09 ธ.ค. 2568 | 11:10 น.

KEY
POINTS
“บางคนอาจจะกลัวความรักเพราะเคยเจอเรื่องไม่ดีมา แต่บางทีมันอาจจะเป็นความรักที่ไม่ดี มันเป็นความรักที่ไม่ใช่ความรักจริง ๆ ถ้ามันเป็นคำว่าความรักจริง ๆ มันจะสวยงาม”
ประโยคนี้ออกมาจากปากของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยผ่านความเจ็บปวดจาก ‘ความรัก’ มา ผู้หญิงที่ในเวลานั้นมองว่าตัวเอง ‘เปราะบาง’ แต่วันนี้เธอกลับพูดถึงความรักด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ไม่มีความขมขื่น ไม่มีความกลัว มีแต่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
และเมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่านี่คือ ‘ความรักที่ดี’ เธอตอบด้วยประโยคที่เรียบง่าย
“ความไม่ทุกข์”
ไม่ใช่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เซอร์ไพรส์อลังการ ไม่ใช่ของขวัญราคาแพง แต่คือความที่ “เราไม่มีเรื่องเสียใจ”
นี่คือบทเรียนชีวิตที่ ‘เลดี้ปราง’ หรือ ‘กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล’ ได้เรียนรู้ระหว่างทาง ก่อนจะกลายมาเป็นผู้หญิงที่เข้าใจว่าความสุขอย่างแท้จริง
วันนี้ เธอนั่งตรงหน้าเรา พร้อมเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้มุ่งหวังจะทำให้ใครสงสาร แต่เป็นเรื่องราวที่เธออยากส่งต่อให้คนที่กำลังเจ็บปวด คนที่กำลังหลงทาง หรือคนที่กำลังมองหาตัวเอง ว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไป และเมื่อถึงเวลานั้น เราจะกลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าเดิม เข้าใจตัวเองมากขึ้น และรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นหาง่ายกว่าที่คิด
บ้านของปรางมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน แม่เป็นคนระเบียบจัดอย่างมาก และที่ทำให้เธอจำฝังใจคือ การลงโทษด้วยการ ‘ปรับเงิน’
“วันนึงได้เงินไปโรงเรียนประมาณ 20 บาท ถ้ากลับมาบ้าน ถอดรองเท้าแล้วไม่วางให้เป็นระเบียบ ปรับ 5 บาท ประตูห้องน้ำไม่ปิด ปรับ 5 บาท”
ฟังดูเข้มงวด แต่ปรางกลับมองว่ามันดี
“ถามว่ามันดีไหม มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราโตมาแล้วเรามีระเบียบจริง ๆ ทุกอย่างเป็นตารางเวลาหมดเลย และแม่จะสอนเสมอให้เป็นคนพูดจาดี พูดจาไพเราะ”
“ปรางเป็นคนไม่เคยพูดคำหยาบ ต่อให้ปรางอารมณ์เสียปรางยังไม่พูดเลย น้อยคนมากที่จะได้ยินปรางพูดอะไรแบบนั้น หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นในซีรีส์ ในละคร”
จนกระทั่งเวลาต้องแสดงละครที่ต้องใช้คำหยาบคาย มันกลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน
“มันไม่คล่องปาก มันไม่ธรรมชาติ แต่ถามว่าอินเนอร์ได้ไหม อินเนอร์โกรธทำได้หมด แต่พอเป็นการพูดคำหยาบ มันอาจจะเหมือนคนไม่เคยเห็นมากกว่า คนเลยไม่ค่อยเชื่อเวลาเราพูด”
และหากจะต้องตำหนิใครสักคน เธอใช้คำว่า “ตำหนิแบบไพเราะ” เช่น “พี่คะ อย่างทำอย่างนี้” ปรางยกตัวอย่างพร้อมหัวเราะเบาๆ
ซึ่งคำตำหนิด้วยน้ำเสียงของเธอ สำหรับบางคนมันไม่ได้ผลเอาเสียเลย
“สำหรับบางคนก็ต้องยอมรับว่ามันไม่เวิร์คจริงๆ มันทำให้บางทีเราโดนเอาเปรียบ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง” เธออธิบายความรู้สึกนั้นให้เข้าใจ
