21 มิ.ย. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
สุ้มเสียงของวัฒนธรรมแอฟริกันถูกเปล่งดังขึ้นกระทั่งโลกได้ยิน เมื่อวันที่เสียงของพวกเขาได้รับการตีแผ่จากปลายปากกาของพวกเขาเอง
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนปลายศตวรรษที่ 20 วรรณกรรมจากแอฟริกันแทบจะกลายเป็นสิ่งที่โลกใบนี้ไม่รู้จัก หรือแม้แต่ชาวแอฟริกาก็ถูกมองว่าเป็น ‘โลกอื่น’ อันป่าเถื่อนจากสายตาผู้คน อาจเป็นเพราะวรรณกรรมที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกมาจากน้ำเสียงของชาวตะวันตกเสียส่วนใหญ่ แอฟริกาจึงถูกมองเป็นโลกที่ไม่รู้จัก และอุดมไปด้วยความป่าเถื่อนไร้ซึ่งอารยธรรมเฉกเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ
จนกระทั่งในปี 1958 ที่ ‘ชินัว อะเชเบ’ (Chinua Achebe, 1930-2013) นักเขียนชาวไนจีเรียได้ตีแผ่เรื่องราวของชนเผ่าอิกโบในไนจีเรียจนกลายเป็นนวนิยายที่ไม่เพียงกลายเป็นนวนิยายคลาสสิกที่ถูกนำมาสอนในชั้นเรียนมากมาย แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมแอฟริกาสู่โลกใบนี้ เพื่อให้ผู้คนเปลี่ยนภาพจำว่าแอฟริกาไม่ใช่ดินแดนป่าเถื่อนและไร้ซึ่งวัฒนธรรมนามว่า ‘Things Fall Apart’ หรือชื่อในฉบับแปลภาษาไทย ‘ก่อนรัตติกาลจะดับสูญ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในไตรภาค ‘The African Trilogy’
นวนิยายเรื่องนี้ตีแผ่เรื่องราวของชายชาตรีผู้ยิ่งใหญ่ของหมู่บ้านหนึ่งในแอฟริกา ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงในช่วงเวลาของการล่าอาณานิคม ที่จะสะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงดาบสองคมของการไม่ยอมเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นมันยังเป็นเสียงสะท้อนจากแอฟริกาที่ต้องการบอกว่าพวกเขาไม่ใช่โลกใบอื่นที่ถูกเล่าผ่านความไม่เข้าใจจนกลายเป็นภาพจำที่เคยชิน
ในบทความนี้จะพาไปสำรวจตั้งแต่แรงขับเคลื่อนของอะเชเบที่ถูกเล่าผ่านบทความ An Image of Africa: Racism in Conrad's ‘Heart of Darkness’ ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเล่าทางเดียวของแอฟริกาจากนักเขียนตะวันตก วิธีที่การเล่าเรื่องใน Things Fall Apart ที่นำเสนอคุณค่าของแอฟริกา ไปจนถึงแก่นเรื่องราวด้านความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง
“แอฟริกา เปรียบเสมือนกับภาพวาดของ โดเรียน เกรย์ สำหรับยุโรป — เป็นภาชนะรองรับเจ้านายที่ได้ถ่ายเทความบกพร่องทั้งทางร่างกายและศีลธรรมของตนลงไป เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างสง่างามและไร้มลทิน… แอฟริกากลายเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง พอ ๆ กับที่ภาพวาดที่ต้องถูกซ่อนเอาไว้ เพื่อปกป้องความดีงามอันเปราะบางของเขาเหล่านั้น”
— ชินัว อะเชเบ ในบทความ An Image of Africa: Racism in Conrad's ‘Heart of Darkness’
ย้อนกลับไปในปี 1974 ราว 16 ปีภายหลังจาก Things Fall Apart ได้ถูกตีพิมพ์ต่อสาธารณชนไปแล้ว ณ ขณะนั้น ชินัว อะเชเบ กำลังทำหน้าที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ในสหรัฐอเมริกา ในวันนั้นอาจจะเป็นช่วงเปิดการศึกษาใหม่พอดิบพอดี มีนักศึกษาหน้าใหม่เดินกันพลุกพล่านทั่วมหาวิทยาลัย
เมื่ออะเชเบกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ ชายสูงวัยที่เดินไปทางเดียวกันก็กล่าวว่า นักศึกษาสมัยนี้หน้าเด็กลงกว่าแต่ก่อนมากนัก ก่อนจะถามอะเชเบว่าตัวเขาเป็นนักศึกษาหรือเปล่า “ไม่ครับ ผมเป็นอาจารย์” อะเชเบตอบ “สอนอะไรล่ะ” คือคำถามที่ตามมา ก่อนที่อะเชเบจะกล่าวตอบไปว่า
“วรรณกรรมแอฟริกัน”
