05 ส.ค. 2568 | 17:00 น.
คุณเกิดมาเพื่ออะไร?
แม้จะเป็นคำถามคลาสสิกที่ชวนให้เบื่อหน่ายเพราะความคลีเช่ (cliché) เหลือทน ทว่าก็ยังดำรงอยู่ได้ผ่านกาลเวลา บางทีเพราะมันเปิดทางให้ผู้คนได้สำรวจเป้าหมายที่ฝังลึกอยู่ในใจ เข้าใจความหมายของชีวิตในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น — ซึ่งเป็นแง่มุมที่จะสอดรับกับเนื้อหาของบทความนี้ — มันคือทำให้ผู้คนหยั่งรากลึกในตนเอง และยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่หวั่นไหว
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่แล้ว ‘คนุต ฮัมซุน’ (Knut Hamsun ; 1859-1952) นักเขียนชาวนอร์เวย์ที่ตีพิมพ์ผลงานอย่าง Hunger (1890) Mysteries (1892) และ Pan (1894) ได้คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1920 จากการเขียนนวนิยายที่ตีแผ่เรื่องราวอันสุดแสนธรรมดาของชีวิตคนในพื้นที่ชนบทและกันดารของนอร์เวย์ในชื่อ ‘Growth of the Soil’
คนุต ฮัมซุน (Knut Hamsun)
‘Growth of the Soil’ (Markens Grøde) คือนวนิยายที่ฮัมซุนเขียนขึ้นและเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1917 (โดยมีชื่อภาษาไทยว่า ‘งอกงามจากผืนดิน’ ในฉบับที่แปลโดย ‘ปิยะภา’ และพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ ในปี 2017) ว่าด้วยเรื่องราวการตั้งรกรากและสร้างตัวของชายหนุ่มชาวนอร์เวย์นามว่า ‘ไอแซค’ (Isak ; หรือในบ้างก็ออกเสียงว่า ‘อิซัค’) ที่ตัดสินใจก้าวเดินเข้าไปสร้างชีวิตในป่าห่างไกลจากความเจริญของบ้านเมือง
ตลอดเรื่องผู้อ่านจะได้เห็นพัฒนาการของชีวิตและความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่กระท่อมหลังแรก การเติบโตของครอบครัว ไปจนถึงความเจริญของเมืองที่ค่อย ๆ แผ่ขยายมาถึงพื้นที่ป่า ที่จะมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงมากมายที่จะทั้งสะท้อนภาพผลกระทบของความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) และสำนึกของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
ความงดงามของ Growth of the Soil คือการเล่าเรื่องราวที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจนชวนให้เรานึกถึงปรัชญาสโตอิก ไปจนถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม ระบบทุนนิยม หรือวัฒนธรรมแบบสมัยใหม่ ที่กระเด็นกระดอนออกมาถึงพื้นที่ชนบทที่เราได้กล่าวถึงไปทีแรก — ผู้อ่านจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างผ่านสถานที่แห่งเดิมที่เริ่มต้นจากทุ่งมัวร์ (moor) ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติ สู่บ้านของผู้คนที่ค่อย ๆ ขยับเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ไปจนถึงสายโทรเลขที่ตัดผ่านเข้ามา
อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับวงคลาสสิกร็อกนามว่า ‘Dire Straits’ ในการสรรค์สร้างบทเพลงมาสเตอร์พีซยาว 14 นาทีที่เล่าถึงพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์ผ่านถนนเส้นหนึ่งในชื่อ ‘Telegraph Road’ ในปี 1982 อีกด้วย
ในบทความนี้จึงอยากจะชวนผู้อ่านไปสำรวจความวิเศษของวรรณกรรมเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่ทำไมมันถึงพาให้ฮัมซุนคว้ารางวัลโนเบล แต่รวมไปถึงคำถามที่ว่าสิ่งที่ถูกตีแผ่ใน Growth of the Soil ถึงเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามารถงอกงามข้ามศตวรรษมาได้ อีกทั้งเรื่องราวทั้งหมดนี้อาจช่วยให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของคำถามว่า “เราเกิดมาเพื่ออะไร?”