“ทุกครั้งที่โมโหจนถึงขั้นที่ต้องพูดอะไรออกมา ปรางจะรู้สึกว่าทำไมเราถึงต้องกลายเป็นอีกคนนึง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ชอบตัวเองในเวอร์ชันนี้ เพียงเพราะคนที่เราก็ไม่ได้อยากให้เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตเราด้วย”
สุดท้ายปรางก็เลือกทางออกของตัวเอง “ปรางก็เลยพาตัวเองไปอยู่เฉพาะในที่ที่รู้สึกว่ามันแมตช์กับเราแล้วกัน”
ความเคร่งครัดในครอบครัวของปรางมีข้อยกเว้นหนึ่งข้อสำคัญ “จริง ๆ อ่ะ ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ปรางมีกรอบ มีวิธีการเลี้ยงดูที่ชัดเจน แต่จะเป็นในด้านของศีลธรรมมากกว่า ไม่ได้เป็นเรื่องของการตัดสินใจอนาคตหรือการเรียน”
ปรางเป็นเด็กเรียนเก่ง เกรดเฉลี่ยดี ทุกคนแนะนำให้เรียนหมอ อาจารย์อยากส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก เธอกลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป
“สุดท้ายแล้วปรางรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ปรางอยากทำจริง ๆ เรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรม (วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล) เรียนอะไรที่รู้สึกเป็นความสุขของตัวเองจริง ๆ อาชีพหมออาจจะไม่ใช่สิ่งที่ปรางอยากทำไปตลอดชีวิต”
“ปรางเป็นคนชัดเจนในตัวเอง ชัดเจนในความรู้สึก แล้วก็จริงใจกับความรู้สึกตัวเองมาเสมอ ตั้งแต่เด็กจนโตเลย เป็นคนกล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง แล้วก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดเสมอ ชัดเจนในโกลของชีวิต”
เธออธิบายต่อ “ปรางรักในความคิดของตัวเอง แล้วก็เชื่อว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตเรามีความสุข มากกว่าสิ่งที่สังคมภายนอกบีบบังคับให้ทำหรือพูด”
ความชัดเจนนี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เธอผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตไปได้ เพราะเธอรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร และอะไรคือความสุขที่แท้จริงสำหรับเธอ
“จริง ๆ ปรางก็เพิ่งค้นพบตัวเองไม่นานเหมือนกันว่า ฉันชอบตัวเองในเวอร์ชันนี้ที่สุด คือเวอร์ชันที่เรารู้จักตัวเองมาก ๆ รู้จักว่าตัวเองชอบอะไร แล้วก็มีความสุขกับการทำอะไร” เธอเข้าใจดีว่าบางสิ่งบางอย่างสังคมมองว่ามันดี ซึ่งมันอาจจะดีจริง แต่มันไม่ได้ดีสำหรับทุกคน 100%
“เราควรจะมองว่าตัวเองมีความสุขจากอะไร อยากให้ฟังเสียงหัวใจตัวเองให้มากๆ ว่านี่แหละคือความสุขของเรา แล้วถ้ามันไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน นี่ถูกต้องที่สุดแล้ว”
ความสุขของปรางฟังดูง่ายมากจนคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ
“แค่ตื่นมาตอนเช้าได้ชงกาแฟ ได้นั่งดูผลงานของตัวเอง ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่ ได้นั่งดูซีรีส์ที่ชอบ โดยที่ไม่ต้องออกไปสังสรรค์อะไรมากมาย หรือไม่ต้องการให้มีคนเยอะแยะมาทำความรู้จักกับเรา แต่ว่าเรามีความสุขที่จะได้บอกเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันกับแค่บางคน ที่เขาก็พร้อมจะซัพพอร์ตเราเหมือนกัน”
