05 ส.ค. 2568 | 08:51 น.
KEY
POINTS
สงครามไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ ๒๔-๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘ เบ็ดเสร็จรบกัน ๗ วัน (แม้ ๔ วันแรกผ่านไปจะมีการเจรจาหยุดยิง โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกลาง แต่ยังมีการปะทะกันประปรายอีก ๓ วันต่อมา) สงครามนี้มีลักษณะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ (Turning point) ทั้งความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา กับประเทศเพื่อนบ้าน และต่อความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในสังคมไทยเอง
โดยที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์กันว่า สงครามครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ตลอดจนข้อพิพาท ระหว่างคนสองประเทศยังมีคงมีอยู่ ฮุนเซนและกองทัพไทยประสบความสำเร็จแล้วในการแสดงให้ประชาชนของตนได้เห็นถึง ‘ภัยคุกคาม’ ซึ่งก่อนหน้านี้พูดให้ใครฟังก็คงหัวเราะขำ เพราะต่อให้ขัดแย้งและเกลียดชังกันมาก ก็ไม่เห็นทางที่ทั้งสองฝ่ายจะเปิดฉากสู้รบกัน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้และตระหนักดีว่า สงครามไม่เป็นผลดีต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
แม้ว่าเราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ก็มีผู้ได้ประโยชน์จากสงครามอยู่แหล่ะ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นนำ เพราะสงครามทำให้ชาตินิยมขึ้นสู่กระแสสูง และชาตินิยมในสังคมอาเซียนอุษาคเนย์ยังคงเป็น ‘ชาตินิยมเพื่อชนชั้นนำ’ ไม่ใช่ ‘ชาติคือประชาชน’ ชาตินิยมมีผลต่อการหลอมรวมคนให้คิดถึงประเทศชาติบ้านเมือง บดบังความล้มเหลวในการบริหารหรือจัดการปัญหาเศรษฐกิจสังคมของผู้นำทางการเมือง
สงครามก็เช่นเดียวกับรัฐประหารอย่างหนึ่ง ตรงที่มักจะเกิดโดยที่ผู้คนในสังคมไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งที่จริงมนุษย์มีแนวโน้มจะแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เหตุที่เราไม่คาดคิดว่าจะเกิดสงคราม ส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมไทยไม่มี ‘วัฒนธรรมการต่อต้านสงคราม’ เท่าไรเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
(๑) มี ‘วันสันติภาพสากล’ (International Day of Peace) คือวันที่ ๒๑ กันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมาก เป็นวันหยุดที่จะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสันติภาพและหยุดการใช้ความรุนแรง แต่สังคมไทยในวันดังกล่าวกลับเป็นวันที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากวันอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่วันสำคัญของชาติ)
(๒) เมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว เรากลับเห็นเหล่าบรรดาคนชั้นปัญญาชน นักวิชาการ นักเขียน ครูบาอาจารย์ นักการเมือง ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ต่างพากันโดดลงหลุมชาตินิยม ด่าเขมร เรียกร้องให้กองทัพไทยบุกไปยึดพนมเปญกันโครม ๆ ราวกับยังอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยา แทนที่คนเหล่านี้จะเป็นแสงสว่างทางปัญญาในคราวมืดมิด ช่วยกันนำพามนุษยธรรมปกติให้กลับคืนมาโดยเร็ว เสียงเรียกร้องให้หยุดยิงไม่ดังเท่าเสียงบอกให้ยิงกันต่อไป ทั้งที่นี่ไม่ใช่เกมส์หรือภาพยนตร์ นี่คือเรื่องจริง เจ็บจริง ตายจริง สิ่งแรกที่สงครามฆ่าก็คือ ‘มนุษยธรรม’ ของเรา
(๓) ในวัฒนธรรมบันเทิง เราพอนึกถึงภาพยนตร์ต่อต้านสงครามกันอยู่บ้าง เพราะมักจะเป็นหนังดังระดับสากล อย่างเรื่อง ‘Killing Field’ ที่สะท้อนความโหดร้ายของสงครามยุคเขมรแดง วรรณกรรมก็ยังพอมีในภาษาหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ‘จอนนี่ไปรบ’ (Johnny Got His Gun) ผลงานประพันธ์ของ ‘Dalton Trumbo’
วรรณกรรมอาจจะไม่ค่อยได้อ่านกัน ภาพยนตร์รึก็มีแต่แนวสงครามไปอีก เพลงดูจะเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า ดังนั้น บทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของเพลงประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนขอนิยามเรียกเฉพาะในที่นี้อย่างกว้างๆ ว่า ‘เพลงเพื่อสันติภาพ’ หรือ ‘เพลงสันติภาพ’ เป็นเพลงประเภทเดียวกับที่เรียกอีกอย่างได้ว่า ‘เพลงต่อต้านสงคราม’
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนสำรวจดูเพลงในไทย กลับพบว่า ‘เพลงต่อต้านสงคราม’ กลับไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรเลย เราแทบนึกไม่ออกว่ามีเพลงอะไร ของศิลปินคนไหนบ้าง ผิดกับเพลงสากลที่แพร่หลายในต่างประเทศ เพลงสันติภาพเป็นเพลงคลาสสิคตลอดกาล มีใครบ้างไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินได้ฟังเพลงดังอย่างเช่น Imagine’ ของ John Lennon, Blowin' in the Wind ของ Bob Dylan, Wind of Change ของวง Scorpions, Fortunate Son ของวง CCR (Creedence Clearwater Revival), Civil War ของวง Guns N' Roses, Heal the World ของ MJ (Michael Jackson) เป็นต้น
เรื่องนี้มันยังไง ๆ อยู่ ทำไมเพลงสันติภาพของไทยหายไปจากพื้นที่สื่ออย่างไร้ร่องรอยแบบนี้?