เพราะหากคำถาม “เราเกิดมาเพื่ออะไร” ชวนเราแหงนมองฟ้า นวนิยาย Growth of the Soil จะพาเรามองดิน ดินที่แข็ง ดินที่รกร้าง ดินที่ต้องไถถางด้วยมือเปล่า และดินที่หากลงแรงมากพอ มันก็อาจตอบแทนด้วยชีวิตที่มั่นคงกลับคืนมา เป็นเรื่องราวของการลงหลักปักฐานผ่านน้ำพักน้ำแรง ไม่ใช่การตามหาความหมายด้วยความเพ้อฝัน แต่เป็นการสร้างมันขึ้นมาทีละก้าว ทีละก้าว บนพื้นดินตรงหน้า
“ถนนสายยาวเหยียดตัดข้ามทุ่งมัวร์
แล้วทอดไกลเข้าไปในป่า…”
องค์ประกอบสำคัญที่ทั้งทำหน้าที่เป็นรากฐานของเรื่องและรสชาติสำคัญที่ประกอบสร้างความเป็นเรื่องราวที่สามารถงอกงามผ่านศตวรรษให้กับ Growth of the Soil คือพัฒนาการก่อร่างถางพรวนเส้นทางของป่ารกทึบให้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปรกลายเป็นทางเดินทางเดินแนวยาว ที่จะขยายใหญ่ เรียบเนียน และแข็งแกร่งพอที่จะกลายเป็นถนนไว้สัญจรในอนาคต
ที่กล่าวมานั้นไม่ได้หมายความเพียงแค่หนทางสู่เซลลานราที่ไอแซคได้ถางมันขึ้นไปด้วยตัวคนเดียวดังที่ได้ถูกบรรยายเอาไว้ในย่อหน้าแรกของนวนิยายเพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพัฒนาการของตัวบุคคล ครอบครัว หรือชุมชนที่ค่อย ๆ เติบโตและงอกงามออกมาแทนที่เหล่าพืชพันธุ์รกชัฏที่เคยครอบครองอาณาบริเวณเหล่านี้
เรื่องราวการก่อร่างสร้างตัวของไอแซคที่เริ่มต้นเพียงตัวคนเดียวกับแขนสองข้างที่พระเจ้ามอบให้สะท้อนให้เราเห็นถึงศักยภาพของมนุษย์สักคนที่จะสามารถสร้างอะไรสักอย่างตั้งแต่บ้านไม้ถึงอารยธรรมมนุษย์จากผืนดินขึ้นมาได้ — สิ่งนี้ทำให้เราหวนคิดถึงตำแหน่งแห่งที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่บ้านที่เราเอนกายอย่างสบายใจอยู่นั้น แต่เดิมอาจเป็นผืนป่าที่ไม่เคยมีใครมาเยือนเหยียบ
เรียกได้ว่าในภาคหนึ่งของหนังสือจะเป็นเรื่องราวการก่อร่างสร้างตัวของไอแซค รวมถึงพัฒนาการของอารยธรรมโดยรอบที่เดิมเป็นผืนป่ารกร้างที่มีเพียงชาวแลปป์เดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว ก่อนที่จะพัฒนากลายเป็นชุมชนที่มีทั้งแนวเสาโทรเลขตั้งยาวตัดผ่านไปจนถึงกองทัพแรงงานที่เดินทางขึ้นมาขุดเหมืองดังที่เราได้เห็นกันในภาคหลังของหนังสือ
แม้จะไม่ได้มีจังหวะของเรื่องราวที่สีสันฉูดฉาดมากนัก แต่การเดินทางของไอแซคก็ไม่ต่างอะไรกับโครงเรื่องแบบ ‘Zero to Hero’ ที่ตัวละครเอกค่อย ๆ เก็บเกี่ยว ทำงาน เพื่อสั่งสมทรัพยากรจนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะเส้นเรื่องของไอแซคเป็นเช่นนั้น แต่ระหว่างทางการเล่าเรื่องราวที่ว่านั้น คนุต ฮัมซุน ได้ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
Growth of the Soil เชื้อเชิญเราไปชมกับวิถีการดิ้นรนเพื่อดำรงอยู่และพยายามก่อร่างสร้างชีวิตและครอบครัวของไอแซคผ่านการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ แต่ไอแซคก็สามารถก้าวข้ามผ่านมันมาได้ผ่านความซื่อสัตย์ต่อการทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เขาวางเอาไว้ ซึ่งก็คือสร้างชีวิตจากผืนดินที่เขาลงหลักปักฐาน
‘บรีด โอลเซน’ (Brede Olsen) เจ้าของพื้นที่อย่าง ‘ไบรดาบลิก’ (Breidablik) ครอบครัวที่มาอยู่ภายหลังจากไอแซค ซึ่งสะท้อนด้านตรงข้ามจากไอแซคผู้ดูแลเซลลานรา ที่เขาไม่สามารถดูแลพืชพันธุ์และบรรดาปศุสัตว์ได้ อันเป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างเซลลานราได้ ชี้ให้เราเห็นว่า ธรรมชาติไม่ได้ตอบแทนทุกคนที่มาลงหลักปักฐานอย่างเท่าเทียม แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาเหล่านั้นลงแรงและให้ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผืนดินของเขามากน้อยเพียงไหน
