีของคนรุ่นพ่อแม่ ซินาตรา มักแสดงความสับสนและไม่พอใจต่อโลกใบใหม่ที่เขาไม่เข้าใจนี้ 

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในโลกดนตรี แต่ยังรวมถึงจุดยืนทางการเมืองด้วย ซินาตรา ผู้เคยเป็นเสรีนิยมสายเลือดใหม่ ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีรูสเวลต์ และต่อสู้กับการเหยียดผิวอย่างแข็งขันค่อย ๆ เคลื่อนไปอยู่ฝ่ายอนุรักษนิยม เขาสนับสนุน ริชาร์ด นิกสัน และกลายเป็นสหายสนิทของ โรนัลด์ เรแกน หลายคนมองว่านี่คือการทรยศต่ออุดมการณ์เดิม แต่สำหรับคนรุ่นเขา มันคือปฏิกิริยาต่อความวุ่นวายทางสังคมที่พวกเขาไม่คุ้นเคย

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้เอง เขาได้พบกับเพลงซึ่งจะกลายเป็นลายเซ็นสำคัญในช่วงบั้นปลายชีวิต นั่นคือ ‘My Way’ บทเพลงนี้ได้สรุปและตอกย้ำภาพลักษณ์ของซินาตรา ในฐานะชายผู้ยืนหยัดในหนทางของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคและคำวิจารณ์มากมายก็ตาม เพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงชาติส่วนตัวของเขาไปโดยปริยาย

ถึงแม้ในทางศิลปะ เขาอาจจะไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ปฏิวัติวงการได้เหมือนยุคทองที่แคปิตอลอีกแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยหยุดทำงานดนตรี เขายังคงขึ้นแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลก บันทึกเสียง และพยายามค้นหาความหมายใหม่ ๆ ให้กับบทเพลงที่เขารัก แม้ในช่วงท้ายของชีวิต ซินาตรา จะไม่ใช่นักร้องที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป แต่ทุกครั้งที่เขาร้อง มันคือเสียงของชายที่ผ่านโลกทั้งใบ เสียงที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ประสบการณ์ และความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง

สิ่งที่ยืนยันความยิ่งใหญ่ของ ซินาตรา ได้ดีที่สุด คือการยอมรับจากเหล่านักดนตรีด้วยกันเอง จีน ลีส์ อ้างถึงโพลก่อนหน้านั้น (ในปี 1956) ที่ ซินาตรา ได้รับโหวตจากนักดนตรีแจ๊สให้เป็นนักร้องคนโปรดอย่างท่วมท้น โดย วูดดี เฮอร์แมน (Woody Herman) นักดนตรีแจ๊สชื่อดัง เคยกล่าวติดตลกว่า 

"เขาร้องเพลงจากสมุดโทรศัพท์ก็ได้ แล้วผมก็จะชอบมันอยู่ดี"

อิทธิพลของ ซินาตรา ยังคงส่งผ่านมาถึงศิลปินร่วมสมัยมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ แฮร์รี คอนนิค จูเนียร์ (Harry Connick Jr.) ไปจนถึง ไมเคิล บูเบลย์ (Michael Bublé) ที่ต่างยอมรับว่า เขาคือต้นแบบในการร้องและการตีความเพลง

ค่ำคืนหนึ่งที่ พีท แฮมิลล์ มีโอกาสนั่งรถลีมูซีนไปกับ ซินาตรา ในนิวยอร์ก เมืองที่เขาเคยหลงรัก  

"เมืองนี้มันเปลี่ยนไปมากนะ" ซินาตรา รำพึงให้พีทฟังระหว่างท่องไปบนเกาะแมนฮัตตัน จากถนนสายที่ 86 มุ่งหน้าสู่เซ็นทรัลปาร์ค 

"ตอนที่ผมข้ามแม่น้ำมาครั้งแรก ที่นี่คือเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเหมือนผู้หญิงที่ทั้งแข็งแรงและสวยงาม แต่ตอนนี้ มันไม่ต่างจากหญิงขายบริการที่แก่โทรม" 

คำพูดนั้นสะท้อนความรู้สึกของชายผู้ที่รู้ตัวว่ายุคสมัยของเขากำลังจะผ่านพ้นไป

ท้ายที่สุดแล้ว แฟรงก์ ซินาตรา คือศิลปินตัวจริงผู้ถ่ายทอดความเจ็บปวดของมนุษย์ และแปรเปลี่ยนให้เป็นการปลอบประโลมที่งดงาม เขาเผชิญหน้ากับการดูถูกเหยียดหยาม และได้เปลี่ยนวิธีคิดที่ผู้คนมีต่อลูกหลานของผู้อพยพเสียใหม่ และที่สำคัญที่สุด เขาได้มอบเสียงให้แก่ความเหงา เพื่อให้ผู้คนนับล้านรู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

งานศิลปะที่ยิ่งใหญ่จะยังคงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับผลงานของ แฟรงก์ ซินาตรา ที่รอใครสักคนมาค้นพบ เพื่อจะตระหนักรับรู้ว่าเสียงนั้นช่วยเติมเต็มความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้อย่างไร.

 

ที่มา:

 

- Hamill, Pete. Why Sinatra Matters. Little, Brown and Company, 1998.

- Lees, Gene. Singers and the Song. Oxford University Press, 1987.