เพลงไทยที่อยู่ในความทรงจำ จะต้องได้ยินได้ฟังกันตลอดเมื่อมีการรบราฆ่าฟันกัน น่าสังเกตว่ามักจะเป็นยุคจากยุคชาตินิยมเฟื่องฟูอย่างในยุครัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เรารู้จักผลงานเพลงยุคนี้ในฐานะ ‘เพลงปลุกใจ’ แต่แท้ที่จริงแล้วเนื้อหาคือเพลงเติมไฟให้กับสงครามทั้งนั้นเลย และจำเพาะเจาะจงยังไง เพลงแนวนี้ยังมักเป็นผลงานเพลงแต่งโดยคนเดียวกันคือ ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) เช่น เพลงเลือดสุพรรณ, รักเมืองไทย, ข้ามโขง, ตื่นเถิดชาวไทย, ต้นตระกูลไทย, แหลมทอง, บ้านเกิดเมืองนอน, รักกันไว้เถิด, อานุภาพแห่งความเสียสละ ฯลฯ
เพลงเหล่านี้มาจากยุคเรียกร้องดินแดน โดยมีหัวเลี้ยวสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ ‘สงครามอินโดจีน’ ไทยฉวยโอกาสช่วงชุลมุนที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ให้กับนาซีเยอรมันในสงครามโลกที่ยุโรป และรัฐบาลวิชีที่ฮิตเลอร์ตั้งขึ้นมาปกครองฝรั่งเศสไม่มีนโยบายที่ชัดเจนต่ออาณานิคม ดังนั้น อาศัยญี่ปุ่นหนุนหลัง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงสั่งบุกอินโดจีนที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้น และเมื่อญี่ปุ่นยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพ ญี่ปุ่นเข้าข้างไทย เลยตัดสินข้อพิพาทให้ไทยได้ดินแดนส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตสปป.ลาว และกัมพูชาบางส่วนในปัจจุบัน แต่เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง ฝรั่งเศสฟื้นตัวขึ้น ไทยก็จำต้องคืนดินแดนที่ได้มาในระหว่างสงครามกลับคืนไปให้แก่ฝรั่งเศส
จริง ๆ เพลงเหล่านี้คือเพลงที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายของตนเองที่เป็นการเรียกร้องเขตแดน เพราะต้องคืนดินแดนให้แก่อาณานิคมฝรั่งเศส ดังที่กล่าวข้างต้น เช่นเดียวกับเพลงอื่น ๆ เพลงสมหวังมักไม่ค่อยคุ้นหู แต่เพลงที่มีความดราม่าหรือโศกนาฏกรรม มักอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับชาตินิยมไทยที่อกหักจากการเรียกร้องดินแดน เพลงเหล่านี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับชาตินิยมไทยและยังเป็นแกนหลักของนิยามความเป็นชาติไทยกระแสหลักมาเท่าทุกวันนี้
เช่นเดียวกับยุคอื่น ๆ ใช่ว่าไม่มีผู้เห็นต่างจากเพลงปลุกใจชาตินิยม สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ผลงานเพลงอย่างเพลงชื่อ ‘บวงสรวง’ ของสมจิต ตัดจินดา และชาญ เย็นแข ขับร้องในยุคทศวรรษ ๒๔๙๐
แม้ บวงสรวง จะเป็นเพลงเพื่อสันติภาพ แต่ให้ความสำคัญแก่สิ่งเหนือมนุษย์ จึงออกจะไม่เข้าขนบ เมื่อเทียบกับเพลงที่มีเนื้อหาแนวนี้ในโลกสากล เพราะในโลกสากลเขาเน้นพูดถึงความเป็นมนุษย์ ชี้ให้เห็นความสำคัญของมนุษยธรรม
โดยสปิริตจึงต่างกันจนทาบไม่ติดกับพวกเพลงปลุกใจชาตินิยมรุ่นหลวงวิจิตรวาทการ ที่เรียกร้องให้ประชาชนสามัญชนมีส่วนร่วมกับสงคราม แต่อย่างไรก็ตาม บวงสรวง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการสื่อความเทิดทูนสันติภาพ แม้จะมีข้อจำกัด แต่ก็เป็นข้อจำกัดอันเนื่องมาจากยุคสมัย ท่ามกลางไฟสงครามทั้งภายในและภายนอก
