05 ก.ย. 2568 | 19:16 น.

แวดวงไวน์ มีบางเหตุการณ์ที่จะถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับแมทช์การแข่งขันฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์ หรือคอนเสิร์ตที่กลายเป็นตำนาน และเกือบทั้งหมดเกี่ยวพันกับสิ่งเดียวกัน นั่นคือ blind tasting (การทายไวน์)
จากที่เคยเล่าไปใน EP18 ว่า blind tasting เป็นสนามฝึกฝนที่เข้มข้นที่สุดในการเรียนรู้ไวน์ แต่ในความเป็นจริง บางครั้งมันก็ออกนอกกรอบไปไกล กลายเป็นเหตุการณ์ที่เขย่าวงการไวน์ หลายกรณียังกลายเป็นเรื่องเล่าขำขันที่ยังทำให้ผู้คนอมยิ้มทุกครั้ง
เพราะการชิมไวน์โดยไม่รู้ว่าขวดตรงหน้าคืออะไร มักพาเราไปเจอกับความจริงที่ไม่คาดคิด และความจริงเหล่านั้น มักจะหักล้างความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของภูมิภาค ราคาที่ถูกตีค่าไว้สูงลิบ หรือความมั่นใจเกินร้อยของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางครั้งก็พลาดได้ง่าย ๆ
EP19 จะพาไปสำรวจ ‘อีกด้าน’ ของ blind tasting ซึ่งปรากฏในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เหตุการณ์ปารีสปี 1976 ที่เปลี่ยนทิศทางวงการไวน์ไปตลอดกาล ไปจนถึงเกร็ดเล่าของนักชิมที่หลุดปากตอบติดตลก เรื่องเหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจว่า blind tasting ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการฝึกฝน หากเป็นเวทีที่เผยให้เห็นทั้งพลัง ความเปราะบาง และเสน่ห์ของไวน์
วันที่ 24 พฤษภาคม 1976 คือวันที่โลกของไวน์ถูกเขย่า โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน blind tasting ที่ปารีส ซึ่งจัดโดย ‘สตีเวน เปอร์เรียร์’ (Steven Spurrier) เป็นผู้รักไวน์ชาวอังกฤษ ที่ในเวลานั้นทำธุรกิจโรงเรียนสอนไวน์ ‘L’Académie du Vin’ และเปิดร้านขายไวน์เล็ก ๆ อยู่ใจกลางกรุงปารีส
ความตั้งใจดั้งเดิมของ สตีเวน เปอร์เรียร์ ไม่ได้มุ่งหวังจะสร้างประวัติศาสตร์ใด ๆ เพียงแต่ต้องการแนะนำไวน์แคลิฟอร์เนียให้นักดื่มชาวฝรั่งเศสได้รู้จัก ผ่านการเปรียบเทียบแบบซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา โดยให้รสชาติเป็นผู้ตัดสิน
วันนั้น มีกรรมการชิมไวน์ 9 คน ทั้งหมดเป็นชาวฝรั่งเศส ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงการ เช่น ‘โอแบร์ เดอ วีแล็น’ (Aubert de Villaine) ผู้บริหาร ‘Domaine de la Romanée-Conti’ และ ‘โอ-เด็ต คาน’ (Odette Kahn) บรรณาธิการนิตยสาร ‘La Revue du vin de France’ กฎเดียวที่ทุกคนต้องยอมรับคือ การชิมทั้งหมดจะเป็นแบบ blind คือไม่มีใครเห็นฉลาก
ผลลัพธ์ที่ออกมา ทำให้ทุกคนตกตะลึง Chateau Montelena Chardonnay 1973 จาก Napa Valley ได้คะแนนสูงสุดเหนือไวน์ขาวจาก Burgundy ขณะที่ Stag’s Leap Wine Cellars Cabernet Sauvignon 1973 จากแคลิฟอร์เนีย เอาชนะ Bordeaux ชั้นนำไปอย่างเหนือความคาดหมาย กรรมการบางคนยอมรับในภายหลังว่า พวกเขาคิดว่ากำลังยกย่องไวน์ฝรั่งเศสอยู่ แต่แท้จริงแล้ว นั่นคือไวน์จากแคลิฟอร์เนีย