ชายคนนั้นกล่าวกลับมาว่าตลกดี ก่อนจะเล่าต่อว่าเขาก็รู้จักกับชายอีกคนที่สอนอะไรทำนองนี้ น่าจะเป็นประวัติศาสตร์แอฟริกันล่ะมั้ง ก่อนที่เขาจะเล่าต่อว่าตัวของเขามักจะประหลาดใจอยู่เสมอเมื่อได้ยินชื่อวิชาหรือหัวข้อทำนองนี้ เพราะตัวเขาไม่เคยคิดว่าแอฟริกาจะมีอะไรจำพวกนี้อยู่ด้วย — ซึ่งแน่นอนว่าเขาน่าจะหมายถึง ศิลปะ วรรณกรรม หรือประวัติศาสตร์
เรื่องราวที่ว่านี้ได้ถูกบันทึกและบรรยายลงในบทความ ‘An Image of Africa: Racism in Conrad's Heart of Darkness’ ที่ ชินัว อะเชเบ เป็นผู้เขียนด้วยตัวเอง ภายในเนื้อความ อะเชเบ พยายามจะฉายภาพให้เห็นถึง ‘เรื่องเล่า’ และ ‘ภาพจำ’ ของแอฟริกาที่ในอดีตมักถูกเล่าผ่านสายตาของชาวตะวันตกเป็นหลัก ซึ่งเป็นการนำเสนอความเป็นแอฟริกาแบบที่มีอคติหรือด้อยค่าเป็นมนุษย์ของชาวแอฟริกันเกินไป โดยอะเชเบได้ตีแผ่ประเด็นนี้ผ่านการวิพากษ์นวนิยายในตำนานของ ‘โจเซฟ คอนราด’ (Joseph Conrad) นามว่า ‘The Heart of Darkness’ (1899)
Heart of Darkness หรือ หฤทัยอันธการ เรื่องเล่าของ ‘มาร์โลว์’ (Marlow) ชายผู้เดินทางไปยังแอฟริกาเพื่อค้นหาชายลึกลับชื่อ ‘เคิร์ทซ’ (Kurtz) ซึ่งเป็นพ่อค้าขายงาช้างที่มีอำนาจและอิทธิพลมาก แต่เมื่อตามหาไปจริง ๆ เขากลับพบความมืดมิดทางจิตใจ ความโหดร้าย และความไร้มนุษยธรรมที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของมนุษย์เอง
เรื่องราวที่ว่านี้ ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ‘ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา’ (Francis Ford Coppola) ได้หยิบเอานวนิยายสั้นเรื่องนี้ไปประยุกต์เป็นภาพยนตร์ในชื่อ ‘Apocalypse Now’ (1979)
Apocaplypse Now (1979)
ชินัว อะเชเบ ชวนตั้งคำถามถึงความนิยมและผลกระทบจากงานของคอนราดที่มีผลกระทบต่อทัศนคติของชาวตะวันตกในภาพรวม ที่มองว่าแอฟริกาและชาวแอฟริกันเป็น ‘ของแปลก’ เป็น ‘คนเถื่อน’ และไร้ซึ่ง ‘อารยธรรม’ เฉกเช่นเดียวกับชาวตะวันตกที่ถือเป็นค่ามาตรฐานของความเป็นมนุษย์ ดังที่ได้ตัวเขาได้บรรยายในบทความนี้ว่า
“Heart of Darkness ฉายภาพแอฟริกาในฐานะ ‘โลกอื่น’ ที่อยู่ตรงกันข้าม (Antithesis) กับความเป็นยุโรปหรือแม้แต่อารยธรรมมนุษย์ สถานที่ที่ปัญญาและความละเอียดอ่อนที่มนุษย์ภูมิใจถูกเย้ยหยันโดยความป่าเถื่อนที่ครองความเป็นใหญ่อยู่”
นอกจากนั้น อะเชเบก็ได้หยิบเนื้อความใน Heart of Darkness มาเป็นตัวอย่างให้ผู้อ่านได้เห็นถึงวิธีฉายภาพแอฟริกาในแบบของ โจเซฟ คอนราด ไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวละครนิยามชาวแอฟริกันว่าเป็น ‘มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์’ (Prehistoric Man) และการบรรยายลักษณะถิ่นฐานหรือแม้แต่ท่าทีของชาวแอฟริกาที่ให้ความรู้สึก ‘ผิดธรรมดา’ ผ่านการอุปมาว่าพวกเขากำลัง
“แล่นผ่านขอบของความบ้าคลั่งอันมืดดำและไม่อาจเข้าใจได้”
คอนราดยังเปรียบชาวแอฟริกันเสมือนกับ ‘สัตว์ประหลาดที่ไม่ถูกพันธนาการ’ แต่ในขณะที่คอนราดบรรยายว่าพวกคนเหล่านี้ทำให้ตัวละครหวนนึกถึงสัตว์ประหลาด แต่ก็ได้มีการบรรยายต่อว่า ‘พวกเขาไม่ได้ไร้ความเป็นมนุษย์’ ทว่าสิ่งนั้นเองที่เป็นความสยองขวัญ เพราะสิ่งนี้ย้ำเตือนกับเหล่าตัวละครว่าพวกเขา — ชาวตะวันตก — มีสายสัมพันธ์ที่ฝังลึกและไกลโพ้นอยู่กับผู้คน ‘ป่าเถื่อน’ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นความย้อนแย้งว่า แม้คอนราดจะบรรยายว่าเขาเหล่านี้ ‘เป็นมนุษย์’ แต่กลับสยองที่ ‘ความเป็นมนุษย์’ แบบนี้ฝังอยู่ในตัวพวกเขาเสียอย่างนั้น
“นักอ่านผู้หลงใหลใน Heart of Darkness มักจะบอกคุณว่า คอนราดไม่ได้มุ่งเน้นไปที่แอฟริกามากเท่ากับ ความเสื่อมถอยของจิตใจชาวยุโรปคนหนึ่ง ที่เกิดจากความโดดเดี่ยวและพบเผชิญกับความแปลกประหลาด… นักเรียนคนหนึ่งของคอนราดเคยบอกผมที่สกอตแลนด์ว่า แอฟริกาในเรื่องก็เป็นแค่ ‘ฉากหลัง’ สำหรับการล่มสลายทางจิตใจของเคิร์ตซ์เท่านั้น”