ภายใน, ทศวรรษ ๒๔๙๐ เป็นช่วงที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมประสบความสำเร็จในการทำรัฐประหาร ยกเลิกอุดมการณ์ทางสังคมการเมืองและระบบโครงสร้างต่าง ๆ ที่สืบมาจากยุคคณะราษฎร แม้จะมีการเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตคณะราษฎรท่านหนึ่ง มาเป็นผู้นำรัฐบาล แต่จอมพล ป. ก็ไม่มีอำนาจ เพราะอำนาจอยู่ที่กลุ่มขุนศึกที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทหลังรัฐประหาร ๒๔๙๐
ภายนอก, ช่วงนั้นเป็นยุคสงครามเย็น มีสงครามสู้รบระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก และกระทบถึงไทยอยู่ตลอด ต่อมาไทยเข้าร่วมสงครามเกาหลี ส่งทหารไทยไปสู้รบในสมรภูมิต่อต้านเกาหลีเหนือ จนก่อให้เกิดขบวนการเพื่อสันติภาพ แต่รัฐบาลกลับปราบปรามจนเป็นที่มาของเหตุการณ์แปลกประหลาดในสังคมการเมืองไทยที่เรียกกันว่า ‘กบฏสันติภาพ’ ผู้เรียกร้องสันติภาพกลับถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
แค่นั้นยังไม่พอ ยุคสงครามเย็นยังเป็นช่วงแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ในสังคมไทย นำไปสู่การสู้รบกันด้วยกำลังอาวุธระหว่างฝ่ายขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กับฝ่ายรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและโลกเสรี
ในท่ามกลางไฟสงครามของยุคสมัย เพลงสันติภาพไม่ได้รับความนิยม เพลงปลุกใจชาตินิยมถึงเป็นเพลงเก่าแต่ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาปัดฝุ่นใช้งานในบริบทใหม่ที่เป็นการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เปิดให้ประชาชนฟังทางวิทยุอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีเพลงแต่งใหม่ในช่วงนี้อีกจำนวนหนึ่ง จึงก่อให้เกิดช่วงเวลาแห่งความมืดบอดชนิดมองไม่เห็นสันติภาพจะเกิดขึ้นในเร็ววันได้อย่างไร นอกจากต้องสู้รบกันให้พังพ่ายยันเยินกันไปข้างใดข้างหนึ่ง กว่าจะสงบศึกกันได้ก็รบกันนานกว่า ๑๗ ปี (๒๕๐๘-๒๕๒๕)
ระหว่างนี้ใครพูดเรื่องสันติภาพ การหยุดยิง ก็จะโดนฝ่ายหนึ่งหาว่าไม่รักชาติและหรือเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ขณะที่อีกฝ่ายก็จะหาว่าเข้าข้างศักดินาและจักรวรรดินิยม ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างกระหายสงคราม ก็เป็นธรรมดาที่เพลงมีเนื้อหาต่อต้านสงครามจะไม่ได้รับความนิยมหรือไม่แม้แต่จะมีศิลปินแต่งมาขับร้องให้คนฟัง ศิลปินเพลงไทยมักมาหลังเหตุการณ์เสมอ
ต่อเมื่อสิ้นสุด ‘สงครามประชาชน’ และสันติภาพบังเกิดผลขึ้นแล้ว จากการเกิดวิกฤตศรัทธาในหมู่นักศึกษาประชาชนที่เข้าร่วมพคท. ประกอบกับฝั่งรัฐบาล ทหารสายพิราบ มีเสียงดังและมีอำนาจมากกว่าสายเหยี่ยว เลยทำให้รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ สามารถออกนโยบาย ๖๖/๒๓ ประกาศให้ผู้เคยเข้าร่วมพคท.พ้นความผิด และถือเป็น ‘ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย’ ไม่ใช่ ‘ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์’ เหมือนช่วงก่อนหน้านั้น
