24 พ.ย. 2568 | 19:16 น.

KEY
POINTS
“ผมเคยสัมภาษณ์ตอนอัลบั้มแรก มีคนถามว่ามองภาพอนาคตตัวเองไง ผมบอกไปเลยว่า ผมจะร้องเพลงจนกว่าจะไม่มีคนฟัง ตอนนั้นมั่นใจมากเลย”
‘หนึ่ง อภิวัฒน์ พงษ์วาท’ หรือที่คนรู้จักในนาม ‘หนึ่ง ETC’ เล่าถึงคำพูดของตัวเองในอดีตด้วยรอยยิ้มอมขมขื่น
“พอถึงจุด ๆ นึง มันจะไม่มีคนฟังจริง ๆ แล้วนะเว้ย ตอนนั้นเป็นจุดที่อันตรายมากในความคิด ผมเกือบดิ่งมากเลย”
นี่คือหนึ่งในเรื่องเล่าบนสายดนตรีของนักร้องนำวง ETC ที่เดินทางมาได้ 25 ปี ผ่านความสำเร็จ ความล้มเหลว และเกือบจะยอมแพ้ แต่สุดท้ายกลับค้นพบว่าดนตรีคือสิ่งที่ยึดโยงพวกเขาไว้ตลอดมา
ความทรงจำแรกเกี่ยวกับดนตรีของหนึ่งเริ่มต้นจากการนั่งแกะเพลง ‘คาราบาว’ จากเทปคาสเซ็ท ใช้ดินสอกรอเพื่อฟังซ้ำ แต่จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการได้ดูคอนเสิร์ต ‘ไมเคิล แจ๊กสัน’ ที่มาแสดงที่ประเทศไทย
"เราได้เห็นเอนเนอร์จี้ของไมเคิล ได้เห็นเสน่ห์ของเขา ทั้งร้องทั้งเต้น เรารู้สึกว่าโอ้โห นี่คือพระเจ้าทางด้านดนตรีเลย พลังทุกอย่างมันส่งมาถึงเราเลย มันปะทะกับหัวใจเรา ปะทะกับความรู้สึกทุกอย่างที่มันอยู่ในดีเอ็นเอเรา”
แม้จะรักดนตรี แต่ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขารู้เลยว่าตัวเองเตรียมตัวได้ไม่ดีนัก สอบไม่ติดด้านดนตรีแน่นอน สุดท้ายเขาสอบติดสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ความรักในดนตรีไม่ได้หายไป กลางคืนก็ไปตระเวนร้องเพลงในผับ ได้เล่นเพลงหลากหลายทั้ง Soul, R&B และ Funky
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อได้รู้จัก ‘โซ่’ มือคีย์บอร์ดของวง ETC ซึ่งมาแสดงที่ร้านริเวอร์ไซด์ทุกวันอาทิตย์ หนึ่งไปขอแจมเล่นกลองด้วยทุกครั้ง ค่าตอบแทนตอนนั้นคือ 150 บาทต่อชั่วโมง แบ่งกัน 3 คน
สุดท้ายโซ่จึงชวนเขาเข้าวง “ผมบอกพี่โซ่ว่าถ้าชวนไปเป็นนักร้องนำ ไม่ไปนะ แต่ถ้าชวนไปตีกลอง ผมจะไป” ตอนนั้นเขายังไม่เห็นภาพตัวเองเป็นนักร้องนำเลย
การเป็นนักร้องนำเกิดขึ้นหลังจาก ‘เดียร์’ นักร้องนำคนเดิมของวง ต้องไปทำวง ‘Acappella 7’ หนึ่งจึงกลายเป็นทั้งมือกลองและนักร้องนำไปพร้อมกัน
หลังจากนั้น ETC ได้รับโอกาสทำอัลบั้มกับแกรมมี่ แต่อัลบั้มแรกยังไม่ปังเท่าที่ควร เพลง ‘เจ้าชายนิทรา’ ติดอันดับหนึ่งของชาร์ตอินดี้ไม่ถึงเดือน และที่แย่กว่านั้น “งานจ้างทั้งปีมีแค่หนึ่งงาน”
ช่วงนั้น ETC อยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่อย่าง ‘เจนนิเฟอร์ คิ้ม’ และ ‘โก้ มิสเตอร์แซกแมน’ ที่ให้โอกาสไปเล่นเป็นวง backup
ช่วงนั้นวงการเพลงมีศิลปินเกิดใหม่มากมาย ค่ายเลยสกรีนเพลงอย่างเข้มงวด และเพลง ‘เปลี่ยน’ ของพวกเขาก็ไม่ผ่านสักที
“คือเราส่งไปเพลงเดียว ก็จะมีคอมเมนต์ประมาณว่า อยากปรับเนื้อหน่อย อยากปรับดนตรีหน่อย เข้าประชุมทุกเดือน แล้วก็แก้ทุกเดือน”
กระบวนการนี้ดำเนินไปเกือบปี จนพวกเขารู้สึกว่าไม่มีโอกาสได้ออกอัลบั้มอีกแล้ว พวกเขาจึงขอยกเลิกสัญญา โชคดีที่ค่ายอนุโลมให้ จึงย้ายไปอยู่ KPN
ชื่อเพลง ‘เปลี่ยน’ จึงมีความหมายมากกว่าเนื้อเพลง “เปลี่ยนจริง ๆ เปลี่ยนชีวิตเราด้วย เปลี่ยนค่ายด้วย”
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะแก้เพลงมาเกือบร้อยเวอร์ชัน สุดท้ายพวกเขากลับเลือกใช้เวอร์ชันแรกที่ยังไม่ได้แก้อะไรเลย