เราจึงจะได้เห็นการเดินทางและสร้างตัวของเขา ไปจนถึงการเข้ามาของตัวละครต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสัมพันธ์กับเขาโดยเฉพาะ ‘อิงเยอร์’ (Inger) ภรรยาที่มีภาวะปากแหว่ง (Harelip) ที่ตัดสินใจเดินทางจากหมู่บ้านเพื่อมาร่วมหัวจมท้ายกับชายผู้นี้ ค่อย ๆ เห็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวอย่าง ‘เอลิซุส’ (Eleseus) และ ‘ซีเวิร์ต’ (Sivert) เพิ่มเข้ามา รวมถึงจำนวนแพะและแกะในฟาร์มอีกด้วย ไปจนถึงการเข้ามาของ ‘ไกซ์เลอร์’ (Geissler) อดีตเลนด์มานด์ที่คอยแวะเวียนมาช่วยเหลือเรื่อยไป ทั้งหมด…
หนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในภาคแรกนี้คือการกระทำของอิงเยอร์ที่ตัดสินใจปลิดชีวิตทารกซึ่งเกิดมาพิการปากแหว่ง ที่ทำหน้าที่เป็นรอยแยกสำคัญที่เผยให้เห็นการปะทะกันระหว่างความเข้าใจแบบดั้งเดิมของชีวิตกับศีลธรรมสมัยใหม่ที่เริ่มแผ่ขยายเข้ามา การกระทำของเธออาจดูโหดร้าย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็สะท้อนถึงความจำเป็น ความอับจนทางสังคม และเงื่อนไขของชีวิตในชนบทที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะเธอไม่ต้องการให้ลูกของเธอต้องเผชิญกับแรงกดดันแบบที่เธอเผชิญ
เมื่อความผิดนั้นถูกเปิดเผย อิงเยอร์จึงต้องรับโทษและถูกส่งตัวเข้าเมืองเพื่อรับการ ‘ปรับเปลี่ยน’ ให้กลายเป็นพลเมืองในแบบแผนใหม่ของรัฐ การเดินทางของเธอจึงไม่ใช่เพียงแค่จากบ้านไปยังเมือง แต่คือการเดินทางจากโลกเก่าที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจของธรรมชาติ ไปสู่โลกใหม่ที่เชื่อมั่นในกฎหมาย ศีลธรรม และการควบคุมชีวิตด้วยอุดมคติที่ถูกนิยามโดยผู้มีอำนาจในสังคม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเธอจะสะท้อนแก่นสำคัญของเรื่องในส่วนถัดไป
ในฝั่งของไอแซค ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เราได้เห็นวิถีชีวิต เข้าใจตัวละคร เห็นความมุมานะในการสร้างชีวิต การทำงานร่วมกับธรรมชาติ อันเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตแบบชนบท ก่อนที่เราจะค่อย ๆ เห็นการคืบคลานเข้ามาของรัฐและกฎหมายที่ทำให้ไอแซคต้องใช้เงินเพื่อซื้อพื้นที่ที่เขาลงหลักปักฐานด้วยตนเอง แต่ทั้งหมดทั้งมวล ภาคแรกของหนังสือ ฮัมซุนชี้ให้เราเห็นถึงความงดงามของ ‘การหวนคืนสู่ธรรมชาติ’ จากความศิวิไลซ์ของโลกสมัยใหม่
หากมองจากสายตาของ ‘ปรัชญาสโตอิก’ (Stoicism) เราอาจมองได้ว่าไอแซคคือภาพแทนของผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติและเหตุผลภายใน ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากหรือความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก เขาไม่หวั่นไหว ไม่บ่นโทษโชคชะตา แต่กลับยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาต้องเผชิญ พร้อมทั้งตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่เขาควบคุมได้ สองแขนและแรงงานของตัวเอง แนวคิดเหล่านี้คือหัวใจของสโตอิก ที่เชื่อในพลังของความสงบภายใน ท่ามกลางโลกภายนอกที่ไม่แน่นอน
“ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพราะดิน ผมมีชีวิตคนและสัตว์มากมายที่ต้องดูแลให้อยู่รอด และผืนดินนี่แหละที่ช่วยให้เราอยู่รอดได้ นี่คือวิถีชีวิตของเรา”
— ไอแซค