ถึงกระนั้น อะชเบก็ตั้งคำถามต่อว่า นั่นก็หมายความว่าแอฟริกา — ที่ถูกตีแผ่ด้วยภาพที่อุดมไปด้วยความป่าเถื่อนและไร้ซึ่งอารยธรรม — เป็นเพียงแค่ ‘ของประกอบฉาก’ ที่จะหยิบมาวาดไปในแบบไหนตามใจนึก เป็น “ความเย่อหยิ่งที่บิดเบี้ยวและน่าขัน” การล่มสลายทางจิตใจของชายยุโรปคนหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าบรรดาผู้คนแอฟริกาไปเสียอย่างนั้น อะเชเบมองว่านี่เป็นการลบล้างตัวตนของชาวแอฟริกันในฐานะมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง
คำถามสำคัญที่ ชินัว อะเชเบ พยายามจะสะท้อนให้ผู้อ่านเห็นผ่านงานเขียนนี้คือการตั้งคำถามว่า ไฉนเรื่องราวที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของแอฟริกาและชาวแอฟริกัน ไม่ว่าจะเป็น Heart of Darkness หรือเรื่องอื่น ๆ ถึงถูกเชิดชูและยกย่องในฐานะงานศิลปะอันยิ่งใหญ่ หรือการไม่ตั้งคำถามต่อประเด็นเหล่านี้ที่แทรกซึมอยู่ในวรรณกรรมตะวันตกคือตัวแปรที่สนับสนุนกรอบแนวคิดหรืออคติที่มีอยู่ในสังคม?
ชินัว อะเชเบ จึงมองว่าแอฟริกาก็เปรียบเสมือนกับภาพวาดของ ‘โดเรียน เกรย์’ (Dorian Gray) ที่ชาวตะวันตกได้โยนสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการจดจำหรือด้านมืดของมนุษย์มาไว้กับชาวแอฟริกันให้ตนเองรู้สึกสบายใจในสถานะและอารยธรรมที่ตัวเองกำลังดำรงอยู่
ที่ต้องกล่าวถึงบทความนี้อย่างยาวเหยียดก็เพื่อให้เข้าใจถึง ‘บริบท’ และ ‘แรงขับเคลื่อน’ ของชินัว อะเชเบ ในการเขียนนวนิยาย Things Fall Apart ขึ้นมาในโลกที่เรื่องราวของแอฟริกาล้วนถูกตีแผ่ผ่านสายตาของชาวตะวันตกที่ลดทอนภาพของแอฟริกาให้มีความเป็นคนน้อยกว่าความเป็นจริง อะเชเบจึงได้ลงมืดจรดปากกาเขียนนวนิยายที่จะสะท้อน ‘โลกอื่น’ ให้ทั้งชาวตะวันตกและบรรดามนุษย์ทั้งโลกได้เข้าใจความเป็นแอฟริกันอย่างแท้จริง
ว่าพวกเขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่ครองภราดรภาพ ไม่ใช่มนุษย์สีดำทะมึนท่าทางแปลกประหลาด ไม่ใช่ความเป็นอื่นที่ผิดธรรมดาเหมือนที่ถูกตีแผ่มาในยุคสมัยนั้น
“เรื่องราวของเรา (ชาวแอฟริกัน) จะไม่สามารถให้ใครคนอื่นมาเล่าแทนได้ ไม่ว่าจะเก่งหรือมีเจตนาดีแค่ไหนก็ตาม”
Things Fall Apart คือเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โอกอนโกว’ (Okonkwo) ชายแกร่งหัวหน้าครอบครัวแห่งชนเผ่าอิกโบ (Igbo) ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอูโมเฟีย (Umoufia) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ในปัจจุบันคือประเทศไนจีเรีย โดยจะตีแผ่ชีวิตของโอกอนโกวควบคู่ไปกับวัฒนธรรมของชาวอิกโบตั้งแต่ครอบครัว พิธีกรรม ความเชื่อ ไปจนถึงกลไกทางสังคม โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านกับการมาถึงของการล่าอาณานิคมและศาสนา อีกทั้งยังเป็นการเล่าผ่านตัวละครโอกอนโกวที่เป็นชายผู้เคร่วครัดในขนบธรรมเนียม ความแข็งแกร่ง และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ก่อนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบไม่มีวันหวนกลับคืบคลานเข้ามาตามกาลเวลาที่ผ่านไป
ชินัว อะเชเบ ตัดสินใจจะเขียน Things Fall Apart ในภาษาอังกฤษ ด้วยความที่มุ่งหวังที่จะตีแผ่วรรณกรรมแอฟริกันให้ขยายตัวไปในความเข้าใจของผู้คนทั่วโลกให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะด้วยจุดมุ่งหมายที่จะใช้ภาษาของ ‘เจ้าอาณานิคม’ (Colonizer) เล่าเรื่องราวของผู้ที่อยู่ใต้การอาณานิคม เพื่อทะลายกรอบภาพจำและท้าทายเรื่องเล่าที่ครอบครองสำนึกของผู้คนในช่วงเวลานั้นด้วย
นวนิยายเรื่องนี้จึงถูกเรียงร้อยออกมาด้วยภาษาและคำศัพท์ที่เข้าใจง่าย หากใครที่พออ่านภาษาอังกฤษได้ก็สามารถซึมซับเรื่องราวของ Things Fall Apart ได้โดยไม่จำเป็นต้องปีนบันไดคำศัพท์มากนัก หรือแม้แต่การร้อยเรียงประโยคที่เป็นการเล่าแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องอาศัยการตีความจากการเปรียบเปรยมากนัก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเรื่องราวของแอฟริกาได้กว้างขวางขึ้น จึงไม่แปลกที่ในหลาย ๆ โรงเรียนได้หยิบ Things Fall Apart เป็นในวรรณกรรมที่นักเรียนจะได้อ่านกัน
ในแง่มุมที่น่าสนใจไปกว่านั้น ชินัว อะเชเบ ตัดสินใจที่จะคงรักษาคำศัพท์เดิมของชนเผ่าอิกโบเอาไว้ และใช้มันในภาษาอังกฤษโดยเขียนเป็นตัวเอียง โดยที่ผู้อ่านสามารถพลิกไปที่หน้าหลังสุดเพื่ออ่านนิยามของคำเหล่านี้ได้ อาทิเช่นคำว่า
‘obi’ หมายถึง เป็นบ้านหลังหลักที่เป็นที่พำนักอาศัยของหัวหน้าครอบครัว (ในชนเผ่าอิกโบจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ หลายภรรยา โดยจะแบ่งบ้านออกเป็นหลายหลังและล้อมรั้วอยู่ร่วมกัน)
จะเห็นได้ว่าแม้ว่าบางคำก็สามารถเลือกใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมาแทนที่ได้ แต่อะเชเบก็เลือกที่จะใช้คำศัพท์แอฟริกันมานิยามคำเหล่านี้ ในแง่หนึ่งอาจจะเพื่อสะท้อนความหมายอย่างตรงตัวตามบริบทของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งอาจเป็นการสะท้อนถึงการมีอยู่ของวัฒนธรรมในแอฟริกา ว่าพวกเขาก็ล้วนมี ‘คำเรียก’ สรรพสิ่งต่าง ๆ เป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน หาใช่คนเถื่อนไร้ซึ่งวัฒนธรรมเฉกเช่นภาพจำดั้งเดิมที่ผู้คนอาจมีต่อชาวแอฟริกัน
นอกจากนั้นภายในเรื่องผู้อ่านก็จะได้เข้าไปเห็นวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่าอิกโบ ไม่ว่าจะการเป็นอยู่และหาเลี้ยงในระดับครอบครัวที่มักนิยมเป็นแบบ ‘พหุภรรยา’ โดยมีสามีหนึ่งเดียวเป็นหัวหน้าครอบครัว เราจะได้เห็นบทบาทและหน้าที่ของผู้ชายและผู้หญิงในสังคม ที่ผู้ชายต้องทำหน้าที่ปกป้องดูแลครอบครัวและปลูกมันแกว (yam) ส่วนผู้หญิงที่มีหน้าที่ดูแลบรรดาลูก ๆ ทำอาหาร หรือแม้แต่คอยช่วยเหลือสามีในงานต่าง ๆ
ในระดับสังคมเราก็จะได้เห็นถึงวิถีความเป็นอยู่ร่วมกันไปจนถึงพิธีกรรมหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะพาให้ผู้คนมารวมตัวกัน โดยเฉพาะกับ ‘การปล้ำมวยพื้นเมืองของชนเผ่าอิกโบ’ ที่โอกอนโกวตัวเอกของเรื่องนับว่าเป็นแชมป์และได้รับการเคารพจากผู้คนในหมู่บ้านมากมาย ไปจนถึงกฎระเบียบธรรมเนียมการอยู่ร่วมกัน ที่หากใครฝ่าฝืน — เหมือนตัวละครเอกของเรื่อง — ก็ต้องถูกเนรเทศไปที่หมู่บ้านอื่น ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเห็นว่าชนเผ่าอิกโบไม่ได้อยู่กันอย่างป่าเถื่อน แต่ก็มีทั้งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไปจนถึงกลไกในสังคมที่สร้างมาตรฐานการอยู่ร่วมกันของผู้คน
ความเชื่อและศาสนาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงไม่น้อยใน Things Fall Apart โดยเฉพาะความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าอิกโบ ที่เริ่มจากการเคารพเทพเจ้าของแผ่นดินที่จะคอยทำหน้าที่ดูแลและทำให้ผลผลิตเกษตรกรรมงอกงาม หรือแม้แต่วิญญาณของบรรพบุรุษที่ยังสื่อสารผ่านร่างทรงของหมู่บ้านตามวาระต่าง ๆ ซึ่งจะสะท้อนความเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจนในช่วงการเข้ามาของคริสต์ศาสนาจากการล่าอาณานิคมของประเทศโซนยุโรป
สาเหตุที่ ชินัว อะเชเบ เลือกใส่รายละเอียดเหล่านี้ลงใน Things Fall Apart อาจเป็นเพราะเขาต้องการสะท้อนให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าและวัฒนธรรมที่หลายคนมองไม่เห็นบนผืนแผ่นดินแอฟริกันที่มักถูกมองว่าป่าเถื่อนและไร้ซึ่งวัฒนธรรม
“Things fall apart; the centre cannot hold”
อะเชเบหยิบยกชื่อ ‘Things Fall Apart’ มาจากบทกวีชื่อดังของนักกวีชาวไอริช ‘ดับเบิลยู. บี. เยตส์’ (W. B. Yeats) จากประโยคเต็มที่ว่า “Things fall apart; the centre cannot hold; Mere anarchy is loosed upon the world.” ซึ่งชื่อที่ว่าจะช่วยสะท้อนบริบทและชะตากรรมของชนเผ่าอิกโบในช่วงการล่าอาณานิคมหรือแม้แต่การร่วงหล่นจากจุดสูงสุดของชายแกร่งของหมู่บ้านอย่าง ‘โอกอนโกว’
เรื่องราวจะนำเสนอชีวิตของโอกอนโกวในฐานะชายผู้ประสบความสำเร็จของหมู่บ้าน มีทั้งครอบครัว ตำแหน่งทางสังคม และความสำเร็จนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างก็เคารพเขาในฐานะสมาชิกของหมู่บ้านที่มีความสำคัญและแข็งแกร่ง ตัวของโอกอนโกวเองก็เป็นคนที่ยึดถือในขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นความแข็งแกร่งและจุดยืนของเขายังสะท้อนออกมาผ่านความรังเกียจที่ตัวของเขามีให้กับ ‘อูโนกา’ (Unoka) บิดาแท้ ๆ ของตนเอง
อูโนกาเป็นคนขี้เกียจ ไม่เอาไหน และล้มเหลวในชีวิต โอกอนโกวมองว่าวิถีชีวิตเช่นนั้นตรงข้ามกับค่านิยมของความเป็นลูกผู้ชาย ด้วยเหตุนั้นการมีอูโนกาผูกโยงเป็นสายใยกับตนนับเป็นหนึ่งในความอับอายในจิตใจของโอกอนโกวอยู่ไม่น้อย
ทว่าเรื่องราวที่เริ่มจากจุดสูงสุดของโอกอนโกวก็ทยอยไถลลงเหว จากการที่เขากระทำผิดกฎเกณฑ์ประเพณีหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายภรรยาในช่วง ‘สัปดาห์แห่งสันติภาพ’ (The Week of Peace) ที่ทั้งหมู่บ้านจะงดเว้นความรุนแรงเพื่อถวายต่อเทพเจ้า การฆ่าลูกบุญธรรมที่ถูกจับมาเป็นตัวประกันของหมู่บ้านเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเขาอ่อนแอ หรือแม้แต่อุบัติเหตุทำให้ปืนลั่นไกไปคร่าชีวิตของคนในหมู่บ้าน
จากโอกอนโกวที่มีทุกอย่าง ครอบครัวของเขาจึงถูกเนรเทศออกจากหมู่บ้านไปเป็นเวลากว่า 7 ปี บ้านเดิมของเขาถูกเผามลายสิ้น ทุกอย่างที่เก็บเกี่ยวมาตลอดชีวิตแหลกสลายลงกับตา และต้องไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านมบันตา (Mbanta) ที่เป็นที่อาศัยของญาติฝั่งแม่ ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ยืนหยัดที่จะกลับไปทวงคืนทุกอย่างคืนหลังผ่านไป 7 ปี
ระหว่างที่อาศัยอยู่ที่มบันตานั้น กลิ่นของความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มคละคลุ้งขึ้น เมื่อตัวแทนในการเผยแพร่คริสตศาสนาจากเจ้าอาณานิคมเริ่มแผ่ขยายเข้ามาในหมู่บ้านและสร้างโบสถ์ ณ บริเวณใกล้เคียง โอกอนโกวคาดหวังใน ‘นโวเย’ (Nwoye) ลูกชายคนโตให้สืบทอดความยิ่งใหญ่และเจตนารมย์ของเขาอย่างแข็งกล้า แล้วการเปลี่ยนแปลงหรือร่วงหล่นอีกครั้งก็มาถึง เมื่อนโวเยตัดสินใจที่จะก้าวเข้าสู่อ้อมอกของพระผู้เป็นเจ้า และตัดสินใจที่จะเข้าสู่คริสตศาสนา ซึ่งทำให้โอกอนโกวผิดหวังและโกรธเกรี้ยวอย่างมากจนต้องตัดขาดกันไป
ครั้นเวลาผ่านไป 7 ปี โอกอนโกวและครอบครัวก็ได้เดินทางจากมบันตากลับไปที่อูโมเพียเพื่อกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของเขากลับคืนมาอีกครั้ง ทว่าภายในระยะเวลาที่เขาจากไปนั้น อูโมเฟียได้เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งโบสถ์จากคริสต์ศาสนาก็เริ่มมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินของหมู่บ้านและใจของผู้คน ทั้งกฎเกณฑ์จากเจ้าอาณานิคมก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน หรืออูโมเฟียกำลังกลายเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไปแล้ว?