เพลงสันติภาพถึงค่อยเฟื่องฟูขึ้น จนกระทั่งก่อเกิดเป็นยุครุ่งเรืองของงานเพลงแนวนี้ มีศิลปินเพลงมากหน้าหลายตาต่างทำเพลงแนวนี้ออกมานำเสนอแก่ประชาชนผู้ฟังเพลง นั่นเป็นความจริงที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งในแง่ที่ว่า ต้องรอจนกระทั่งสันติภาพบังเกิดขึ้นเป็นจริงแล้ว เพลงเพื่อสันติภาพถึงจะได้รับความนิยม ทั้งที่จริงเพลงแนวนี้ควรมีความสำคัญและฟังกันให้มากในช่วงที่มีสงคราม
แต่ถึงอย่างนั้น เพลงเพื่อสันติภาพในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็มีหลายเพลงที่น่าสนใจ อาทิ เพลง ‘โลกและสันติภาพ’ ของภูสมิง หน่อสวรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๕๒๘, เพลง ‘สันติภาพ’ ของหงา คาราวาน เมื่อพ.ศ.๒๕๒๙, เพลง ‘สงครามหรือสันติภาพ’ ของวงสันติภาพ เมื่อพ.ศ.๒๕๓๑, เพลง ‘กัมพูชา’ ของแอ๊ด คาราบาว เมื่อพ.ศ.๒๕๓๒, ‘สุรชัย ๓ ช่า’ แอ๊ด คาราบาว กับ สุรชัย จันทิมาธร (หงา คาราวาน) เมื่อพ.ศ.๒๕๓๒ เป็นต้น
กระบวนการสันติภาพที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นยังนำไปสู่นโยบาย ‘เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า’ สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เมื่อพ.ศ.๒๕๓๓ รูปธรรมก็คือการสร้างตลาดตามบริเวณแนวชายแดน จริง ๆ จะเกิดตั้งหลายจุดหลายจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ซึ่งเดิมมีสถานการณ์สู้รบกันมาก แต่ที่เปิดได้จริง ๆ สมัยนั้นมีเพียงตลาดโรงเกลือที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หลายปีต่อมาจึงได้เปิดตลาดแบบนี้ได้สำเร็จอีก เช่น ที่ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี เป็นด่านชายแดนติดกับสปป.ลาว, ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์, ด่านบ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งฝั่งตะวันตกติดกับประเทศเมียนมา ก็มีการเปิดตลาดแบบนี้ขึ้นหลายแห่ง เช่น ด่านแม่สอด จังหวัดตาก, ด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย, ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สงครามไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุดนี้จะเห็นได้ว่าการเปิด-ปิดตลาดชายแดน กลายเป็นเครื่องมือที่กองทัพไทยใช้กดดันกัมพูชา จนเป็นชนวนเหตุให้ลุกลามบานปลายจนเกิดการสู้รบกันเต็มรูปแบบ ตลาดการค้าที่รัฐบาลพลเอกชาติชายสร้างขึ้นเพื่อธำรงรักษากระบวนการสันติภาพ กลับมากลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงคราม
เมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว เพลงเหล่านี้ก็กลับไม่ได้ถูกรื้อฟื้นกลับมาใหม่ ต่างจากเพลงปลุกใจชาตินิยมของรุ่นหลวงวิจิตรวาทการ ที่ทางการมักจะเอามาเปิดอยู่ตลอด ทั้งนี้ศิลปินเพลงเพื่อสันติภาพในอดีตเองถึงพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือบางวงก็ยังคงผลิตผลงานเพลงออกอัลบั้มอยู่ก็จริง แต่พวกเขาก็มีจุดยืนไม่เหมือนเดิม บางคนก็หันไปสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการปลุกปั่นยั่วยุให้เกิดสงครามไปเสียเอง เรื่องมันเลย โอละพ่อ...
นอกจากนี้ยังน่าสังเกตด้วยว่า ในช่วงระยะหลังมานี้ก็ไม่ใช่ไม่มีศิลปินเพลงหน้าใหม่ ๆ ผลิตผลงานแนวต่อต้านสงคราม-เรียกร้องสันติภาพแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับ ‘สันติภาพ’ ที่หมายถึงความสงบสุขของบ้านเมือง ปราศจากความขัดแย้งภายใน เช่น เพลง ‘สันติภาพ’ ของ Bomb At Track เมื่อพ.ศ.๒๕๕๙, ‘ประเทศกูมี’ (My Country Has) ของ RAD (Rap Against Dictatorship) เมื่อพ.ศ.๒๕๖๑ หรืออย่างเพลง ‘โปรดเรียกขานฉันด้วยนามอันแท้จริง’ ของ Boy Imagine's เมื่อพ.ศ.๒๕๖๔
‘บอมบ์ แอท แทร็ค’ (Bomb At Track) เป็นวงดนตรีนูเมทัลและแร็ปเมทัลสัญชาติไทย ที่มาจากวงการเพลงใต้ดิน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๕๘ โดยกลุ่มนักศึกษาจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยวงนี้จะนำเสนอเพลงที่จะสื่อไปถึงปัญหาทางด้านการเมือง ด้านสังคมต่าง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเนื้อหาที่มีการเสียดสี การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงทางลบรุนแรง
‘โปรดเรียกขานฉันด้วยนามอันแท้จริง’ ของ Boy Imagine's เนื้อเพลงนี้ส่วนหนึ่ง - เขียนขึ้นจาก 3 แหล่งที่มา คือ ๑. หนังสือรวมบทกวี ‘เรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง’ (Call Me by My True Names) ของ ติช นัท ฮันห์ ( เวียดนาม ) แปลโดย ร.จันเสน ๒. ประวัติชีวิต ตอนหนึ่งของสมเด็จพระมหาโฆษนันทะ (ชาวกัมพูชา) ๓. กรณียเมตตสูตร สูตรหนึ่งในสายความคิดอย่างพุทธ เป็นสูตรที่ว่าด้วยความรักและการให้อภัย
แต่เพลงที่จัดว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คงต้องยกให้เพลง ‘ประเทศกูมี’ ของ RAD (Rap Against Dictatorship) เป็นเพลงฮิพฮอพ เนื้อหาแสดงจุดยืนต่อต้านระบอบเผด็จการทหาร ชี้ให้เห็นความเละเทะของบ้านเมืองภายใต้การปกครองของทหารชาตินิยม สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและสิทธิพลเมือง ประเทศกูมี สะท้อนให้เห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจการเมือง โนแคร์สังคม หากแต่เพราะการเมืองและสังคมทำให้พวกเขาเกิดความเบื่อหน่ายและต้องการมีทางเลือกใหม่ ๆ มากกว่า เพราะรู้และเห็นกันดีว่ากำลังอยู่ในยุคที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองคอยกำกับตรวจสอบและควบคุมผู้คน ให้คิดให้ฝันตามที่ตนต้องการอยู่
นั่นแสดงให้เห็นว่า ในหมู่คนเจนใหม่ไม่ได้มองเรื่องความขัดแย้งกับภายนอก (ประเทศเพื่อนบ้าน) ว่าจะมีผลต่อสันติภาพ ตรงข้ามตลอดช่วงที่ผ่านนับแต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อพ.ศ.๒๕๔๘, การรัฐประหารเมื่อพ.ศ.๒๕๔๙, เหตุการณ์กรณีราชประสงค์ หรือ ‘เมษาเลือด’ เมื่อพ.ศ.๒๕๕๒, การรัฐประหารเมื่อพ.ศ.๒๕๕๗, ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งเป็นชนวนวิกฤติหลายรอบตลอดช่วงที่ผ่านมา ล้วนแต่ทำให้คนเจนใหม่มองเห็นว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและสันติของผู้คนในประเทศนี้ ที่จริงไม่ได้มาจากภัยคุกคามภายนอก หากแต่เป็นภัยจากภายในประเทศของตนเองนี่แหล่ะ
แม้แต่ความขัดแย้งและสงครามกับกัมพูชา ๒ ครั้ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ (คือในพ.ศ.๒๕๕๔ กับ พ.ศ.๒๕๖๘ นี้) ก็ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องกับจุดเริ่มต้นที่มาจากปัญหา ‘ความขัดแย้งภายใน’ ที่ว่านี้ ดังนั้น แท้ที่จริงแล้วเพลงสันติภาพไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ศิลปินเพลงในแนวดังกล่าวนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างสำคัญ พวกเขามีมุมมองต่อสาเหตุสงครามและความขัดแย้ง ชัดเจนกว่าคนรุ่นก่อนหน้าด้วยซ้ำ ซึ่งมักมองสงครามเฉพาะในด้านที่มีสาเหตุเกิดจากความขัดแย้งกับภายนอก