‘การปะทะ’ (Clash) หรือ ‘การแบ่งแยก’ (Divide) ทางความเป็นอยู่และแนวคิดจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีและความเป็นสมัยใหม่ที่ค่อย ๆ คืบคลานจากเมืองเข้าสู่ป่านับว่าเป็นอีกแก่นสำคัญที่ถูกตีแผ่อย่างเข้มข้นใน Growth of the Soil ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างในมิติของความต้องการ หรือแม้แต่ความไม่แน่ไม่นอนในแบบฉบับของระบบทุนนิยมที่สะท้อนให้เราเห็นถึงความแตกต่างจากความไม่แน่นอนของธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง
เป้าหมายขอการดำรงอยู่ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน จากเดิมที่ไอแซคเดินเท้าเข้ามาอยู่ในป่าเพียงคนเดียว สิ่งเดียวที่เขาคำนึงถึงคือการมีอาหารประทังชีวิตและมีทรัพยากรมาก่อร่างสร้างชีวิตให้งอกงามเพิ่มขึ้นไป ทว่าเมื่อความเป็นสมัยใหม่และความเป็นเมืองเริ่มคืบคลานเข้ามา การอยู่รอดในป่าดงพงไพรอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นการขุดเหมืองทองแดง การค้าขายเพื่อกำไรที่เข้มข้นขึ้นดังที่สะท้อนผ่านร้านสะดวกซื้อที่มาตั้งขึ้นใหม่ หรือแม้แต่งานดูแลเสาโทรเลขที่วิศวกรเสนอให้กับไอแซค (ที่ตัวเขาได้ปฏิเสธไป) ก็ล้วนเป็นภาพแทนของอิทธิพลของระบบทุนนิยมที่มีต่อสังคมทั้งสิ้น — ทรัพยากรไม่ได้ถูกใช้เพื่อจุนเจือการดำรงอยู่เพียงเท่านั้นอีกต่อไป แต่เพื่อผลิตกำไรสูงสุดด้วย
ณ จุดนี้เราจะได้เห็นถึงสถาบันของความเป็นเมืองที่แตกต่างจากความเป็นไปของเซลลานรา ไม่ว่าจะเป็นแรงจูงใจตามระบบทุนนิยมหรือกรอบการมองโลกแบบ ‘อรรถประโยชน์นิยม’ (Utilitarianism) จากทั้งนายทุนชาวสวิสและผู้คนจากเมืองใหญ่ก็ทำให้เราเห็นถึงบริบทที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปของนอร์เวย์ในยุคดังกล่าว — ทว่าไอแซคของเราหาได้เปลี่ยนตาม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะนำเงินที่มากมายมหาศาลที่ได้จากการขายพื้นที่บางส่วนให้กับนายทุนขุดเหมืองไปทำอะไร
แต่แม้ว่าครรลองทั้งสองนี้ — ธรรมชาติและทุนนิยม — จะมีความไม่แน่นอนเหมือนกัน แต่ความไม่แน่นอนในแบบของระบบทุนนิยมดูจะเลวร้ายกว่าหลายเท่าตัว เพราะดังที่เราเห็นว่ามันสามารถพาทรัพย์สินและความมั่งคั่งมหาศาลมาให้กับคนที่สามารถช่วงชิงมันทัน เช่นทำเลในการขุดเหมืองทองแดง แต่ถึงคราวที่สถานการณ์เปลี่ยน ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถขุดเหมืองได้ต่อ ความมั่งคั่งเหล่านั้นก็ปลาสนาการไปอย่างไร้วี่แวว ส่งผลให้ผู้คนตกงานกันระนาว โดยไร้ซึ่งวี่แววว่าจะหวนคืนกลับมาเมื่อไหร่
‘อารอนเซน’ (Aronsen) ผู้ที่อุตส่าห์ลงทุนเปิดร้านขายของชำที่กะมากอบโกยกำไรจากโอกาสทองในครั้งนี้ ก็ต้องเจ๊งด้วยความเงียบเหงาไปตาม ๆ กัน แตกต่างจากไอแซคที่แม้จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ แต่เขาก็มั่นใจอย่างชัดเจนแน่ ว่าเมื่อใดที่ผืนดินปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว สักวันหนึ่ง ไออุ่นของแดดจะกลับคืนมาอีกครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่ระบบทุนนิยมและการปฏิวัติอุตสาหกรรมสร้างผลกระทบกับสังคมเมืองคือการสร้าง ‘สภาวะแปลกแยก’ (Alienation) ของบรรดาคนงานจากการทำงานที่แบ่งตามความชำนาญ (Specialization) ตามระบบอุตสาหกรรม สิ่งนี้ไม่เพียงแค่จะลดทอนความหมายของการทำงานแบบบูรณาการแบบไอแซคให้เหลือเพียงการทำงานแลกเงิน แต่ยังทำให้ผู้คนไม่เห็นการเกื้อกูลระหว่างเพื่อนมนุษย์อีกด้วย (คุณคงไม่จำเป็นต้องไปขอแรงเพื่อนบ้านมาสร้างบ้าน เพราะสิ่งที่คุณต้องทำคือก้มหน้าทำงานของคุณไป หรือการที่คุณสามารถเดินไปซื้อเนื้อสัตว์หรือขนมปังจากร้านค้าอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งพาการแลกกันระหว่างเพื่อนบ้าน ความง่ายที่ว่านี้ทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไม่มากก็น้อย)
