‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ เดินทางผ่านจุดต่ำสุด ความกดดัน และความเชื่อใน ‘จังหวะชีวิต’ จนกลายเป็นเสียงอบอุ่นที่คนทั้งประเทศร้องตาม ในครั้งนี้เขาเปิดใจเล่าทุกอย่าง ตั้งแต่แรงซัพพอร์ตของ ‘โจอี้ ภูวศิษฐ์’ การเปลี่ยนชื่อเพื่อเริ่มต้นใหม่ ไปจนถึงความฝันที่เขายังวิ่งตามอย่างไม่ยอมแพ้

KEY

POINTS

“โจอี้ดันผมเยอะมาก ผมรักเค้ามากนะ ตอนที่ลำบากก็ไม่ได้มีใครมาช่วย แต่พอสำเร็จแล้ว เค้าส่งต่อตรงนั้นให้ผม…”

นี่คือความรู้สึกที่จริงใจของ ‘เล็ก รัชเมศฐ์’ เจ้าของเพลงดังอย่าง ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว, โลกทั้งใบ และล่าสุด ฟ้ากว้างทางแคบ ที่มีให้กับ ‘โจอี้ ภูวศิษฐ์’ เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันตั้งแต่เป็นผู้เข้าประกวด ‘The Voice’ ก่อนจะกอดคอพากันเข้าไปอยู่ค่าย Genie Records โดยที่โจอี้ทำหน้าที่เป็น ‘ป๋าดัน’ หอบหิ้วเล็กไปขึ้นเวทีด้วยเสมอ ในตอนที่เล็กยังไม่ดังเปรี้ยงปร้าง 

เมื่อถูกถามว่า อะไรทำให้คลิกกันได้ขนาดนี้ เล็กตอบแทบจะทันทีว่า “ด้วยความเป็นคนบ้านนอก ผมเกิดในครอบครัวที่จน มีพ่อแม่เป็นไอดอล ทำให้เราเห็นว่าการสู้ชีวิตเป็นแบบไหน โจอี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน มีความลูกทุ่ง ไม่ได้ถือตัว”

แต่แรงซัพพอร์ตของโจอี้ก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เล็กกลายเป็นที่รู้จักมากมายขนาดนี้… ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางบนถนนสายดนตรีของ ‘เล็ก รัชเมศฐ์’ นักร้องที่มีทั้งพรสวรรค์ ความพากเพียรและไม่ยอมแพ้ และผู้ที่เชื่ออย่างสนิทใจว่า “ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง” 

รากเหง้าและจุดเริ่มต้น

เรื่องราวของเล็กเริ่มต้นที่จังหวัดเพชรบุรี เขาเป็นลูกชาวประมงที่มีชื่อแรกที่แม่ตั้งให้ว่า ‘ประกิต กำบัง’ ส่วนชื่อเล่นว่า เล็ก ก็มาจากรูปร่างของเขา พอเข้าสู่ช่วงมัธยม แม่ก็พาไปเปลี่ยนชื่อเป็น ‘พงศธร’ ตามคำแนะนำของพระ ตอนนั้นเขาเองก็ไม่คิดว่าการเปลี่ยนชื่อจะมีความหมายอะไรมากไปกว่าความสบายใจของพ่อแม่ แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งที่สาม ซึ่งเกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา นั่นต่างหากที่ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงในชีวิตของเขา

หลังจบ ม.3 เส้นทางชีวิตของเล็กเริ่มแตกต่างจากเพื่อนวัยเดียวกัน “จริง ๆ แล้วผมอยากไปต่อที่เทคนิค แต่พ่อไม่ให้ต่อ ก็เลยไม่เรียน แล้วก็มาออกเรือพ่อ” นั่นคือจุดเริ่มต้นของบทเรียนชีวิตที่ไม่มีห้องเรียนใดสามารถสอนได้

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

ชีวิตบนเรือประมงเป็นเรื่องหนักหนาเอาการสำหรับชายหนุ่มร่างเล็กสมชื่อ “แดดเปรี้ยง ๆ ใส่โม่งปิดหน้า เห็นแค่ลูกกะตา ส่วนตีนนี่ดำเลย” เล็กบรรยายถึงสภาพผิวหนังที่ถูกเผาผลาญจากแสงแดดจนแบ่งเป็นสองโทนสีชัดเจน