‘จอร์จ เทเบอร์’ (George Taber) ผู้สื่อข่าวจาก Time เป็นนักข่าวต่างชาติคนเดียวที่อยู่ในห้องวันนั้น เขาบันทึกเหตุการณ์นี้และตีพิมพ์บทความชื่อ ‘Judgment of Paris’ ข่าวสั้น ๆ เพียงไม่กี่ย่อหน้าชิ้นนี้ กลับกลายเป็น ‘ระเบิดลูกใหญ่’ ที่สะเทือนโลกไวน์ทั้งสองฝั่งมหาสมุทร โดยไวน์เมคเกอร์ อย่าง ‘โรเบิร์ต มอนดาวี’ (Robert Mondavi) ถึงกับเขียนแสดงความเห็นว่า เหตุการณ์นี้คือก้าวสำคัญที่ทำให้แคลิฟอร์เนีย “ถูกปักหมุดบนแผนที่ไวน์โลก” อย่างแท้จริง เป็นการประกาศต่อสาธารณะว่า ‘โลกใหม่’ (New World) ไม่ได้ด้อยกว่า ‘โลกเก่า’ (Old World) และบางครั้งก็สามารถสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่าได้ด้วย
หาก Judgment of Paris คือบทเรียนใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการไวน์ทั้งโลก เรื่องเล็ก ๆ ที่แฝงอารมณ์ขันก็มีบทบาทไม่แพ้กันในการทำให้ blind tasting มีเสน่ห์ ความผิดพลาดในการทายไวน์ ไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอาย แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ในโลกแห่งกลิ่นและรสชาติ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอดเวลา”
หนึ่งในคำพูดที่โด่งดังที่สุด มาจาก ‘แฮร์รี วอห์’ (Harry Waugh) นักเขียนชื่อดัง ผู้ถูกถามว่า เขาเคยสับสนระหว่าง Bordeaux กับ Burgundy หรือไม่ เขาตอบอย่างติดตลกว่า “Not since lunch-time!” ความหมายคือ เขาเพิ่งสับสนไปเมื่อมื้อกลางวันนี่เอง ไม่ใช่เรื่องไกลตัว อย่างที่ใครคิด คำตอบสั้น ๆ นี้สะท้อนทั้งอารมณ์ขันและความถ่อมตนในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และกลายเป็นเกร็ดที่เล่าต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องเล่าลักษณะนี้ช่วยย้ำว่า “ความผิดพลาดคือหัวใจของการเรียนรู้” ทุกครั้งที่นักชิมตีความผิด เช่นไวน์มาจากโลกเก่า ทั้งที่เป็นไวน์จากโลกใหม่ หรือเข้าใจว่าเป็นแทนนินของ Syrah ทั้งที่มาจาก Cabernet Sauvignon ไม่เพียงแต่สอนให้เรารู้จักไวน์มากขึ้น แต่ยังสอนให้รู้จักตนเองมากขึ้นด้วย
ในบรรยากาศของการชิมไวน์ร่วมกัน ความผิดพลาดยังเป็นเชื้อไฟของบทสนทนาและเสียงหัวเราะ ความมั่นใจเกินร้อยแล้วทายผิด กลายเป็นเรื่องเล่าอันแสนขบขันที่ทุกคนจำได้ การยอมรับว่าตนเองก็พลาดได้ ทำให้ blind tasting มีเสน่ห์ เป็นมิตร และทำให้โต๊ะไวน์เป็นเวทีของการแบ่งปันประสบการณ์
โลกของไวน์ยังมีอีกหนึ่งเวทีที่สะท้อนทั้งความจริงจังและความสนุกของ blind tasting นั่นคือการแข่งขันประจำปี ระหว่างมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่เรียกว่า ‘Varsity Blind Tasting Match’
การแข่งขันนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1953 โดยการสนับสนุนของ Pol Roger แบรนด์แชมเปญชื่อดัง เพื่อทดสอบความสามารถของนักศึกษา สร้างบรรยากาศที่ผสมผสานทั้งมิตรภาพและการแข่งขัน จนกลายเป็นประเพณีที่ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญที่บ่มเพาะนักชิมรุ่นใหม่ของสหราชอาณาจักร
บรรยากาศของ Varsity Blind Tasting Match มีเสน่ห์เฉพาะตัว ไม่เข้มข้นเคร่งเครียดเหมือนการสอบ Master of Wine แต่ก็ไม่ใช่เกมเบาสบายเสียทีเดียว ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างเต็มที่ เพื่อแยกแยะสายพันธุ์องุ่น แหล่งผลิต และวินเทจของไวน์ที่เสิร์ฟโดยไร้ฉลาก การตัดสินขึ้นอยู่กับทั้งความแม่นยำในการวิเคราะห์และความสามารถในการบรรยายสิ่งที่สัมผัสได้