“เรารู้สึกว่าเราชอบมาก มันมีความเป็น ETC ในแบบที่เรา develop ขึ้นมาจากอัลบั้มแรก มันอาจจะไม่ได้เป็นบุคลิกของคนที่คิดมาดีแล้ว พูดออกมาแล้วคมทุกบรรทัดเลย แต่ผมรู้สึกว่ามันจริงใจดี มันเหมือนคนที่อกหัก ไม่อยากจะระบายออกไป ตรงนี้แหละมันเป็น character อีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่มีใครพูดในตอนนั้น”
วันนี้เขาจึงรู้สึกขอบคุณการถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวันวาน “พอโตขึ้นมาเราก็ขอบคุณนะ มันทำให้เราได้ดิ้นรนหาทาง ทำให้เราเติบโตจากข้อจำกัดอันนั้น”
หลังจากปล่อยเพลง ‘เปลี่ยน’ ทุกอย่างก็เปลี่ยนจริง ๆ “อัลบั้ม 2 ก็เริ่มมีงานแล้ว มีงานเต็มเลยครับ ตรึมเลย” หลังจากนั้นพวกเขาก็ตอกย้ำความสำเร็จด้วยเพลง ‘เธอคือใคร’ ที่พา ETC ก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป
แม้จะประสบความสำเร็จ แต่การเป็นศิลปินก็มีขึ้นมีลง มีช่วงหนึ่งที่หนึ่งยอมรับว่าเขาเองก็เกือบจะยอมแพ้เหมือนกัน
คำพูดของตัวเองในวัยรุ่นกลับมาหลอกหลอนเขา “ผมเคยบอกว่า ผมจะร้องเพลงจนกว่าจะไม่มีคนฟัง ตอนนั้นมั่นใจมากเลย แต่ศิลปินมันก็มีขึ้นมีลง มาถึงจุดๆ หนึ่ง มันมีช่วงหนึ่งที่ความคิดนั้นมันเข้ามากระแทก เฮ้ย ตอนนี้มันเหมือนจะไม่มีคนฟังเลย”
ช่วงที่บางเพลงไม่ดัง ช่วงที่เงียบ ๆ ไป ช่วงที่แผ่วไป ความคิดนั้นก็แวบเข้ามา “ในใจมันแบบ เชี่ย! อย่างงี้เลยวะ เฮ้ย มันถึงจุดที่จะไม่มีคนฟังจริง ๆ แล้วนะเว้ย ตอนนั้นเป็นจุดที่อันตรายมากในความคิด ผมเกือบดิ่งมากเลย”
แต่ในที่สุดพวกเขาก็หาที่หาทางให้ตัวเองเจออีกครั้ง…
ด้วยประสบการณ์ที่เคยเป็น backup ศิลปินมาก่อน พวกเขาจึงตัดสินใจทำรายการยูทูบ ‘ETC ชวนมาแจม’ ชวนศิลปินมาแจมแล้วเรียบเรียงเพลงใหม่ในสไตล์ของตัวเอง
“พอได้ทำแล้ว มันก็ได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อย ๆ เรารู้สึกว่า เฮ้ย ตรงนี้แหละเป็นสิ่งที่มันดึง passion เรากลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
รายการนี้ทำให้พวกเขากลับมาใช้เวลาในห้องซ้อมด้วยกันเยอะขึ้น ได้เจอกันเยอะขึ้น กลับมารู้สึกเหมือนเป็นวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่ง “พอได้ซ้อมประจำ มันทำให้เราได้ยินตัวเองเยอะขึ้น ได้ develop อะไรที่มันเคยอ่อนแอให้แข็งแรงขึ้น”
เหนือสิ่งอื่นใด ยังได้เจอศิลปินใหม่ ๆ ได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย
จากวันแรกที่เข้าวง จนถึงวันนี้ผ่านมา 25 ปี หนึ่งบอกว่าไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนี้
“เริ่มแรกที่ผมตัดสินใจมาอยู่กับ ETC เพราะว่าอยากเล่นดนตรีกับเพื่อน ตอนนั้นก็อาจจะยังไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะออกอัลบั้มกัน เริ่มแรกก็คืออยากไปเล่นดนตรีในผับ ได้เล่นเพลงที่ตัวเองชอบ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 25 ปี”
สิ่งที่ยึดพวกเขาไว้คือ passion ที่ตรงกัน passion ของการที่ได้เล่นดนตรี การได้ทำดนตรีในแบบที่ตัวเองชอบ
แน่นอนว่าการเดินทางของพวกเขาไม่ได้ราบรื่นตลอดเส้นทาง มีทั้งช่วงพีคของความเป็นวัยรุ่น ช่วงพีคของอีโก้ ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหองระแหง “แต่มันก็ผ่านมาได้หมดเลย เพราะมีดนตรีมาเชื่อมพวกเราไว้ในทุก ๆ เหตุการณ์เลย”