แต่สิ่งที่หนักกว่าความร้อนของแดดคือบรรดาสัตว์มีพิษที่ติดอวนมา “พอสาวอวนมันก็ร่วงใส่หลัง ใส่เท้า จี๊ดเลย ปวดแสบปวดร้อน เหมือนโดนน้ำร้อนลวก” ความลำบากเหล่านี้ทำให้เล็กเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเงินแต่ละบาทที่พ่อแม่หามานั้นมีค่าแค่ไหน  

เล็กอาจจะกลายเป็นชาวประมงไปตลอดชีวิตเหมือนผู้เป็นพ่อ กระทั่งเขาได้เห็นเพื่อนที่โรงเรียนกำลังจะเข้าสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย มันทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เขาจึงเรียนต่อ กศน. 2 ปี ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยร ชีวิตมหาลัยเปิดโลกใหม่ให้กับเด็กหนุ่มที่เคยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเรือ โลกใหม่ที่ว่านั้น ยังรวมถึงโลกของเสียงดนตรี

“ไปกินเบียร์บ้านเพื่อน เจอพี่ที่เป็นวงดนตรีดังในเพชรบุรี เขาเห็นผมนั่งเล่นกีตาร์อยู่ หลังจากนั้นเขาก็ถามว่าอยากเล่นดนตรีมั้ย ผมก็บอกว่าอยากเล่น เขาก็ไปฝากที่ร้านให้” หลังผ่านออดิชัน เล็กได้เล่นดนตรีตามร้าน 3 วันต่อสัปดาห์ ได้เงินเดือนละประมาณ 8,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากสำหรับเขาในเวลานั้น

แต่รายได้ที่เขาตื่นเต้นกลับนำมาซึ่งการตัดสินใจที่เขายอมรับว่าผิดพลาด “เล่นกลางคืน เงินมันเยอะ แม่ให้เงินมาจ่ายค่าเทอม ผมไม่ได้จ่ายค่าเทอม เอาเงินมาซื้อกีตาร์ มันผิดนะ”

ช่วงเวลาที่เล็กเล่นดนตรีตามร้าน และหลงใหลกับโลกของดนตรีมากขึ้น เป็นช่วงที่เขาเริ่มคิดจริงจังกับอาชีพนักร้อง และโอกาสก็มาถึงเมื่อ The Voice Thailand เปิดรับสมัครด้วยกติกาใหม่

“ถ้า The Voice ไม่เปิดรอบส่งคลิป ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก” เล็กเล่าอย่างตรงไปตรงมา เหตุผลที่เขาไม่เคยสมัครรอบอื่นมาก่อนเพราะ “มันต้อง audition ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผมไม่มาอยู่แล้ว ผมเห็นแล้วว่าเบื้องหลังลำบาก ต้องมานั่งรอ ตอนนั้นไม่ได้เป็นคนมีตังค์”

แต่เมื่อมีรอบส่งคลิป ทุกอย่างเปลี่ยนไป ปีแรกเขาส่งไป แต่ก็ยังไม่ผ่าน ปีที่สองเล็กตัดสินใจลงมืออย่างจริงจัง “อัดไม่ต่ำกว่า 300 รอบ อัดจนเครื่องเต็ม ต้องลบทิ้ง แล้วอัดใหม่” จนมาถึงวันสุดท้าย หากเกินเวลาเที่ยงคืนจะหมดสิทธิ์ส่ง เขาจึงตัดสินใจส่งคลิปสุดท้ายไป 

หลังจากรอผลราว 2 สัปดาห์ ก็มาถึงช่วงเวลาลุ้นระทึก เขาต้องกรอกเลขรหัสเพื่อดูผลในมือถือ และวินาทีที่เขารู้ว่าตัวเองเข้ารอบ “ผมกรี๊ดลั่นบ้านเลย หลังจากนั้นก็ไล่โทรหาทุกคน”