แม้จะไม่ได้ถูกบอกเล่ามาแบบตรง ๆ แต่สำนึกพื้นฐานแบบความเป็นสมัยใหม่นี้ก็สะท้อนผ่านตัวละครที่ได้ถูกหล่อหลอมความคิดจากเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอิงเยอร์ เอลิซุส หรือ ‘บาโบร’ (Barbro) ลูกสาวของบรีด โอลเซน ทั้งหมดล้วนรับเอาแนวคิดของความเป็นเมืองเข้ามาจนทำให้พวกเขามองสรรพสิ่งแตกต่างออกไปจากคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าแบบไอแซคอย่างสมบูรณ์ ดังที่ความรู้สึกของไอแซคถูกบรรยายผ่านถ้อยคำในหนังสือว่า
“... ผืนดินเลี้ยงชีวิตเขาไว้ได้ ถ้าเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน บางทีโลกอันยิ่งใหญ่นั่นอาจมีผลกระทบแม้กระทั่งกับเขา โลกที่มีแต่ความสนุกสนาน ไวิกิริยามารยาทและวลีที่สวยหรูมากมาย เขาคงซื้อข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไร้ประโยชน์ และสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงสำหรับวันอาทิตย์ในวันธรรมดา ที่นี่ในป่าดงพงไพร เขาได้รับการปกป้องพ้นจากความเกินพอดีทั้งหลายทั้งปวง เขาใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ล้างหน้าล้างตาตอนเช้าวันอาทิตย์ และอาบน้ำเวลาเขาขึ้นไปยังทะเลสาบ…”
ไม่ใช่ว่าเงินตราหรือธรรมเนียมประเพณีของสังคมเป็นสิ่งเลวร้าย เพราะเราจะเห็นได้ว่ามันทำให้การค้าขายและการแลกเปลี่ยนสะดวกขึ้นเป็นทวีคูณ แถมยังช่วยจัดระเบียบสังคมให้เรียบร้อยและห่างไกลจากความป่าเถื่อน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสำนึกบางอย่างที่อาจทำให้ใครสักคนให้ค่าบางสิ่งเหนือความจำเป็นบางอย่างจนกลายเป็นความต้องการที่ฟุ่มเฟือย และลูกชายคนโตของไอแซคน่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
แม้ว่าจะเติบโตในเซลลานรา แต่เอลิซุสได้เข้าไปทำงานในหมู่บ้านและเมืองใหญ่จนได้ซึมซับวัฒนธรรมความเป็นสมัยใหม่มาอย่างเต็มใบ สังคมเมืองและความเป็นสมัยใหม่หล่อหลอมให้เขามีรสนิยมที่สูงส่งและถวิลหาสรรพสิ่งที่พ่อของเขาไม่เคยคิดฝันว่าจำเป็นต่อการดำรงอยู่เสียด้วยซ้ำไป เอลิซุสไม่อยากจะกลับเซลลานราเสียด้วยซ้ำ เพราะรายล้อมไปด้วยป่า ปราศจากความหวือหวาและทันสมัย สำนึกความเป็นวัตถุนิยมที่ถูกหล่อหลอมโดยสังคมเมืองของเขาถูกสะท้อนผ่านถ้อยคำหนึ่งขณะที่เขากำลังจะได้กลับเมือง หลังจากที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านพักหนึ่ง
“สังคมเมืองกำลังรอเขาอยู่พร้อมด้วยบัญชีเก่าที่ยังไม่ได้ชำระ และเมื่อจ่ายหนี้พวกนั้นหมดแล้ว เอ้อ! เขาก็ต้องมีไม้เท้าเดินเล่นดี ๆ สักอันสิ ไม่ใช่ซากก้านร่มที่เคยใช้ ต้องมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ด้วย มันสมเหตุสมผลอยู่แล้วนี่ อย่างหมวกแก๊ปขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวที่สหายของเขาทุกคนสวม รองเท้าสเกตสักคู่หนึ่งไว้ถไลบน้ำแข็งอย่างคนอื่น ๆ ไม้จิ้มฟันเงินเอาไว้ทำความสะอาดฟัน และไว้ถือเล่นอย่างบรรจงเวลาคุยกับเพื่อน…”
ความต้องการบางอย่างถูกสร้างขึ้นจากสังคมที่รายล้อม ค่านิยมบางอย่างถูกอุปโลกน์ขึ้นเสมือนว่ามันเป็นความต้องการพื้นฐานที่ใครสักคนที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องมี นี่คือความฟุ่มเฟือยที่เกิดขึ้นจากค่านิยมของความเป็นสมัยใหม่ เชื่อเลยว่าแม้แต่ไอแซคเองอาจไม่เคยเห็นไม้จิ้มฟันเงินหรือรองเท้าสเกตสักคู่เลยเสียด้วยซ้ำ
Growth of the Soil แม้จะพยายามเชิดชูความงดงานของวิถีชีวิตที่เคียงคู่กับธรรมชาติ แต่ฮัมซุนก็ไม่ได้พยายามให้ร้ายหรือวาดภาพความเป็นปีศาจ (demonize) ความเป็นสมัยใหม่ของนอร์เวย์ในยุคสมัยนั้น เพียงแต่เป็นการย้ำเตือนถึง ‘คุณค่าที่แท้จริง’ และ ‘ผลพวงที่ตามมา’ จากพัฒนาการทั้งในแง่ของเทคโนโลยีหรือแนวคิดของผู้คน เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งเดิมและที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้คน
สุดท้ายเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากทุ่งมัวร์ที่รกร้างสู่บ้านเมืองที่ค่อย ๆ งอกเงยขึ้นมาตามกาลเวลา ทอดยาวด้วยสายโทรเลข หากอ่านจากต้นจนจบเราจะได้เห็นภาพใหญ่ของการเดินทางของสถานที่แห่งหนึ่งที่เริ่มต้นจากที่รกร้างสู่ความเจริญของเมืองและความวุ่นวายที่ตามมา หากเปรียบเทียบย่อหน้าแรกของเรื่องกับย่อหน้าช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง (ดังที่จะปรากฎต่อไปนี้) เราจะเห็นความแตกต่างและเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
“ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผืนดินเองตอนนี้ก็ต่างจากเดิม ด้วยถนนสายยาวกว้างของโทรเลขที่ไม่เคยมีมาก่อนทอดผ่านป่า และหินถูกระเบิดตัดขาดตรงริมน้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วย พวกเขาไม่ได้ทักทายกันตอนผ่านไปมาอย่างสมัยก่อน ได้แต่พยักหน้า หรือไม่แม้แต่จะทำแค่นั้น”
“A long time ago came a man on a track
Walking thirty miles with a sack on his back
And he put down his load where he thought it was the best
He made a home in the wilderness...”
หกสิบห้าปีต่อมาภายหลังจาก Growth of the Soil ถูกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เรื่องราวจากปลายปากกาของ คนุต ฮัมซุน ก็หวนกลับมาอีกครั้ง ในฐานะแรงบันดาลใจสำคัญที่ก่อให้เกิดเป็นบทเพลงร็อกยาว 14 นาทีนามว่า ‘Telegraph Road’ ในอัลบั้ม Love Over Gold (1982) โดยคณะ ‘Dire Straits’ โดยมี ‘มาร์ก นอฟท์เลอร์’ (Mark Knopfler) นักร้องและมือกีตาร์ของวงเป็นผู้แต่งขึ้นมา
Love Over Gold (1982) by Dire Straits
สาเหตุที่ทำให้นอฟท์เลอร์ตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา เกิดขึ้นขณะที่เขากำลังเดินหน้าทัวร์ในสหรัฐอเมริกา โดย ณ ขณะนั้นรถบัสของวงกำลังแล่นผ่าน ‘ทางหลวงหมายเลข 24’ (Highway 24) ที่พาดผ่านรัฐมิชิแกนจากทิศเหนือไปทิศใต้ ซึ่งถนนเส้นที่ว่าก็มีอีกชื่อหนึ่งที่ผู้คนรู้จักกันในนาม ‘ถนนแห่งเสาโทรเลข’ หรือ ‘Telegraph Road’
เดิมทีถนนเส้นดังกล่าวนั้นเป็นเพียงถนนดินเล็ก ๆ สำหรับใช้ซ่อมบำรุงสายโทรเลขในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้า (ประมาณช่วงปี 1840–1860) โดยในยุคสมัยนั้นประชาชนทั่วไปแทบจะไม่มีเหตุผลในการใช้งาน เพราะยังไม่มีรถยนต์และถนนยังไม่เหมาะแก่การเดินทางไกล เมื่อระบบถนนพัฒนาและมีการใช้ยานพาหนะมากขึ้น ถนนเส้นดังกล่าวจึงถูกพัฒนาให้กว้างขึ้นและกลายเป็นถนนหลัก จนในปี 1919 ได้รับการกำหนดหมายเลขว่าเป็นทางหลวง M-10 ของรัฐมิชิแกน และในปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 24
แม้ในปัจจุบันนี้จะไม่มีเสาโทรเลขที่ตั้งอยู่เคียงข้างถนนเส้นดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้น ชื่อถนน Telegraph Road ยังคงอยู่ ในฐานะอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของการสื่อสารยุคแรกในสหรัฐอเมริกา
มาร์ก นอฟท์เลอร์ ที่กำลังนั่งรถบัสแถวหน้าผ่านถนนเส้นนั้นก็พลันนึกถึงจุดเริ่มต้นของถนนเส้นนี้ รวมไปถึงบ้านเรือนและความเจริญของมนุษย์โดยรอบ ทั้งเสาโทรเลขและถนนในปัจจุบันล้วนเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาแบบเส้นตรง (Linear Development) ที่มีถนนพาดยาวผ่านพื้นที่หนึ่ง โดยความเจริญก็จะค่อย ๆ เจริญลอยตามถนนเส้นนั้น
มาร์ก นอฟท์เลอร์ (Mark Knopfler)
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ในมือของเขาคือนวนิยาย Growth of the Soil โดย คนุต ฮัมซุน ที่เราได้กล่าวถึงกันไปก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้นอฟท์เลอร์มองย้อนไปลึกกว่าเดิมว่าจุดเริ่มต้นของถนนสายนี้มันมีหน้าตาเป็นแบบไหนกัน แล้วมันได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบแบบไหนบ้าง จึงได้เกิดเป็นเรื่องราวของถนนสายหนึ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในเพลง ๆ นี้ที่ใช้ชื่อเดียวกับถนนเส้นที่ว่า ‘Telegraph Road’
“ผมก็เริ่มคิดว่า ถนนเส้นนี้ตอนเริ่มต้นมันจะเป็นยังไงกันนะ ตอนที่ยังไม่มีอะไรเลย แล้วจากนั้นแหละ ทุกอย่างก็เริ่มต้น ผมแค่เอาหนังสือเล่มนั้นกับสถานที่ที่ผมอยู่มารวมกัน ตอนนั้นผมนั่งอยู่ด้านหน้าของรถทัวร์เลยนะ”
ความพิเศษของ Telegraph Road โดย Dire Straits ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรีเท่านั้น แต่เป็น ‘การเล่าเรื่อง’ (Storytelling) ผ่านทั้งทำนองดนตรีและเนื้อเพลงที่ มาร์ก นอฟท์เลอร์ เขียนมันขึ้นมาเองทั้งหมด เพลงนี้เริ่มต้นด้วยเสียงซินธิไซเซอร์คล้ายเสียงแว่วของการผิวปากในโทน G Minor เคล้าไปกับเสียงฟ้าร้องชวนให้นึกถึงปกอัลบั้มที่บรรจุบทเพลงนี้ไว้ที่แทร็คแรกสุด
เสียงดนตรีที่ว่าตามมาด้วยการบรรเลงเปียโนคู่กับกีตาร์เรโซเนเตอร์ และรายละเอียดทางดนตรีที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นกว่าสองนาที ให้ภาพเหมือนผู้ฟังกำลังย้อนเวลากลับไปในวันที่เราสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่ามันคือ ‘จุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง’ ก่อนที่เสียงของนอฟท์เลอร์จะพาเราเดินหน้าต่อจากจุดนั้น
เนื้อหาของ Telegraph Road ว่าด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่หอบหิ้วกระสอบหิ้วสัมภาระและเดินหน้าเข้าไปตั้งรกร้างในป่าเขาเพียงคนเดียว ภายหลังจากสร้างกระท่อมและรากฐานความเป็นอยู่ที่มากขึ้น ก็มีคนแวะเวียนผ่านมาเพิ่มอีก เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เดินต่อหรือแม้แต่ถอยหลังกลับไป เพราะเขาตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐานร่วมกับชายผู้นั้น
ตลอดบทเพลงเราจะได้เห็นการพัฒนาของอารยธรรมจากกระท่อมหลังเดียวก่อนจะพัฒนากลายเป็นชุมชน มีโบสถ์ มีกฎหมาย มีโรงเรียน ไปจนถึงเหมือง ที่มาพร้อมกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและความวุ่นวาย มาร์ก นอฟท์เลอร์ บรรยายผลพวงของการพัฒนาและการเข้ามาของอุตสาหกรรมผ่านการเปรียบเปรยไว้ได้อย่างน่าสนใจ
“And my radio says tonight it's gonna freeze
People driving home from the factories
There's six lanes of traffic
Three lanes moving slow”
แต่แม้ว่าการพัฒนาการทั้งหลายเหล่านี้จะมาพร้อมกับความวุ่นวาย แตกต่างจากความสงบในสมัยก่อน แต่ท้ายที่สุดบทเพลงนี้ก็ย้ำเตือนกับเราว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่วันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เป็นการปกป้องหัวใจ ยึดมั่นในรากของการใช้ชีวิต และเชื่อมั่นความสัมพันธ์และความรักระหว่างกันและกัน ที่จะสามารถพามวลมนุษย์ก้าวข้ามผ่านความพัฒนาและผลพวงของสิ่งเหล่านี้ไปได้