ผลการแข่งขันในแต่ละปี มักกลายเป็นเรื่องเล่าที่วงการไวน์อังกฤษหยิบขึ้นมาพูดถึง เช่น การที่ทีมหนึ่งมั่นใจสุดขีดในคำตอบ แต่กลับผิดหมดแทบทุกข้อ หรือการที่ผู้ตัดสินประทับใจในการใช้ภาษาเปรียบเปรยของนักศึกษา ซึ่งทำให้เห็นว่า blind tasting ไม่ได้วัดเพียงการทายถูกหรือผิด แต่ยังสะท้อนวิธีคิดและการสื่อสารด้วย
หนึ่งในความท้าทายของ blind tasting คือการเปิดโปง ‘มายาคติของราคา’ ที่ฝังลึกอยู่ในโลกไวน์มาอย่างยาวนาน เรามักถูกสอนให้เชื่อว่า “ขวดที่แพงกว่าคือขวดที่ดีกว่า” แต่เมื่อฉลากถูกปิด ความเชื่อเหล่านี้กลับถูกสั่นคลอนอย่างชัดเจน
งานวิจัยด้านประสาทวิทยาของ ‘Caltech’ ในปี 2008 โดย ‘อันโตนิโอ รังเกล’ (Antonio Rangel) และ ‘ฮิลเก พลาสมันน์’ (Hilke Plassmann) เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุด พวกเขาให้ผู้เข้าร่วมชิมไวน์ชนิดเดียวกัน แต่ติดป้ายราคาต่างกัน ผลที่ได้คือ สมองส่วนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจทำงานมากขึ้นเมื่อผู้ชิม ‘เชื่อ’ ว่ากำลังดื่มไวน์ราคาแพง ทั้งที่ในความเป็นจริง นั่นคือไวน์ขวดเดียวกัน การทดลองนี้ยืนยันว่า “ราคาสามารถเปลี่ยนไม่เพียงแค่การรับรู้ แต่เปลี่ยนประสบการณ์ที่สมองสร้างขึ้นจริง ๆ”
ในโลกความเป็นจริง มีตัวอย่างมากมายที่สะท้อนสิ่งเดียวกัน สื่อ The Guardian และ New York Times เคยรายงานกรณีที่ไวน์ราคาย่อมเยาชนะไวน์ชั้นสูง ในการชิมแบบ blind และไม่ใช่เรื่องหายากเลยที่จะพบว่า ขวดที่มีราคาหลักร้อยกลับได้รับคำชมมากกว่าขวดที่มีราคาหลักพัน
นักวิจารณ์บางคนถึงกับประชดว่า “ฉลากคือเครื่องปรุงที่แพงที่สุดในโลก” คำพูดนี้สะท้อนว่า “ราคากับคุณภาพไม่ได้เดินคู่กันเสมอไป”
blind tasting ไม่ได้ทำให้คน “ค้นพบของถูกที่ดี” เพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้ตระหนักว่า สิ่งที่เราคิดว่าแพงและดี อาจดีจริงก็เพราะสมองถูกโปรแกรมให้เชื่อเช่นนั้น การปิดฉลากจึงไม่เพียงทำให้ตัดสินไวน์ได้ซื่อสัตย์ขึ้น แต่ยังทำให้เราได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอีกด้วย
Blind tasting คือเวทีการเรียนรู้ที่สำคัญ บางครั้งเผยให้เห็นความจริงอันเรียบง่าย เช่น ราคาสูงไม่ได้การันตีคุณภาพ หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถผิดพลาดได้ เปิดโปงอคติที่ซ่อนอยู่ในใจเรา ย้ำเตือนให้ถ่อมตน และในขณะเดียวกันก็เป็นกิจกรรมสร้างความสนุกสนานบนโต๊ะอาหาร
จากห้องสอบของซอมเมอลิเยร์ สู่การแข่งขันระดับนานาชาติ จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ จนถึงปาร์ตี้เล็ก ๆ ในบ้านเพื่อน Blind tasting กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัยของคนรักไวน์ทั่วโลก
และบางที คำตอบที่แท้จริงของการชิมไวน์ อาจไม่ได้อยู่ที่การทายถูกหรือผิด แต่อยู่ที่การยอมรับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘รสชาติ’ ในแก้วตรงหน้า ซึ่งไม่มีฉลากใดมาบอกแทนได้
อนันต์ ลือประดิษฐ์