เมื่อคว้าแชมป์ The Voice 2018 มาครองได้สำเร็จ เล็กนำเงินรางวัลไปช่วยที่บ้านใช้หนี้ และเริ่มต้นการเป็น ‘ศิลปินอาชีพ’ ที่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิด “ผมเป็นแค่นักร้อง เป็นคนที่ชอบร้องเพลง แต่เวลาเข้าสู่สนามจริง ๆ ของการทำเพลง การเป็นศิลปินจริง ๆ มันยาก”

“จนมันมีช่วงที่หายไปพักนึง ออกเพลงออกอะไรมาก็ไม่ดัง หายไปเลย”

และแล้วโควิดก็มา ทำให้ทุกอย่างยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

จุดต่ำสุดและการกลับมา

“ตอนนั้นไม่ได้มีไฟแล้วกับการทำเพลง อยากเลิกร้อง”

นั่นคือจุดต่ำสุดในอาชีพการเป็นนักร้องของเล็ก ช่วงเวลาที่เขาเริ่มสงสัยว่า ‘ความฝัน’ ที่เคยมีนั้นยังคงมีอยู่จริงหรือไม่ ช่วงที่เขาเกือบจะ ‘ยอมแพ้’

ช่วงโควิด งานโชว์และอีเวนต์ต่าง ๆ หยุดชะงัก สำหรับศิลปินหน้าใหม่อย่างเล็กที่ยังไม่ทันได้ฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่ง มันเท่ากับการตัดขาดโอกาส 

โชคดีที่ครอบครัวของเล็กมีอาชีพรองรับอยู่ “บ้านผมประกอบอาชีพประมงอยู่แล้ว ก็เลยขายอาหารทะเลตากแห้ง แล้วพี่ชายเปิดโรงงานลูกชิ้น ก็ทำลูกชิ้นปลาระเบิด” แต่ในแง่จิตใจก็ยังรู้สึกหนักหน่วง “ถามว่าดาวน์มั้ย ดาวน์นะ เพราะผมคาดหวังกับเพลงที่ทำ”

แต่แล้วความหวังก็มาแบบไม่คาดคิด “โชคดีที่มีผู้ใหญ่ในค่าย Genie อย่างพี่ต๋อม ณัฐพล มุขขันธ์ เขายังรออยู่” เล็กเล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ “เขาเคยติดต่อมาหาผมตอนจบ The Voice ทีนี้พอใกล้หมดสัญญา ก็มาคุยกังทาง Genie คุยประมาณ 3 รอบ รอบที่ 3 เสร็จเลย”

การตัดสินใจย้ายค่ายมาจากหลายปัจจัย “ค่ายนี้เขามีชื่ออยู่แล้ว มีคนเก่งเยอะแล้วอีกหนึ่งเรื่องการันตีคือโจอี้อยู่ที่นี่ โจอี้ดังแล้วตอนนั้น นั่นแหละมันเป็นเครื่องการันตี” แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “ผมว่าเค้าเจียระไนเพชรได้”

การย้ายค่ายมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการเปลี่ยนชื่อครั้งที่สาม จาก ‘พงศธร กำบัง’ กลายเป็น ‘รัชเมศฐ์ สุขโชควิบูลย์’

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

“รัชเมศฐ์แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่อะไรสักอย่างเกี่ยวกับความสำเร็จ แล้วนามสกุลก็เปลี่ยนด้วย แต่ขอพ่อขอแม่แล้วนะ บัตรประชาชนก็เปลี่ยน” การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้แตกต่างจากสองครั้งก่อน มันเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของอาชีพศิลปิน “มันเป็นสายมู ผมว่ามูอยู่แล้ว แต่มูแล้วไม่เอาการเอางาน มูแล้วไม่ทำก็ไม่เกิด มูแล้วทำ นั่นแหละ” 

“ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมด เปลี่ยนชื่อ จังหวะเวลา ทุกอย่าง มันเป็นจิ๊กซอว์ พอรวมกันมันจะเห็นภาพที่สมบูรณ์”