เธอมองว่ามันเป็นโรคของสังคมหรือโซเชียลที่เปลี่ยนไป จนบางคนต้องการการยอมรับมากขึ้น “จริง ๆ แล้วเราลืมมองไปว่า คนที่เขาคอมเมนต์หรือให้กำลังใจเราแล้วมันทัชใจเรามากที่สุด คือคนที่เรารัก แล้วเขาก็รักเราจริง ๆ ไม่ใช่คนที่เขาแค่มาไลก์เราหรือมาคอมเมนต์อะไรก็ไม่รู้ ซึ่งบางทีไม่ใช่ความจริง แล้วดันมามีผลทางใจกับเราซะด้วยซ้ำ”
แต่ความสุขที่เรียบง่ายและชัดเจนขนาดนี้ไม่ได้มาง่าย ๆ เธอต้องผ่านความทุกข์มามากมาย
ก่อนที่จะมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ ง่ายขนาดนี้ ปรางเองก็เคยผ่านความทุกข์มามากเช่นกัน
“ทุกเรื่องราวในชีวิตปราง ปรางไม่เคยเสียใจเลย แล้วก็ยังคิดว่ามันคงเกิดขึ้นแบบนั้นเสมอ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ทุกอย่างมันต้องออกมาหน้าตาแบบนี้แน่นอน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเลือกจะทำ”
เธออธิบายต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “ปรางไม่เคยเสียใจเลย เพราะว่าทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น มันทำให้ปรางเป็นปรางที่แข็งแรงในทุกวันนี้ หมายถึงเป็นปรางที่สามารถตื่นมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าปรางจะเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรมากมายหรืออะไรก็ตาม เพราะว่าหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างมันคงสอนปรางด้วยว่าความทุกข์คืออะไร และการจัดการมันก็คือไม่ได้อยู่ที่ใครเลย ไม่สามารถบังคับปัจจัยรอบด้านเราได้เลย ยกเว้นหัวใจเราเองที่จะทำได้”
เมื่อพูดถึงความทุกข์ของปราง คนมักจะโยงแต่เรื่องความรัก เสมือนเป็นโลโก้ของเธอ
“ปรางเป็นคนไม่ค่อยพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังจริง ๆ แต่ว่าด้วยภาระหน้าที่ แล้วก็ด้วยการที่เราอยู่ในสื่อ มันเลยทำให้เรื่องของเราต้องเป็นที่รู้ของคนทั่วประเทศ”
แต่ถามว่าเธออึดอัดใจไหมที่ต้องออกมาพูด “ไม่ได้อึดอัดใจหรอก แต่เรื่องบางเรื่อง การพูดไป ถ้ามันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น หมายถึงว่าจิตใจปรางก็ไม่ได้ดีขึ้นด้วย แล้วก็รวมถึงคนที่โดนผลกระทบ ก็มีผลทางใจกับเขาเหมือนกัน จริง ๆ ปรางก็ไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่”
เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เห็นอกเห็นใจ “บางทีพูดไป แม้กระทั่งเราพูดเฉพาะในมุมของตัวเราเอง แต่ว่ามันก็จะมีการตีความต่อยอด ซึ่งมันทำให้คนอื่นเขาเสียใจ เราไม่ได้อยากทำร้ายใคร แต่ว่าก็นั่นแหละ เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้”
แล้ววันนั้นปรางเป็นผู้หญิงแบบไหน
“เปราะบาง แต่เลือกที่จะไม่พูด รู้สึกว่าสิ่งที่เยียวยาจิตใจเราได้ที่สุดคือเวลาแล้วก็ตัวเราเอง”
บางคนเวลาเจอเรื่องแบบนี้แบบแผลสด จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเวลาเลย
“ตอนนั้นถามว่าเชื่อไหม ปรางก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเวลาจะทำให้เราดีขึ้น เวลาทุกคนเจ็บปวด ก็มักจะได้คำพูดคำว่าเดี๋ยวเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่คนที่มันเจ็บอยู่ ไม่เข้าใจ จะถามกลับมาเสมอว่าอีกนานแค่ไหนอ่ะ เพราะมันทรมาน”