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงรุกคืบเข้ามากัดกินวัฒนธรรมดั้งเดิมของอูโมเฟียเช่นนี้ มีหรือที่ชายชาตรีเช่นโอกอนโกวจะนิ่งดูดายอยู่ได้ เขาจึงเริ่มหารือกับผู้คนในหมู่บ้านที่จะต่อต้านความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง และทวงคืนความงามดั้งเดิมของอูโมเฟียกลับมา ก่อนที่จะเขาจะพบว่า มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่ได้คิดแบบเขาอีกต่อไปแล้ว บ้างก็มองว่าหลักคำสอนของคริสตศาสนาทั้งน่าศรัทธาและมีประโยชน์กับพวกเขามากกว่าเทพเจ้าผืนดินดั้งเดิม หรือแม้แต่กฎเกณฑ์แบบใหม่ ๆ ที่เข้ามาแทนที่ธรรมเนียมเดิม ชาวอูโมเฟียจำนวนมากขึ้นเริ่มมองว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยสำหรับพวกเขา
อูโมเฟียไม่ใช่หมู่บ้านแรกที่ถูกอาณานิคมกลืนกืน อบาเม (Abame) หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างออกไปก็ได้ถูกทั้งกฎเกณฑ์ ศาสนา และวัฒนธรรมของเจ้าอาณานิคมกลืนกินไปเรียบร้อย โอกอนโกวมองเหตุที่เป็นเช่นนั้นคือ ‘ความอ่อนแอ’ ของหมู่บ้านและผู้คนที่ไม่ยืนหยัดขัดขืนและเลือกที่จะสยมยอมต่อเหล่าบรรดา ‘คนขาว’ ที่มาพร้อมอุปกรณ์กับพาหนะประหลาดเสียมากกว่า นี่คือหนึ่งในถ้อยคำของโอกอนโกวที่กล่าวกับเพื่อนสนิทนาม ออบิเรกา (Obrieka)
“ข้าได้ยินมาว่าพวกอบาเมทั้งอ่อนแอและโง่เขลา ไฉนพวกมันถึงไม่สู้กลับ พวกมันไม่มีปืนหรือมีดดาบหรือ คงจะเป็นความขี้ขลาดยิ่งหากพวกเราต้องเปรียบเทียบตัวเองกับพวกอบาเม บรรดาบรรพบุรษของมันไม่แม้แต่จะยืนประจัญหน้ากับบรรพบุรุษของเราเสียด้วยซ้ำ พวกเราต้องยืนหยัดต่อสู้กับพวกมัน (เจ้าอาณานิคม) และขับไสไล่ส่งมันไปจากแผ่นดินเราเสีย”
ในมุมมองของโอกอนโกว ‘ความเปลี่ยนแปลง’ คือภัยที่ลุกลามเข้ามา และการสยบยอมคือ ‘ความอ่อนแอ’ การที่มีสมาชิกหมู่บ้านอูโมเฟียเอาใจเข้าร่วมกับบรรดา ‘คนนอก’ จึงไม่ต่างอะไรกับความอ่อนแอหรือแม้แต่การทรยศต่อผืนแผ่นดินและบรรพบุรุษ ไม่ต่างอะไรจากการที่ลูกชายของเขาหันหน้าเข้าสู่คริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเขายอมไม่ได้… แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ออบิเรกา ได้ฉายภาพการรุกคืบของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นคำตอบจากคำถามของโอกอนโกวว่าพวกคนนอกเหล่านี้เข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของชาวโอกอนโกวด้วยหรือ?