เพลงแรกที่ออกกับค่ายใหม่คือ ‘เพลงประกอบชีวิต’ ซึ่งได้รับการตอบรับดี แต่ยังไม่ปังมาก จนมาถึงซิงเกิลที่สอง ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ ที่เล็กสัมผัสได้เลยว่าเพลงนี้ต้องมาแรง “ตอนที่ได้ฟังเดโม่เพลงนี้ครั้งแรก ผมรีบโทรบอกทางค่ายเลยว่า ผมชอบมาก อินมาก” เล็กเล่าถึงความรู้สึกแรกที่ได้ฟังเพลง “ยิ่งพอรู้ว่าเป็นเรื่องจริงด้วย ยิ่งอิน”

เมื่อ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ เพลงก็ดังระเบิดไปทั่วบ้านทั่วเมือง

“ตอนถ่ายเอ็มวีที่จันทบุรี ผมพูดว่าเพลงนี้ถึง 10 ล้านวิวแน่นอน ที่เหลือคือกำไรชีวิต แต่มันมาไกลเกินกำไรแล้ว มันปังมาก จรวดเลย ผมไม่คิดว่ามันจะมาไวขนาดนั้น ขึ้นวันละ 300,000-400,000 วิว จนเดือนนึง แล้วก็ขึ้นกว่าล้านทุกวัน”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสความรู้สึกของการมีเพลงฮิตที่คนทั้งประเทศร้องตามได้ “มันคือเพลงของเราจริง ๆ ที่คนร้องตามได้ทั่วประเทศ เวลาไปเล่นที่ไหน คนก็ร้องได้ ร้องตามได้ และร้องได้เสียงดังด้วย”

“ผมเคยเป็นแค่เด็กบ้านนอกที่ชื่นชอบการร้องเพลง เคยไปดูคอนเสิร์ตศิลปินที่เราชอบ เราก็แหกปากร้องตาม แต่อันนี้ เหมือนเรามายืนดูตัวเองในวันนั้น มันยิ่งใหญ่มาก เปลี่ยนมาเป็นคนที่ได้ขึ้นมายืนอยู่บนเวที มองไปข้างล่าง มันที่สุดแล้ว”

ความสำเร็จของเล็กไม่ได้จบลงที่ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เพราะหลังจากนั้นเขาก็ปล่อยเพลง ‘โลกทั้งใบ’ ตอกย้ำความแรงอีกขั้น “คอนเซ็ปต์ของเพลงมันประมาณว่า เราอาจจะเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่เราอาจจะเป็นโลกทั้งใบของใครคนหนึ่งก็ได้” เล็กเล่า “แต่จริง ๆ แล้วการเขียนเพลงนี้ มันมาจากแม่กับลูก ลูกเนี่ยมีแม่เป็นโลกทั้งใบ แม่ก็มีลูกเป็นโลกทั้งใบ”

จังหวะนี้เราเลยรีบถามเล็กว่า สำหรับเขาแล้ว โลกทั้งใบของเขาคือใคร เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “ครอบครัวเลย นึกถึงครอบครัวเลย ภาพมันจะวิ่งทันทีตอนร้องเพลงนี้”

ฟีดแบ็คของเพลงนี้เป็นอีกสิ่งที่ทำให้หนุ่มเพชรบุรีคนนี้ตื้นตัน “ที่สนามบินพิษณุโลก มีพนักงานในสนามบินเดินมาบอกว่าเพื่อนชอบมาก เพื่อนฟังเพลงนี้แล้วหายซึมเศร้า ทำให้รู้สึกดีขึ้น เขาขอบคุณที่ทำให้รู้สึกดี กลับมารักตัวเองได้” เล็กหยุดชั่วครู่ “ผมรู้สึกดีมาก ผมยืนเงียบเลย”

กับความสำเร็จที่มีติดต่อกัน เมื่อถูกถามถึงความกัดดัน เล็กตอบว่า “ผมไม่ได้กดดันเลย ผมบอกกับตัวเองเสมอ รักษามาตรฐานตัวเองให้ได้ ผลิตผลงานเพลงที่มีคุณภาพ คำว่าคุณภาพคือ เนื้อหาไม่ได้หลุดกรอบ คนฟังเข้าใจ”

เขาค่อนข้างชัดเจนกับทิศทางของตัวเอง “เราไปแนวเล่าเรื่อง เล่าประสบการณ์ชีวิต มันก็คือเรื่องทั่วไปของคนนี่แหละ ที่เราจะหยิบขึ้นมาทำเป็นเพลง มันก็คือเพื่อชีวิต ชีวิตใครชีวิตมัน ฟังแล้วรู้สึกแบบไหน ตีความแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ผมเชื่อว่าเพลงผมทุกเพลง พี่ฟังแล้ว พี่จะรู้สึกแน่นอน ไม่มากก็น้อย”

ความฝันที่ยังไม่สิ้นสุด

“เป้าหมายใหญ่คือการเล่นคอนเสิร์ตใหญ่” เล็กตอบอย่างไม่ลังเล “ถ้าผมจัดคอนเสิร์ตใหญ่ พี่เรียกผมได้เลยว่าเป็นศิลปินใหญ่ เรียกผมได้เต็มปาก ผมจะเรียกตัวเองว่าศิลปินเต็มปาก”

“ตอนนี้ยังไม่เป็นศิลปินอีกเหรอ?”

“ยัง” เล็กตอบ “ผมคิดว่าผมเป็นแค่คนที่ถ่ายทอด เป็นนักร้อง สำหรับผม ศิลปินมันต้องร้องเพลงแล้วคนอื่นเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูดถึง แล้วก็มีเพลงดังหลายเพลง แล้วมาจัดคอนเสิร์ตรวมไว้ ผมรู้สึกว่านั่นน่ะ ศิลปิน”

มาตรฐานที่เล็กตั้งไว้กับตัวเองสูงมาก แม้ว่าเขาจะมีเพลงดังออกมาติดต่อกัน ยอดวิวรวมกันนับร้อยล้าน คนทั่วประเทศร้องเพลงเขาได้ แต่เขายังคิดว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นเรียกว่า ‘ศิลปิน’ ในความหมายที่แท้จริง

“อีกนานไหมกว่าจะได้เรียกตัวเองว่าศิลปินใหญ่?”

“ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกเยอะ ต้องรวบรวมเพลงอีกเยอะ ชีวิต อายุ ชั่วโมงบิน ประสบการณ์ เมื่อมันถึงเวลา มันจะมา ผมเชื่อแบบนั้น แต่เราต้องทำด้วยนะ”

‘เล็ก รัชเมศฐ์’ จากทะเลถึงเวที และโลกทั้งใบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว 

นี่คือปรัชญาของเล็กในการสร้างตัวเอง ไม่ใช่การรีบร้อน แต่เป็นการค่อย ๆ สะสมประสบการณ์ เรียนรู้ ปรับปรุง จนกระทั่งถึงวันที่เขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมจริง ๆ

เราเกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่า แล้วถ้าเขาต้องเจอช่วงเวลาที่จมดิ่งอีกครั้งหล่ะ เล็กตอบด้วยความสงบ “ถ้าวันนี้ผมไม่ดัง ผมจะกลับไปออกเรือ ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเสียดาย มันก็คือโชคชะตาในชีวิตที่เราต้องเจอ ผมเชื่อว่าเขาเขียนมาแล้ว”

“เหมือนที่เราเจอกันวันนี้ ถ้าดวงเราไม่ได้เจอกัน ก็ไม่ได้เจอนะ ผมเชื่อว่าทุกอย่างถูกเขียนมาหมดแล้ว ไม่มีเรื่องบังเอิญบนโลกใบนี้ แต่เราต้องทำด้วยนะ”

นอกจากความเชื่อมั่นในจังหวะเวลาและการลงมือทำ อีกสิ่งที่เล็กบอกว่าไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้จะผ่านการเปลี่ยนชื่อมาถึง 3 ครั้ง คือ ‘สันดาน’ 

“ผมก็เป็นแบบนี้ ที่เปลี่ยนมันก็แค่ชื่อ จะดังหรือไม่ดัง ผมก็เป็นแบบนี้”

จากวันที่ยืนอยู่บนเรือสู้แดดร้อนจัด จนถึงวันที่ยืนบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือ เรื่องราวของ ‘เล็ก รัชเมศฐ์’ คือหลักฐานอันงดงามที่สะท้อนว่า ความพยายามที่ซื่อสัตย์ จะพาเราไปถึงจังหวะนั้นเสมอ

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า 

ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน