20 ต.ค. 2568 | 17:20 น.

KEY
POINTS
“ตลาด EV ถือว่าขยายมาอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็วมา ระดับหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ตอนนี้มันเหมือนชะลอลง เพราะว่าความมั่นใจของผู้บริโภคต่อแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’ ”
โลกของรถยนต์กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเครื่องยนต์สันดาปสู่พลังงานไฟฟ้า การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่ที่เทคโนโลยี แต่ยังอยู่ที่ความกล้าในการคิดต่าง ทว่าการแข่งขันที่เข้มข้นก็ตามมาพร้อมกับความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอันเป็นผลพวงจากสงครามราคา มิติของคุณภาพและความเชื่อมั่นจึงเป็นโจทย์สำคัญในอุตสาหกรรม EV (Electric Vehicle) ในยุคปัจจุบันนี้
หนึ่งในผู้ที่มองเห็นภาพของตลาดรถไฟฟ้าอย่างชัดเจน คือ ‘อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์’ ผู้ก่อตั้ง ‘Infinite Automobile’ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในเครือ ChangAn อย่าง ‘AVATR’ และ ‘DEEPAL’ ที่เติบโตมากับครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจรถหรู และประสบการณ์ธุรกิจโลจิสติกส์ในจีน ที่หล่อหลอมวิถีในการมองโลกและดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทย
เมื่อได้ไปสัมผัสตลาด EV ในจีน อนุวัชรเห็นภาพการเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจน จากเมืองเล็ก ๆ ถูกปรับระบบขนส่งทั้งหมดเป็นไฟฟ้า พร้อมกับนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเห็นว่าการลงมือทำและปรับตัวอย่างรวดเร็วสามารถเปลี่ยนตลาดได้จริง และนี่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถไฟฟ้าในประเทศไทย
โดยในบทสัมภาษณ์นี้ The People จะพาสำรวจเรื่องราว แนวคิด และประสบการณ์ของ อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ ตั้งแต่การเติบโตในครอบครัวธุรกิจ การเข้าไปสัมผัสตลาดรถไฟฟ้าในจีน จนมาถึงการก่อตั้ง Infinite Automobile ในประเทศไทย เพื่อสะท้อนให้เห็น วิสัยทัศน์และการผสมผสานแนวคิดระหว่างประสบการณ์ครอบครัว ธุรกิจ และประสบการณ์ต่างประเทศ ที่ช่วยกำหนดทิศทางการสร้างนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าไทย
‘อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์’ เกิดมาในครอบครัวที่ธุรกิจไม่ต่างอะไรจากวิถีชีวิต ทั้งเครือ ‘AAS Group’ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการนำเข้าแบรนด์รถหรูอย่าง Porsche และ Bentley มายาวนานกว่า 35 ปี และสายโลจิสติกส์ของครอบครัวในนาม CTI Logistics ที่เดินงาน logistic ครบวงจรต่อเนื่องมากว่า 45 ปี ก็ล้วนเป็นธุรกิจภายใต้การดูแลของครอบครัวอินทรภูวศักดิ์ทั้งสิ้น
“ทางพ่อก็จะเป็นคนค้าขาย ขยัน ตั้งใจทำงาน แล้วก็มีหลักการของการเลี้ยงที่ค่อนข้างจะเป็นสไตล์ของขงจื๊อ ส่วนทางแม่ก็จะเป็นวัฒนธรรมแบบไทย มีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องการไหว้บรรพบุรุษ”
อนุวัชรเล่าว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายจีน ขณะที่แม่เป็นคนไทยแท้ จึงรับอิทธิพลทั้ง ‘วัฒนธรรมจีน’ และ ‘วัฒนธรรมไทย’ มาพร้อมกัน ตั้งแต่เรื่องการค้าขาย ความขยัน และการมีมารยาทต่อผู้อาวุโส ไปถึงการให้ความสำคัญกับ ‘บุญคุณ’ และ ‘ความผูกพันของพี่น้อง’ ที่ทั้งหมดได้หลอมรวมกันจนเป็นรากฐานสำคัญของเขา
เมื่อโตมากับบ้านที่ทำธุรกิจยาวนาน อนุวัชรจึงซึมซับวิธีคิดเรื่องการเลือกพาร์ตเนอร์ที่จะสามารถไปด้วยกันได้ในระยะยาว มากกว่าจะมองแค่ผลลัพธ์ระยะสั้น โดยเขาเล่าว่า “กลุ่มเราเลือกแบรนด์ที่อยู่กับเราได้ระยะยาวทั้งสิ้น บางพาร์ตเนอร์ก็ทำกันเกือบ 40 ปี… โตมาด้วยกันตั้งแต่สมัยจีนยังไม่มีอะไร จนมาถึงวันนี้” สิ่งนี้กลายเป็นวินัยในชีวิตการทำงาน ว่าธุรกิจไม่ใช่แค่การซื้อ–ขาย แต่คือการสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคงและยืนยาว
แต่นอกจากที่จะเติบโตมาพร้อมกับวัฒนธรรมที่ผสมผสานทั้งความเป็นไทยและจีนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หล่อหลอมแนวคิดของอนุวัชรคือช่วงเวลาที่อนุวัชรได้ทุนการศึกษาที่ European Business School ในเยอรมนี
การเรียนต่อในยุโรปกลายเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของอนุวัชร เพราะไม่ใช่เพียงได้ความรู้เชิงวิชาการ แต่คือการฝึกให้กล้าคิด กล้าพูด และยืนหยัดในเหตุผลของตัวเอง ที่นั่นอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นคาดหวังให้ทุกคน ‘speak up’ อยู่เสมอ การยืนขึ้นแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นระบบจึงไม่ใช่เรื่องเลือกทำ แต่เป็น ‘สิทธิและหน้าที่’
“ที่เมืองนอกเขาสอนให้เรากล้าพูดเสมอ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของทุกคน”
ประสบการณ์นี้ไม่ได้เปลี่ยนเพียงวิธีเรียนรู้ของอนุวัชร แต่ยังหล่อหลอมวิธีการคิดและสื่อสารที่กลายเป็นกรอบการมองโลกที่สำคัญของเขา
ก้าวสำคัญอีกช่วงหนึ่งในชีวิตของ อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ คือการได้ไปดูแลธุรกิจด้านโลจิสติกส์ในประเทศจีน โดยครั้งแรกที่เขาเดินทางไปจีนเพื่อดูรถยนต์ไฟฟ้า เกิดขึ้นราวปี 2016 - 2017 จากโจทย์เรื่องมลภาวะและต้นทุนการขนส่งที่ครอบครัวทำอยู่ในธุรกิจโลจิสติกส์ เขาเริ่มสงสัยว่ารถ EV จะช่วยได้จริงหรือไม่ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เห็นว่าจีนเริ่มขยับ แต่คุณภาพของรถในเวลานั้นยังไม่พร้อม ทั้งมาตรฐานยังไม่สูงพอและยังไม่คุ้มค่า จึงตัดสินใจกลับมาและเฝ้าดูพัฒนาการของอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้เห็นเมืองเล็ก ๆ อย่าง หลิวโจว (Liuzhou) กลายเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านสู่ EV แทบทั้งเมือง รถบัสและแท็กซี่ถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าทั้งหมด โดยมีมาตรการชัดเจนห้ามรถน้ำมันเข้ากลางเมือง ทำให้ภาพการใช้งานจริงของ EV ไม่ได้เป็นเพียงโครงการทดลองอีกต่อไป แต่เป็นนโยบายที่เปลี่ยนโครงสร้างการเดินทางของผู้คนทั้งชุมชน เรื่องนี้ทำให้เขามองเห็นพลังของการกำหนดนโยบายระดับท้องถิ่นที่ขับเคลื่อนสังคมไปสู่เทคโนโลยีใหม่อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน อนุวัชรก็เริ่มมองออกว่าทำไมจีนเลือก ‘รถไฟฟ้า’ เป็นสนามแข่งขัน จีนไม่สามารถแข่งกับญี่ปุ่นหรือเยอรมนีในเครื่องยนต์สันดาปที่พัฒนามานานและมีห่วงโซ่อุปทานแข็งแรงอยู่แล้ว แต่ EV กลับเป็นพื้นที่ใหม่ที่จีนได้เปรียบ เพราะครองฐานการผลิตแบตเตอรี่และเทคโนโลยี supply chain ในมือ เขาอธิบายว่า ถ้าจีนเดินเกมรถน้ำมันก็ไม่มีวันชนะ แต่เมื่อพลิกสู่ EV จีนกลับมีแต้มต่อที่ฝั่งตะวันตกไม่มีเลย นี่คือ ‘การเลือกสนามแข่งใหม่’ ที่ชาญฉลาดและทำให้เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านจะเกิดขึ้นจริง
เมื่อเวลาผ่านไป อนุวัชรก็ได้เดินทางกลับไปจีนอีกครั้งหลังการระบาดของโควิด-19 และสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือการพัฒนาที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากวันที่เขาไปดูครั้งแรกยังลังเลว่าคุ้มหรือไม่ มาถึงวันที่จีนกลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม EV เต็มรูปแบบ เทคโนโลยีก้าวกระโดดเร็วเกินคาด ทั้งคุณภาพรถ สมรรถนะ แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไฟ คราวนี้สิ่งที่เห็นจึงไม่ใช่เพียง ‘ความเป็นไปได้’ แต่คือการยืนยันว่า EV ไม่ใช่อนาคตอันห่างไกลอีกต่อไป หากกำลังจะเป็นปัจจุบันที่จับต้องได้
สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจมากที่สุด คือ ‘ความเร็วแบบจีน’ จีนไม่กลัวที่จะลอง ผิดก็แก้ ทรัพยากรที่ลงไปในโครงการใดโครงการหนึ่ง หากไม่เวิร์กก็ยอมทิ้งแล้วสร้างใหม่ทันที แตกต่างจากระบบราชการหรือการวางแผนแบบไทย ที่เมื่อวางแผนผิดครั้งหนึ่งอาจเสียทั้งเงินและเวลาไปมาก เขามองว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ ecosystem ของ EV ในจีนจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะสังคมและผู้เล่นทุกระดับพร้อมจะเรียนรู้จากความผิดพลาดและเดินหน้าต่อ ความเร็วในการปรับตัวเช่นนี้เองที่ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า หากจะเริ่มธุรกิจใหม่ การมองไปที่รถไฟฟ้าจีน คือโอกาสที่ไม่อาจมองข้ามได้
นับตั้งแต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากครอบครัวและการทำงานในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม EV ในจีน เมื่อได้เห็นวิธีที่จีนสามารถพัฒนาและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตตามได้ไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เขาตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจที่เขามองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ผ่านการก่อตั้ง ‘Infinite Automobile’
ในครอบครัว AAS Group ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการนำเข้าแบรนด์รถหรูและโลจิสติกส์ เขาได้รับการปลูกฝังหลักคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับพาร์ตเนอร์และลูกค้า แนวคิดนี้จึงถูกนำมาใช้ในการก่อตั้งธุรกิจใหม่ที่เขาตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเอง โดยไม่มองผลกำไรระยะสั้น แต่เน้นไปที่การสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
การตัดสินใจในการเลือกแบรนด์ที่จะเข้ามาใน Infinite Automobile จึงต้องคำนึงถึงคุณภาพและวิสัยทัศน์ในระยะยาว เขาจึงเริ่มต้นเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในเครือ ChangAn แบรนด์ ‘AVATR’ และ ‘DEEPAL’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างตรงจุด
“ตอนที่เราตัดสินใจมาทำธุรกิจนี้ เรามองไปถึงความสำคัญของการเลือกพาร์ทเนอร์ที่ดี ซึ่งเราโชคดีมากที่เราเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีความเข้าใจและมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ และตอนที่ผมไปเมืองนอกเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ก็ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าเทคโนโลยี EV จะเป็นเทรนด์ในอนาคต และจะได้รับความนิยมมากขึ้น”
จากการเลือกแบรนด์ที่มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี และการเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านการตลาดและการให้บริการ เขามั่นใจว่า ‘Infinite Automobile’ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่ไม่เพียงแค่การขายรถ แต่ยังรวมถึงการสร้างระบบนิเวศของการใช้รถไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ
“เราเห็นว่าโอกาสในการขยายตลาด EV ในประเทศไทยมันมีจริง และเมื่อดูจากเทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล เราเชื่อมั่นว่าตลาดนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต เราจึงตัดสินใจนำแบรนด์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีล้ำสมัยมาผสมผสานกับความเข้าใจในตลาดไทย เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้รถที่ดีที่สุด”
“ตลาด EV ถือว่าขยายมาอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็วมาระดับหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ตอนนี้มันเหมือนชะลอลง เพราะว่าความมั่นใจของผู้บริโภคต่อแบรนด์ต่าง ๆ เนี่ย เริ่มได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’”
ในด้านของวิสัยทัศน์ อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ มองว่า ตลาด EV ในปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แต่ตอนนี้เริ่มเห็นการชะลอตัวลง ซึ่งเกิดจากความไม่มั่นใจของผู้บริโภคต่อแบรนด์ต่าง ๆ ที่อาจมีปัญหาหรือเลิกกิจการไป เช่นเดียวกับ สงครามราคา ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ลูกค้าเริ่มเกิดความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของแบรนด์ อนุวัชรจึงมองว่ารถ EV จีนควรจะต้องตั้งเป้าหมายใหม่ที่จะไม่ใช้สงครามราคาอีกต่อไป แต่ต้องเป็นการทำการตลาดแข่งขันกับรถญี่ปุ่น เพื่อสะท้อนถึงคุณภาพที่ผู้บริโภคจะสามารถมั่นใจได้
ทว่านอกจากเรื่องของความกังวลเรื่องสงครามราคาที่สัมพันธ์กับคุณภาพแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค คือการล้มหายตายจากไปของแบรนด์ในอุตสาหกรรม EV จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่นอนในตลาด เพราะผู้บริโภคก็ต้องกังวลว่าเจ้าไหนจะเป็นรายต่อไปที่ต้องถอยตัวเองออกจากตลาดนี้
ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและการเติบโตของตลาดที่ชะลอตัวเองเหล่านี้ อนุวัชรยังคงมั่นใจในแบรนด์ของพาร์ทเนอร์ที่ Infinite Automobile ตัดสินใจร่วมงานด้วย อย่าง ChangAn เหตุเพราะเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางจีน ซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากและมีความมั่นคงสูง “เรามั่นใจว่าแบรนด์ของเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เราเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลกลางจีน”
“ทั้งหมดทั้งมวล คือการพยายามจะสื่อสารกับผู้บริโภคไทยว่า เราตั้งใจทำของดีออกมาขายนะ ของของเราจะอยู่กับคุณนาน ๆ”
ในท้ายที่สุด อนุวัชรมองว่า EV จะไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการขนส่ง แต่ยังเป็นการสร้างแนวทางใหม่ที่เชื่อมโยงกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การลดมลพิษ และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เขามั่นใจว่า Infinite Automobile จะเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
และนอกจากดีไซน์ที่สวยหรู คุณภาพที่ได้มาตรฐาน หรือแม้แต่ความยั่งยืนในทรัพยากร ‘ความเชื่อมั่น’ ของผู้บริโภคก็เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่จะทำให้ตลาด EV ในประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพราะในที่สุดแล้ว การเลือกแบรนด์ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีและฟังก์ชัน แต่ยังขึ้นอยู่กับการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การซื้อจนถึงการใช้งานระยะยาว สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าผู้บริโภคจะกลับมาเลือกใช้และสนับสนุนแบรนด์นั้น ๆ หรือไม่ และจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาด EV ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและไม่หยุดนิ่งในอนาคต