“จะเข้าใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อพวกมันยังไม่เข้าใจแม้แต่ภาษาของเรา แต่พวกมันกล่าวว่าธรรมเนียมประเพณีของเรานั้นเลวร้าย แกคิดว่าเราจะต่อสู้กับพวกมันอย่างไรในเมื่อพี่น้องของเราก็ได้หันหลังให้กับเราเสียแล้ว พวกคนขาวนั้นฉลาด พวกมันแทรกแซงเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และสันติผ่านศาสนาของมัน พวกเราก็ดันหัวร่อต่อความโง่เขลาของพวกมัน และเปิดโอกาสให้มันแทรกแซงเข้ามา จนตอนนี้มันได้คว้าใจของพี่น้องเราไปเรียบร้อยแล้ว เผ่าของเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไป พวกมันนำมีดมาจ่อสิ่งที่ผสานเราเข้าด้วยกัน และทำให้พวกเรามุ่งหน้าสู่ความล่มสลาย”
ดูเหมือนว่าอูโมเฟียกลายเป็นอีกหนึ่งความล่มสลายในชีวิตของโอกอนโกว เริ่มจากชีวิตของตัวเองที่ต้องถูกเนรเทศ ลูกชายอันเป็นความหวัง มาจนถึงตอนนี้ผู้คนทั้งหมู่บ้าน หรือมีเขาเพียงคนเดียวที่แข็งแกร่งอยู่ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้? จนท้ายที่สุด โอกอนโกวก็พ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่อยู่ต่อจนทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
ในแง่มุมหนึ่งผู้อ่านจะเห็นได้ถึงพลังของรากเหง้าดั้งเดิมที่เผชิญหน้ากับผลกระทบของการล่าอาณานิคมและการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาถอนรากถอนโคนของเดิมและเอาของใหม่มาสวมใส่ให้แทน โอกอนโกวคือภาพแทนของหลักความเชื่อและประเพณีดั้งเดิมที่ถูกความเปลี่ยนแปลงกัดกิน
อย่างไรก็ตาม ตัวตนของโอกอนโกวก็สะท้อนภาพของความเชื่อที่ ‘ไม่ยอมงอ’ จนท้ายที่สุดก็ต้อง ‘แตกหัก’ ไป ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นไปได้หรือที่สิ่งใดจะยืนหยัดคงที่ไม่เปลี่ยนแปร ในขณะที่อะเชเบตีแผ่ผลกระทบของการล่าอาณานิคม เขาก็ชวนผู้อ่านตั้งคำถามถึงภาวะของการไม่เปลี่ยนแปลงและคงรักษาเส้นทางเดิมไว้ จนต้องพบกับโศกนาฏกรรมของสรรพสิ่งที่แหลกสลายเพราะการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแบบโอกอนโกว
ท้ายที่สุดแล้วความยิ่งใหญ่ก็กลับไม่มีค่าอะไรเลย ในโลกที่คุณค่าเดิมแหลกสลายลง
“ผมจะไม่ยอมรับเรื่องเล่าของนักเดินทางคนใดเพียงเพราะผมยังไม่เคยเดินทางไปเอง ผมจะไม่เชื่อแม้แต่หลักฐานจากดวงตาของมนุษย์ หากผมสงสัยว่ามันลำเอียงเหมือนอย่างสายตาของคอนราด”
ย้อนกลับไปที่บทความ An Image of Africa: Racism in Conrad's ‘Heart of Darkness’ ชินัว อะเชเบ ได้อ้างอิงถึงท่อนที่ โจเซฟ คอนราดกล่าวว่าเขาได้เคยไปเยือนแอฟริกามาแล้ว ก่อนที่จะมาเขียน Heart of Darkness ซึ่งจะมาพร้อมกับคำถามว่า ใครสักคนที่ได้กลายเป็นนักเดินทางจะทำให้สายตาของเขาไม่มืดบอดจริงหรือ?
แน่นอนหากว่าใครสักคนไม่ขยับไปไหน ยืนหยัดมองสรรพสิ่งจากมุมมองเดียว พวกเขาเหล่านั้นย่อมมีแนวโน้มที่จะมืดบอกทางมุมมอง แต่อะเชเบก็มองว่าแม้การที่คอนราดจะอ้างว่าเขาเคยไปเยือนแอฟริกามาแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องเล่าที่เขานำเสนอต่อจะตรงไปตรงมาหรือปราศจากอคติอยู่ดี
อะเชเบได้ยกตัวอย่างกรณีในประวัติศาสตร์ศิลป์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กับการที่หน้ากากของวัฒนธรรมแอฟริกันกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กระแสศิลปะในยุโรป หารู้ไม่ว่าหน้ากากที่ว่าเป็นงานศิลปะที่ตั้งอยู่ทางเหนือไม่ห่างออกไปจากแม่น้ำในนวนิยาย Heart of Darkness ของคอนราดเลยด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าชาวแอฟริกันก็ยังถูกนำเสนอแบบป่าเถื่อนและไร้ซึ่งอารยธรรมอยู่ดี
‘มาร์โค โปโล’ (Marco Polo) นักสำรวจและพ่อค้าในตำนานที่ได้เดินทางไปทั่วโลกก็เป็นอีกตัวอย่างที่อะเชเบกล่าวถึง เป็นเวลากว่า 20 ปีที่ มาร์โค โปโล คลุกคลีอยู่กับราชสำนักของอาณาจักรจีนในยุคของ ‘กุบไล ข่าน’ (Kublai Khan) ทว่าในวันที่เขาจรดเรื่องราวการท่องโลกผ่านหนังสือ ‘Description of the World’ (1300) สองรายละเอียดสำคัญดันถูกละทิ้งไปเสียอย่างนั้น
อย่างแรกคือนวัตกรรมเกี่ยวกับศิลปะการพิมพ์ (Printing) ที่เบ่งบานอย่างแพร่หลายในอาณาจักรจีนที่น่าจะเป็นประโยชน์กับบรรดาอาณาจักรในยุโรปเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีการบันทึกถึงเรื่องนี้ แต่ดันต้องรอกว่า 150 ปีเพื่อให้กูเตนเบิร์กมาสร้างแท่นพิมพ์ หรือแม้แต่การบันทึกความยิ่งใหญ่ของ ‘กำแพงเมืองจีน’ (The Great Wall of China) ที่เป็นหนึ่งในการก่อสร้างของมนุษยชติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชินัว อะชเบ มองว่า แม้ว่าจะมีใครสักคนอ้างว่าเขาได้ไปเยือนสถานที่จริง ๆ ของเรื่องเล่ามาแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องเล่าที่ว่านั้นจะปราศจากอคติหรือแม้แต่สะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อะเชเบเขียน Things Fall Apart มาด้วย ‘ความเป็นกลาง’ ที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้ว่าตัวละครเอกของเรื่องจะเป็นคนจากหมู่บ้านอูโมเฟียและอารยธรรมของชนเผ่าอิกโบ แต่ก็ใช่ว่าอะเชเบจะพยายามโรแมนติไซซ์ให้วัฒนธรรมประเพณีของหมู่บ้านหรือแม้แต่ตัวตนของโอกอนโกวดูสวยงามหรือดีเกินความเป็นจริง
ในส่วนของขนบธรรมเนียมและความเชื่อ อะเชเบก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพหรือแม้แต่ความไม่สมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น เช่นการที่ต้องสังหารคนเพราะเป็นบัญญาติจากเทพเจ้า ไปจนถึงในมิติของโอกอนโกวเอง ที่ยกให้ความแข็งแกร่งและความเป็นชาตรีคือคุณค่าอันดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความรุนแรงและการกดขี่ภายในครอบครัวเอง ที่ในหลาย ๆ ครั้งการกระทำของโอกอนโกวตั้งต้นจากความพยายามในการรักษาคุณค่าที่ยึดถือ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาร่วงหล่นสู่จุดต่ำสุดเสียอย่างนั้น
ชินัว อะเชเบ จึงได้เล่าการงัดสู้กันของ ‘พลังเก่า’ กับ ‘พลังใหม่’ ได้อย่างน่าสนใจ ฉายภาพให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียจากทั้งสองฝั่งอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสะท้อนช่วงเวลาของการล่าอาณานิคมและการเปลี่ยนแปลงในแอฟริกาโดยไม่พยายามบิดเบือนผ่านความเป็นนิยาย ไม่ใส่สีตีไข่ให้มีใครสักคนต้องเป็นวายร้ายหรือฮีโร่ในประวัติศาสตร์ เพียงแต่บอกเล่าภาพจริงที่เกิดขึ้นในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน
ย่อหน้าสุดท้ายของ Things Fall Apart ถือเป็นการขมวดปมเรื่องราวได้อย่างทรงพลัง ไม่เพียงแค่เสียดสีความอคติ การลดทอนรายละเอียดและความเป็นคนของ ‘เรื่องเล่า’ ที่ถูกนำไปตีแผ่ต่อเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามถึงตัวตน การมีอยู่ และสัจธรรมของความยิ่งใหญ่ที่เมื่อกาลเวลาผ่านไป กลับถูกลดทอนและย่อขนาดเหลือเพียงไม่กี่ตัวตัวอักษรในบรรทัดหนึ่งของหน้ากระดาษ
“ในหนังสือที่เขา (ข้าหลวงประจำเขต) วางแผนจะเขียน เขาตั้งใจจะเน้นประเด็นนั้นให้ชัดเจน ขณะที่เขาเดินกลับไปยังศาล เขาก็ครุ่นคิดถึงหนังสือเล่มนั้น… ทุก ๆ วันนำพาเรื่องราวใหม่ ๆ มาให้เขาเสมอ เรื่องของชายคนนี้ ชายผู้สังหารผู้ส่งสารแล้วแขวนคอตัวเอง คงจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้อ่าน บ้างอาจเขียนถึงเขาได้เกือบหนึ่งบทเต็ม ๆ …แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องเป็นบทหนึ่งเต็ม ๆ หรอก อย่างน้อยก็เพียงย่อหน้าหนึ่งที่พอเหมาะก็พอ เพราะยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องใส่ไว้ และก็ต้องเด็ดขาดในการตัดรายละเอียดบางอย่างออก
“เขาได้ตั้งชื่อหนังสือไว้แล้ว หลังจากไตร่ตรองมาอย่างดี: ‘การสงบเผ่าอันป่าเถื่อนแห่งลุ่มแม่น้ำไนเจอร์’ (The Pacification of the Primitive Tribes of the Lower Niger)”
ความยิ่งใหญ่ของ ‘โอกอนโกว’ ท้ายที่สุดก็ดับสูญเหลือเพียงเรื่องราวไม่กี่บรรทัดที่เล่าผ่านมุมมองของใครสักคนที่คิดว่าเขานั้น ‘ป่าเถื่อน’
อ้างอิง
1. Achebe, C. (1977). An image of Africa: Racism in Conrad's 'Heart of Darkness'. Massachusetts Review, 18. Reprinted in R. Kimbrough (Ed.), Heart of Darkness: An Authoritative Text, Background and Sources, Criticism (3rd ed., pp. 251–261). W. W. Norton & Company, 1988.
2. Brodie, C. S. (2013). "The story we had to tell:" How Chinua Achebe and Wole Soyinka reclaimed Nigerian identity through their writing (Honors thesis). Wellesley College.