ในฐานะคนที่ผ่านมาแล้ว เธอมีคำตอบ “ปรางตอบให้ไม่ได้เหมือนกันว่าอีกนานแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเรานี่แหละ แต่ว่ายิ่งนับมันก็ยิ่งนาน อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะอยากมีความสุขตอนนี้เลย หรือว่าเรานั่งรอความสุขแบบไหนอยู่”
เธอแนะนำด้วยประสบการณ์ตรง
“ถ้าเรารู้สึกว่าเราอยากกลับไปสดใส อยากไปแฮปปี้เหมือนเดิม มันคงไม่ได้กลับมาในเร็ววันหรอก แต่ถ้าเราเลือกมองว่าเราทำวันนี้แหละ วันนี้เราเศร้ามากเลย มันเกิดเรื่องอกหัก เรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเราลองหาความสุขเล็ก ๆ แค่วันนี้ก่อนแล้วกัน อย่าไปมองว่าเมื่อไหร่ฉันจะกลับมามีชีวิตสดใส 100% ซึ่งมันอีกนานแน่นอน ถ้ามองแบบนั้นมันไกลเกินแล้วมันท้อ ลองมองแบบทีละวันแล้วกัน”
ในช่วงเวลาขมขื่นของชีวิต ปรางมองเห็นข้อดีอย่างหนึ่งคือ ‘การได้คุยกับตัวเอง’
“เพราะเป็นช่วงที่ปรางได้โฟกัสกับตัวเองมากที่สุดเลยว่า จริง ๆ แล้วฉันชอบอะไร จริง ๆ แล้วฉันมีความสุขกับอะไร โดยที่ไม่มีคนอีกคนนึงที่เรารักเขามาก ๆ มาครอบคลุมความคิดเรา บางทีเขาไม่ได้ครอบคลุมหรอก แต่เรารักเขามาก ๆ จนเราสามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อเขาได้ด้วยเหมือนกัน มันทำให้เราไม่ได้ชัดเจนในสิ่งที่เราอยากได้ เหมือนเราลืมนึกถึงตัวเอง แต่ในวันที่เราอยู่ตัวคนเดียวนี่แหละ เป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ ที่จะให้เราได้เข้าใจตัวเองจริง ๆ 100% ว่า โอเคฉันมีความสุขกับสิ่งนี้นะ”
“จริง ๆ เราไม่ได้จำเป็นต้องไปอยู่ภายใต้แวดล้อมคนมากมาย ไม่ได้ต้องการเข้าสังคมตลอดเวลา แล้วก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา แต่บางทีเราทำเพื่อคนอื่น เราทำเพื่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราที่บอกว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้”
ปรางค้นพบว่า “วันนั้นทำให้ปรางค้นพบว่าจริงๆ การที่ปรางอยู่คนเดียว ปรางก็ยังมีคนที่รักปรางอีกเยอะแยะมากมายเลย สุดท้ายเราก็ค้นพบว่า เราอยู่คนเดียวมันก็มีคนที่รักเราเหลืออยู่จริง ๆ มันไม่จำเป็นต้องมีคนมากมายขนาดนั้น”
“จริง ๆ แล้วความรักที่ได้รับจากคนไม่กี่คน แต่เขารักเราแบบ 100% ดีกว่ามากมายเลย อย่าไปนับจำนวน ลองนับที่ความจริงใจที่เขามีให้เราดีกว่า”
นี่คือบทเรียนที่เธอเรียนรู้จากความเจ็บปวด และมันกลายเป็นรากฐานที่ทำให้เธอเข้มแข็งในวันนี้
การก้าวจากบทบาทนักแสดงมาสู่การเป็นศิลปิน ปรางมีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจน
“เป้าหมายในการมาเป็นศิลปินครั้งนี้ของปราง ปรางจริงจังมาก จุดเด่นของเราคืออะไร ปรางก็คุยกับทีมว่าปรางอยากจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง ปรางอยากให้คนฟัง ฟังแล้วเขาเชื่อจริง ๆ ว่าปรางเข้าใจสิ่งที่ปรางร้อง ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องของปรางเองหรือว่าไม่ใช่เรื่องของปรางเองก็แล้วแต่”
ที่มาของเพลง มาจากความรู้สึกของเธอ ยกตัวอย่างเพลง ‘อยู่จนกว่าจะทนไม่ไหว’ ซึ่งเนื้อหาเหมือนการเข้าไปนั่งกลางใจคนที่ไม่ยอมออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดี
“ในเนื้อเพลงจะอธิบายเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะเรามีความหวัง วันนี้ทุกข์ แต่ว่ามันเคยดี เราก็เลยมัวแต่หลอกตัวเองกับภาพความทรงจำเดิม ๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะกลับมา เพียงเพราะว่าเรายังไม่อยากไป เรารู้สึกว่าถ้าเราไปเราก็เสียใจ แต่ว่าวันนี้อยู่ต่อก็เสียใจเหมือนกัน ถ้างั้นยังไปไม่ไหว ก็เลยเอาภาพเดิม ๆ มากล่อมตัวเองไปก่อน”
“หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คน ปรางก็แค่อยากจะบอกว่าสิ่งนั้นเคยเกิดขึ้นกับปราง แล้ววันนี้ปรางออกมาได้แล้ว เพราะฉะนั้นแค่ส่งกำลังใจให้ใครหลาย ๆ คนว่า มันจะมีวันที่คุณหมดความอดทนเหมือนกัน วันที่คุณจะพร้อมจะออกมาเหมือนกัน”
“เพียงแต่ว่าวันนี้คุณอาจจะแค่ลืมหันกลับมาดูว่าตัวเองยังไหวไหม บางคนใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยที่ลืมหันกลับมามองว่า เอ้ย จริง ๆ เราไม่ไหวแล้วนะเนี่ย แต่ทำไมเรายังอดทนอยู่ ก็หวังว่าฟังเพลงนี้แล้วจะกลับมาดูหัวใจตัวเองว่า เอ้ย ฉันว่าฉันก็ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย อย่างน้อยก็ได้กลับมาคิดถึงตัวเองมากขึ้น”
หลังจากความสำเร็จของเพลง ‘อยู่จนกว่าจะทนไม่ไหว’ ตอนนี้ปรางกำลังโปรโมทเพลงใหม่ชื่อ ‘ค้างคา’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เธอตั้งใจทำด้วยความจริงใจเช่นเดิม พร้อมที่จะส่งต่อความรู้สึกให้กับผู้ฟังอีกครั้ง
มีคนพูดไว้ว่า วิธีมูฟออนที่ดีที่สุดก็คือมีคนใหม่ ปรางเห็นด้วยไหม?
“อันนี้มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับปราง ปรางก็เลยไม่แน่ใจว่าปรางจะสามารถบอกอะไรได้ แต่ว่าถ้าถามปราง ปรางก็อยากแนะนำให้ทุกคนให้เวลากับตัวเองก่อน” เธออธิบายจากประสบการณ์ตัวเอง
“พอเรารักตัวเองมาก ๆ เราชัดเจนกับตัวเองว่าเราต้องการอะไร แล้วเราจะรู้ว่าคนที่เข้ามามันใช่หรือไม่ใช่ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเรียนรู้กันนาน หรือไม่ต้องมานั่งศึกษา เราจะรู้ทันทีเลยว่า โอ้ นี่ ถูกต้อง”
และการรักตัวเองนั้นยังดึงดูดคนที่ดีเข้ามา
“เวลาคนที่จะมาชอบเราหรือมาจีบเรา เขาก็ดูเราที่เราเป็นเรานี่แหละ จริง ๆ มันดูออกว่าใครมีความสุขกับการเป็นตัวเองมากแค่ไหน แล้วปรางว่านั่นคือเสน่ห์ที่ทุกคนมองเห็น คือเราไม่ต้องไปพยายามทำให้คนนั้นชอบเรา เราไม่ต้องไปพยายามเปลี่ยนให้เป็นแบบที่คนนั้นชอบหรอก เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าเรารู้จักตัวเองดีพอ ทุกอย่างมันจะไชน์นิ่งออกมา แล้วเขาจะเห็น แล้วเขาจะอยากเข้าใกล้เราเอง”
เมื่อถามว่ามีช่วงเวลาหรือโมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่า นี่แหละ ฉันเจอแล้ว ความรักที่ดี
ปรางตอบด้วยความชัดเจน “ปรางคิดว่ามันเป็นเรื่องของความที่เราไม่มีความทุกข์”
ฟังดูง่ายมาก แต่มันลึกซึ้ง