สภาพสังคมการเมืองในช่วงหลังรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา มีส่วนหล่อหลอมให้คนรุ่นเจนหลัง ๆ มานี้คิดเห็นแตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนในประเด็นดังกล่าวนี้นับวันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งที่จริงเป็นทั้งเรื่องน่ายินดีและไม่ยินดีไปพร้อมกัน น่ายินดีก็คือการที่คนรุ่นใหม่มีการเติบโตทางความคิดในแบบของตัวเอง ไม่น่ายินดีก็คือบางครั้งมุมมองดังกล่าวนี้ก็ทำให้ละเลยบางแง่มุมไปจนมองไม่เห็นปัจจัยจากภายนอกได้เหมือนกัน
ดังที่ทราบกันว่า เราไม่ค่อยรู้เรื่องกัมพูชาในช่วงประวัติศาสตร์ระยะใกล้นี้เท่าไรนัก องค์ความรู้ประวัติศาสตร์โบราณคดีมักจะนำพาให้เราไปรู้จักแต่ยุคเขมรพระนครเสียโดยมาก นักรัฐศาสตร์ก็สนใจกัมพูชากันมากในช่วงยุคเขมรแดงปกครอง แต่หลังจากนั้นก็รู้กันน้อยลงอีกเช่นกัน แล้วจู่ ๆ ฮุนเซนกับสงครามก็โผล่มาจากไหนไม่รู้...
อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของศิลปินเพลงสันติภาพ เป็นปัญหาขององค์ความรู้ทางวิชาการต่างหาก (เป็นอีกเมตาเวิร์สหนึ่งที่ไปกระทบ)
กล่าวโดยสรุป
สิ่งซึ่งน่าเป็นกังวลอย่างมาก ก็คือสังคมไทยยังคงไม่มีวัฒนธรรมการต่อต้านสงครามที่เข้มแข็งพอ เมื่อเกิดสงครามขึ้นจึงเหมือน “เปิดประตูนรก” ทำให้ผีห่าซาตานจากไหนไม่รู้มาสิงสู่ให้กลุ่มคนที่ควรจะเป็นสติปัญญาให้แก่ผู้คนในยามเผชิญความมืดที่อันตราย กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง แม้ไม่ถึงกับไปร่วมยิงเขมร แต่มนุษยธรรมก็ถูกฆ่าทิ้งอย่างยับเยินป่นปี้ไม่มีเหลือ เราแทบไม่มองเขมรเป็นคนเหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ ไปแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว เพลงปลุกใจเติมไฟสงครามซึ่งโดยมากคือเพลงชาตินิยมอกหักจากยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ กลับยังคงมีพื้นที่และเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงสันติภาพ สวนทางกับต่างประเทศอย่างสิ้นเชิงและน่าใจหาย เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? คนไทยเคยเป็นคนดีมีน้ำใจและมนุษยธรรมมากกว่ายุคนี้ไม่ใช่หรือ? จริงอยู่ว่าฝ่ายกัมพูชาก็ใช่ย่อย แต่ลองพิจารณาดูดี ๆ นะ เขาไม่ต่างจากเราเท่าไรเลย มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้คนจากระบอบการเมืองอันน่าสังเวชของทั้งสองประเทศ ต้องมาเข่นฆ่ากัน
ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่จำเป็นจะต้องรื้อฟื้นเพลงสันติภาพในสังคมที่ผุพัง เราต่างรู้กันดีว่าสงครามนี้มาจากการปลุกปั่นยั่วยุและสร้างความเกลียดชังต่อกันอย่างไร ไม่ผิดอะไรที่จะรักชาติบ้านเมือง หากแต่รักชาติแล้วพากันไปทำสงคราม แทนที่จะสร้างสรรค์การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและสันติกับเพื่อนบ้าน นั่นต่างหากทำลายชาติบ้านเมือง เราต้องทำให้เพื่อนบ้านรักเรา ไม่ใช่ให้เขาต้องมีเคียดแค้นชิงชังเราอยู่ดังที่บรรพชนของเราเคยทำกันมา
Make love, No war เท่านั้นคือทางออก!
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: ศูนย์ภาพเครือเนชั่น (Nation Photo)