มาร์ก นอฟท์เลอร์ ได้หยิบเรื่องราวของ คนุต ฮัมซุน มาขยายต่อจนทำให้ผู้ฟังได้สัมผัสถึงภาพรวมในการก้าวเดินของอารยธรรมมนุษย์ ที่เริ่มต้นจากความเรียบง่ายก่อนจะขยับเข้าสู่ความวุ่นวาย และปัญหาใหม่ ๆ ที่อาจตามมา อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยจารึกเรื่องราวของ Growth of the Soil ให้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา…
หากใครอยากจะฟังเพลงที่ทั้งรายละเอียดทางดนตรีและทุกถ้อยคำของเนื้อร้องเต็มไปด้วยความหมายที่จะสะท้อนภาพของความเป็นมนุษย์ในห้วงเวลาหนึ่ง Telegraph Road โดย Dire Straits คือหนึ่งในมาสเตอร์พีซที่ผู้เขียนแนะนำยิ่ง
จากสายธารของการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าสิ่งอื่นจะเปลี่ยนไปเพียงใด ไอแซคยังคงเป็นชายคนเดิมผู้ยึดมั่นในการดำเนินชีวิตของตัวเองตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้าไปสร้างชีวิตใหม่ที่นั่นเพียงคนเดียว
แน่นอนว่า คนุต ฮัมซุน พยายามชวนให้เราเห็นแง่งามของการใช้ชีวิตแบบชนบทที่เรียบง่าย ปราศจากกิเลสที่ถูกสร้างขึ้นจากระบบทุนนิยมหรือแม้แต่บรรทัดฐานบางอย่างที่เกิดขึ้นจากความเป็นเมืองอันเป็นผลพวงของพัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริบทของโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน การจะบอกว่าอ่าน Growth of the Soil แล้วเราควรแบกเป้ไปสร้างกระท่อมอยู่ในป่านั้นดีกว่าอาศัยอยู่ในคอนโดเมืองหลวงก็ดูจะเป็นการสร้างความโรแมนติค (Romanticize) ให้กับวิถีชีวิตแบบนั้นมากเกินไป
ดังนั้น เมื่ออ่าน Growth of the Soil แล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปสร้างชีวิตให้ห่างไกลจากความเป็นเมือง หรือปฏิเสธทุกความเจริญก้าวหน้าเพื่อโอบกอดความดั้งเดิมเอาไว้ เฉกเช่นวิถีชีวิตของไอแซค เพราะสิ่งสำคัญที่เป็น ‘อมตะ’ มากกว่าในเรื่องราวของวรรณกรรมโนเบลเล่มนี้ เราจะเห็นได้ถึงหลักสำคัญในการใช้ชีวิตที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกช่วงเวลาหรือบริบทที่เปลี่ยนไป ซึ่งคือการ ‘ซื่อสัตย์’ และ ‘พอดี’ ในชีวิต
หนังสือเล่มนี้ชวนให้เราหวนกลับไปถามตัวเองว่าสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตคืออะไร และสิ่งใดบ้างที่จำเป็นในการบรรลุความต้องการเหล่านั้น? เมื่อได้ลองตอบคำถามที่ว่าแล้ว จะทำให้เราเห็นว่าสิ่งไหนที่เป็นรากฐานสำคัญให้เราสามารถยึดเกาะไปได้ตลอดการมีชีวิต โดยไม่ถูกกระแสธารของความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะจากความวุ่นวายผันผวนหรือผลพวงของระบบทุนนิยมพัดเหวี่ยงเราไปมาจนหลงทางเหมือนกับ ‘เอลีซุส’ ดังที่ท่อนหนึ่งของหนังสือได้บรรยายเอาไว้ว่า
“เด็กคนนั้นสูญเสียที่หยั่งราก ด้วยเหตุนั้นจึงได้ทุกข์ยาก สิ่งที่เขาหันหาในตอนนี้นำเขากลับสู่บางสิ่งที่เขาขาด บางสิ่งที่มืดดำตัดกับแสงสว่าง…”
เมื่อใครสักคนสามารถค้นพบคำตอบของการมีชีวิตและยึดมั่นต่อครรลองนั้น เขาก็จะหยั่งรากลงบนผืนดินโดยแข็งแรง ไม่สะทกสะท้านต่อความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามา และสามารถงอกงามจากผืนดินและเป็นตัวตนในแบบฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดตาม ‘คำตอบ’ ที่เขาเหล่านั้นค้นพบในวันแรกที่ลงหลักปักฐานบนผืนดินแห่งนั้น
อ้างอิง
FRR and P. (2021, September). The Telegraph Rd behind Dire Straits' “Telegraph Road”.