“มันคงไม่ได้เป็นเหตุการณ์อะไรหรอกที่รู้สึกว่า ว้าว เขามีเซอร์ไพรส์ใหญ่ให้เรา หรือเขามอบของขวัญใหญ่ หรืออะไรที่เราไม่เคยได้รับ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เราโตแล้ว เราได้รับอะไรมาเยอะมาก ๆ แล้ว แต่ว่าสิ่งที่หายากในความสัมพันธ์คือความไม่ทุกข์ การที่เราไม่มีเรื่องเสียใจ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยสำหรับหนู การที่เรามีความสัมพันธ์ที่รู้สึกสบายใจ ไม่ต้องมานั่งเจอความทุกข์นี่แหละ ไม่ใช่ว่าเราต้องได้รับอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
“เขาทำให้ปรางเข้าใจว่าความสุขเป็นเรื่องง่ายมากกว่าเดิมอีก จริง ๆ ปรางเป็นคนมีความสุขง่ายมาก ๆ อยู่แล้วหลังจากที่ปรางได้เติบโตมากับเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ชีวิตมันสอนปรางอยู่แล้ว แต่พอมีเขาเข้ามาในชีวิต ปรางก็ยิ่งเข้าใจไปอีกว่าความสุขมันแค่นี้จริง ๆ”
กับรักครั้งนี้ เราถามว่าเธอจะเผื่อใจไว้บ้างไหม แต่ปรางตอบทันทีว่า “ไม่เลย”
“ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดหรือว่าอะไรมา แต่ปรางก็ยังเป็นคนเชื่อมั่นเสมอว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม และการที่ปรางยังเชื่อมั่นอยู่เสมอ ปรางว่ามันทำให้ปรางเจอความรักที่ดี” เธออธิบายต่อ
“คนอาจจะกลัวความรักเพราะว่าเคยเจอเรื่องไม่ดีมา แต่อันนั้นบางทีมันอาจจะเป็นความรักที่ไม่ดี ไม่ใช่ความรักจริงๆ เพราะถ้ามันเป็นคำว่าความรักจริง ๆ มันจะสวยงาม”
คนส่วนใหญ่มองปรางในฐานะนักแสดง แต่จริง ๆ แล้วเธออยากเป็นนักร้องก่อนที่จะเป็นนักแสดงอีก
“เป็นความฝันตั้งแต่ตอนเป็นเด็กจิ๋วเลย พอโตมาเราก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นหรอกว่าเราจะได้เข้ามาวงการบันเทิงขนาดนี้ แล้วพอเส้นทางมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ความฝันนั้นมันก็เลยเหมือนฝังอยู่ลึก ๆ ในใจ จริง ๆ ถ้าทุกวันนี้ไม่ได้มีโอกาสจะได้เป็น ถามว่าเสียใจไหม ก็อาจจะไม่ได้ไล่ล่าจนได้มาเป็นศิลปินขนาดนั้น”
ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ปรางร้องไห้
“ที่จริงทุกครั้งที่ได้มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างนี้ หรือว่ามีคนจัดงานเปิดตัวเราในฐานะศิลปิน ปรางจะร้องไห้ทุกครั้งเลยถ้าใครได้ติดตามปราง บางคนอาจจะรู้สึกว่า โอ๊ย ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่มันอิ่มเอมใจจริง ๆ มันเป็นความฝันของเรา”
แต่สิ่งที่เธอไม่เคยลืมคือ “ความฝันของเราไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีใครอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลังเลย ทุกครั้งที่ได้รับคำชม ปรางจะนึกถึงคนที่เขาอยู่ด้านหลังปรางเสมอ” เธอพูดด้วยน้ำตาคลอ “มันเหมือนความฝันก็เป็นความฝันเรา ทำไมคนอื่นถึงมาช่วยเติมเต็มให้เราขนาดนี้ ปรางจะรู้สึก appreciate เขามาก ๆ”
นอกจากพลังงานดี ๆ ที่ได้รับตลอดการสนทนา เรื่องราวของ ‘เลดี้ปราง’ ยังเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเราว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด บางทีมันก็แค่ความไม่ทุกข์ ความสบายใจ และคนไม่กี่คนที่รักเราจริงๆ แค่นั้นก็พอแล้ว
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: พิชญุตม์ คชารักษ์