ขณะที่การทำงานร่วมกันในปัจจุบันนับวันก็มีแต่เรื่องราวดี ๆ “การทำเพลงในวันที่เราเติบโตมากขึ้น มันมีความสนุกมากขึ้น มีความเข้าใจกันมากขึ้น พอเราผ่านประสบการณ์มาเยอะ ๆ เวลาทำเพลงครั้งนึง มันจะตกผลึก รู้สึกลงตัวขึ้น”
นอกจากจะเป็นนักร้อง หนึ่งยังได้รับบทบาทใหม่เป็นผู้บริหารค่ายเพลง ‘247 Entertainment’ ปรัชญาในการดูแลศิลปินของเขาคือการให้ความสำคัญกับ ‘ทักษะ’
“ผมก็อยากให้เขาได้เทรน มีส่งไปเรียนร้องเพลง ส่งไปเรียน performance อยากจะให้น้องทุกคนที่อยู่ในค่ายได้มีทักษะติดตัว ผ่านไป 2-3 ปี สมมติมีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว อาจจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ แต่ว่าสิ่งที่ได้ติดตัวไปก็คือทักษะที่เพิ่มขึ้น”
สำหรับคำแนะนำแก่ศิลปินรุ่นใหม่ เขาบอกว่า ทุกวันนี้ ‘ความครบเครื่อง’ กลายเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ ร้องได้ต้องเต้นได้ เต้นได้ยังต้องทำคอนเทนต์ได้ด้วย
“สิ่งที่อยากแนะนำที่สุด ในโลกเต็มไปด้วย content creator นั่นก็คือ character ของคุณที่มันไม่เหมือนใคร การเล่าเรื่อง การสื่อสารที่แตกต่างจากคนอื่น ถ้าฝึกการเขียนเนื้อเพลง หรือว่าการเล่าเรื่องในแบบของตัวเองด้วย มันจะเป็นอะไรที่ทำให้คุณโดดเด่นขึ้นมา”
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หนึ่งได้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง เขาเองก็มีช่วงที่ burn out หลายช่วง แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาคือการเริ่มดูแลสุขภาพ
“ผมเคยคิดว่าเราจะต้องทำเพลงอย่างเดียว แต่พอมันทำอยู่อย่างเดียว มันเหมือนร่างกายเครียดเกินไป เหมือนเราไม่ balance”
“ผมก็เลยดูแลตัวเองเยอะขึ้น ผมนอนเร็วขึ้น ผมออกกำลังกายเยอะขึ้น ใช้เวลากับครอบครัวเยอะขึ้น แบ่งเวลาให้ครอบครัว ไม่หมกมุ่นเกินไป balance แล้วมันดีขึ้นจริง ๆ ทุกวันนี้ก็วิ่งตลอด วิ่งทุกวัน ชีวิตก็ดีขึ้น ความคิดโปร่งใสขึ้น ความคิด negative มันก็น้อยลง”
เขายอมรับว่าเคยทำเพลงชนิดหามรุ่งหามค่ำ บางวันทำถึงเช้า ตื่นบ่าย “มันได้เพลงก็จริง แต่ชีวิตมันพัง ต้องแลกกัน แต่ว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่ากับระยะยาว ช่วงหลัง ๆ มาก็เปลี่ยนเป็นตื่นมาทำเพลงตอนเช้า แล้วก็หลับเร็ว ๆ”
สำหรับคนที่กำลัง burn out หรือท้อแท้ เขามีคำแนะนำว่า “ให้ย้อนกลับไปวันแรกที่เราอยากจะทำงานนี้ จำให้ได้ว่าเราอยากทำมันเพราะอะไร” และขณะเดียวกันก็ต้อง “ดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย”
จากเด็กหนุ่มที่นั่งแกะเพลงด้วยเทปคาสเซ็ท สู่นักร้องที่เคยประกาศว่า จะร้องเพลงจนกว่าจะไม่มีคนฟัง เขาเกือบจะยอมแพ้เมื่อวันนั้นมาถึงจริง แต่สุดท้ายกลับค้นพบว่า ดนตรีคือสิ่งที่ยึดเขาไว้เสมอมา
25 ปีของ ETC ไม่ใช่แค่เรื่องราวของความสำเร็จ แต่เป็นเรื่องราวของการเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง การ balance ชีวิต และการไม่ยอมแพ้กับ passion ที่แท้จริง
“มันอาจจะฟังดู cliche แต่พอได้ balance แล้ว มันดีขึ้น ๆ” หนึ่งกล่าวทิ้งท้าย ด้วยรอยยิ้มของคนที่เคยเผชิญความมืด แต่กลับมายืนใต้แสงไฟอีกครั้ง
และครั้งนี้ เขารู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ไฟนั้นไม่มืดอีก
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม