‘กัมพูชา’ เพลงต่อต้านสงคราม ในอัลบั้มแรกของ ‘แอ๊ด คาราบาว’

‘กัมพูชา’ เพลงต่อต้านสงคราม ในอัลบั้มแรกของ ‘แอ๊ด คาราบาว’

เปิดเรื่องราว ‘กัมพูชา’ เพลงต่อต้านสงครามในอัลบั้มแรกของ ‘แอ๊ด คาราบาว’ ถ่ายทอดพิษภัยสงครามและความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอย่างลึกซึ้ง

KEY

POINTS

  • ประวัติและความหมายเพลง ‘กัมพูชา’ จากอัลบั้มแรกของแอ๊ด คาราบาว
  • สงครามกลางเมืองกัมพูชาและผลกระทบต่อประชาชน
  • ความสัมพันธ์และวิกฤติระหว่างไทย-กัมพูชาในบริบทการเมืองปัจจุบัน

‘กัมพูชา’ เพื่อนบ้านที่สนิท แต่ไม่รู้จัก 

ช่วงนี้กัมพูชาดูจะได้รับความสนใจจากประชาชนชาวไทยไม่น้อย เนื่องจากกำลังมีปัญหาข้อพิพาทเขตแดนกับไทย จนหลายคนประพฤติตนเป็น ‘พระกฤษณะ’ ที่กุมบังเหียนรถม้าให้อรชุนใน ‘มหาภารตยุทธ’ ยุให้กองทัพไทยบุกกัมพูชาเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป 

แต่ก็เดี๋ยวก่อนนะ พระกฤษณะที่บอกว่า “รบเถิดอรชุน” นั่นน่ะ ท่านเป็นเทพเจ้า ท่านรู้ว่าเหล่าญาติพี่น้องที่จะถูกอรชุนสังหารนั้นตายแล้วไปไหน ทุกคนล้วนได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะต่างก็ทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี นั่นมันความคิดความเชื่อของยุคที่ยังมีเพียง ๒ โลก คือ โลกมนุษย์ กับ โลกเบื้องบน หรือสวรรค์ ทุกคนเมื่อตายจะได้ไปเกิดบนสรวงสวรรค์หมด ยังไม่มีนรกภูมิ เพราะงั้นความตายจึงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับยุคของพระกฤษณะและอรชุน แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมเดินดิน เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นไปทั่วทั้งจักรวาลแบบพระกฤษณะ เราไม่มีสิทธิจะยั่วยุให้ใครไปตายเพื่อตัวเองทั้งนั้น  

กระทั่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีเรื่องที่ ‘ฮุนเซน’ ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้เปิดเผยคลิปเสียงที่เป็นการพูดคุยเจรจาลับทางโทรศัพท์กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย นำมาซึ่งวิกฤติของรัฐบาลให้ต้องแก้เกมส์กันพัลวัน เพราะเกิดกระแสเสียงความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ลาออก ยุบสภา และเลยเถิดถึงขั้นเสนอให้กองทัพเข้ามาทำรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้งเพื่อโค่นล้มรัฐบาลแพทองธารกันเลยทีเดียว 

‘กัมพูชา’ แม้เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทย แต่กลับเป็นประเทศที่คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองภายในของเขาน้อย เมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ที่อยู่ห่างไกลอย่างสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย เป็นต้น ผู้นำอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ของอเมริกา หรืออย่าง ‘สีจิ้นผิง’ ของจีน ยังเป็นที่รู้จักในไทยมากกว่า ‘ฮุนเซน’ และ ‘ฮุนมาเนต’ ของกัมพูชา เป็นไหน ๆ 

นักประวัติศาสตร์อุษาคเนย์หลายท่านจึงมักกล่าวกันว่า ความรู้ของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านนั้นอยู่ในสภาพแบบที่เรียกว่า “ใกล้เกลือ กินด่าง” คืออยู่ใกล้ชิดกัน แต่ไม่ได้รู้จักกันเท่าไรเลย แม้แต่ตัวนางสาวแพทองธาร ที่อยู่ในสถานะ ‘ลูกสาวเพื่อน’ และแทนตัวว่า ‘หลาน’ เรียกฮุนเซนว่า ‘ลุง’ อย่างสนิทสนม แต่ทว่าเนื้อหาในคลิปกลับเป็นที่กังขาว่า ไว้เนื้อเชื่อใจฮุนเซนไปได้อย่างไร  

‘กัมพูชา’ อัลบั้มแรกของ ‘แอ๊ด คาราบาว’ ซึ่งได้ชื่อว่าดีที่สุดตลอดกาล 

จะว่าไปนอกเมียนมาร์แล้วก็คือกัมพูชานี่แหล่ะที่เป็นประเทศต้องเผชิญพิษภัยสงคราม ถูกสงครามทำร้ายมาอย่างมาก ชนิดที่ผู้คนเรือนล้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ต้องมาสังเวยชีวิต แต่ไม่กี่สิบปีให้หลัง กัมพูชากลับเป็นประเทศที่มาเป็นคู่กรณีกับไทย จนสุ่มเสี่ยงจะเกิดสงคราม เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนกัมพูชาจะไม่รู้สึกเข็ดหลาบกับสงคราม ในเมื่อหลายคนก็เกิดทันยุคสงคราม หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากสงครามครั้งนั้นก็คือ ‘ฮุนเซน’

น่าเชื่อว่าการยั่วยุสงครามชายแดนกับไทยนี้เป็นปัญหาที่ระดับผู้นำการเมืองต้องการปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อคะแนนนิยมของตนเองเท่านั้น ประชาชนชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับสงครามอย่างแน่นอน แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะการเมืองกัมพูชายังเป็นเผด็จการที่ตระกูลฮุนกุมอำนาจอยู่   
 

อย่างไรก็ตาม ความสนใจต่อกัมพูชาแบบ “ใกล้เกลือ กินด่าง” ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้มาตลอด มีบางช่วงเหมือนกันที่กัมพูชาร่วมสมัยเป็นที่สนใจต่อสาธารณชนชาวไทยอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๓๐ ในช่วงนั้นเอง เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๗ ‘ยืนยง โอภากุล’ หรือ ‘แอ๊ด คาราบาว’ ได้ออกอัลบั้มเพลงชุดแรกชื่ออัลบั้มว่า ‘กัมพูชา’ และมีเพลง ‘กัมพูชา’ เป็นเพลงแรกของอัลบั้ม 
บทเพลงกัมพูชานี้มีเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราวพิษภัยของสงคราม จัดเป็นเพลงต่อต้านสงครามเพลงหนึ่งที่มีในวงการเพลงของไทย เป็นเกียรติยศประดับวงการเพลงของไทย เช่นเดียวกับที่วงการเพลงสากลมีเพลงคลาสสิคตลอดกาลอย่างเพลง ‘Imagine’ ของ ‘John Lennon’ หรืออย่างเพลง ‘Civil war’ ของวง ‘Guns N' Roses’    

‘กัมพูชา’ ได้ชื่อเป็นอัลบั้มคลาสสิกที่ดีที่สุดของ ‘คาราบาว’ ตลอดกาล ดังนั้น เมื่อได้รับการทาบทามจากกองบรรณาธิการ The People.co. ให้เขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนี้ ผู้เขียนจึงไม่ลังเลและตอบตกลงในทันที     

เนื้อเพลงมีดังต่อไปนี้: 

“กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา
สงครามไม่มีความปราณี ไม่มีความอารี มีแต่ทุกข์เวทนา
หลั่งเลือดละเลงน้ำตา กองกระดูกมหึมา กลาง เสียงร้องระงม

ทับถม เลือดเนื้อเชื้อไข มากมาย กลายเป็นเถ้าถ่าน
วันนี้ ไม่เหมือนวันวาน อันตรธาน หายไปในพริบตา
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา

บนเทือกเขา สูงกันยาวเหยียดฟ้า ไม่มีเสียงสัตว์ป่า
มีแต่เสียง ปืนใหญ่ ในเมือง มีผู้หญิงผู้ชาย
วัยเด็ก อยู่กับวัยชรา หวาด ผวา กับสงคราม
ยามสิ้น เสียงปืนแผดก้อง กังวาน ไปทุกหย่อมหญ้า
ผ้าขาวม้า ปลิวหล่นลงพื้นดิน
ธารน้ำซับเลือดริน สายชนกัมพูชา

กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา
สงคราม ไม่มีความปราณี ทั้งบุรุษสตรี แม้ลูกเด็กเล็กแดง
ครอบคลุม ไปทุกหนแห่ง แย่งยื้อ ยุดความมีชัย
ทำลาย ทุกสิ่งที่ผ่านมา พืชพันธุ์ ธัญญาหารล้มลง
ผู้คน ยังคงล้มตาย สิ้นเสียง ปืนนัดสุดท้าย
หาย ไป พร้อมชนกัมพูชา

กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา 
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา 
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา
กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา กัมพูชา” 

สำหรับคนเจนหลัง ๆ ที่เกิดไม่ทัน หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองของทางฝั่งกัมพูชา อาจจะ “งงในงง” ว่าสงครามที่ประเทศกัมพูชาที่เพลงนี้กล่าวถึงคืออะไร?  และในทศวรรษ ๒๕๒๐-๒๕๓๐ นั้นทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ?   

อันเนื่องมาจากรัฐประหารโดย ‘นายพล ลอน นอล’ เมื่อพ.ศ.๒๕๑๓

หลังได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อพ.ศ.๒๔๙๗ กัมพูชาปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสรีอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ต่างจากสยามตรงที่ ‘พระนโรดม สีหนุ’ ซึ่งสถานะเป็นเจ้านายชั้นสูง ชาวกัมพูชานิยมเรียกพระองค์ว่า ‘เจ้าสีหนุ’ ได้สละอภิสิทธิ์ มาลงเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นการเมืองกัมพูชาอยู่ในสภาพได้รับผลประทบจากสงครามเย็น เพราะเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกอย่างเวียดนามเกิดสงครามกลางเมือง และแบ่งประเทศเป็น ‘เวียดนามเหนือ’ ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ (เวียดมินห์) กับ ‘เวียดนามใต้’ ภายใต้ระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มหาอำนาจในยุคนั้น ฝั่งโลกคอมมิวนิสต์ โซเวียตและจีน สนับสนุนเวียดนามเหนือ ขณะที่สหรัฐอเมริกากับฝ่ายโลกเสรี สนับสนุนเวียดนามใต้ 

รัฐบาลกัมพูชายุคเจ้าสหนุ มีนโยบายเป็นกลาง และเป็นมิตรกับจีนคอมมิวนิสต์และเวียดนามเหนือ จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาและกลุ่มผู้นิยมโลกเสรีในกัมพูชา ต่อมากลุ่มนี้ได้สนับสนุน ‘นายพล ลอน นอล’ ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเจ้าสหนุ ลงเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เจ้าสหนุ และครอบครัว ต้องลี้ภัยไปประเทศจีน 

หลังรัฐประหารลอน นอล สังคมกัมพูชายิ่งเกิดความแตกแยกหนักขึ้นไปอีก เนื่องจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ทั้งจีนและขบวนการเวียดมินห์นำโดย ‘โฮจิมินห์’ ไม่อาจยอมให้ฝ่ายอเมริกาครองอำนาจในกัมพูชาได้ เพราะอเมริกาจะสามารถใช้กัมพูชาเป็นฐานโจมตีพวกตนได้มาก โฮจิมินห์และเวียดมินห์จึงสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) ซึ่งนำโดย ‘พอล พต’ ให้เปิดฉากทำสงครามแย่งชิงอำนาจมาจากฝ่ายนายพลลอน นอล ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกากับฝ่ายนายพล ลอน นอล ก็ไม่อาจยอมให้กลุ่มเขมรแดงเข้ามามีบทบาทได้ และได้ดำเนินการปราบปรามฝ่ายเขมรแดงที่เคลื่อนไหวอยู่ในเมืองอย่างรุนแรง กลุ่มเขมรแดงจึงย้ายฐานปฏิบัติการไปอยู่ในชนบท และต่อสู้โดยใช้ยุทธศาสตร์ ‘ชนบทล้อมเมือง’ แบบเหมาอิสต์ต่อไป  

ดังนั้น สงครามกลางเมืองในกัมพูชาทิศวรรษ ๒๕๑๐ จึงเป็นสงครามการเมืองแบบมีตัวแทน หรือ ‘สงครามตัวแทน’ แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ‘ฝ่ายเขมรแดง’ เป็นตัวแทนของขบวนการคอมมิวนิสต์ ได้รับการสนับสนุนจากจีนแดงและเวียดมินห์ และ ‘ฝ่ายรัฐบาล ลอน นอล’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้ สงครามนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเวียดนามนั่นเอง      

สงครามกลางเมืองในกัมพูชา ระบอบพอลพต และทุ่งสังหาร (Killing field) 
หลังจากสู้รบกันผ่านไปเป็นเวลา ๕ ปี ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลลอน นอล ก็พ่ายแพ้ให้แก่เขมรแดง กลุ่มเขมรแดงได้เข้ายึดกรุงพนมเปญไว้ได้เบ็ดเสร็จเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๘ ต่อมาเขมรแดงได้ประกาศจัดตั้ง ‘กัมพูชาประชาธิปไตย’ ขึ้นปกครองประเทศตามแนวทางสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แล้วการ ‘ชำระแค้น’ ของฝ่ายเขมรแดงก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เขมรแดงยึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ 

ประกอบกับในปลายเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๑๘ เดือนปีเดียวกับที่เขมรแดงชนะนั้น ฝ่ายเวียดนามเหนือก็ประสบความสำเร็จบุกยึดกรุงไซ่ง่อน ชนะเบ็ดเสร็จต่อฝ่ายเวียดนามใต้เช่นกัน จึงทำให้รัฐบาลเขมรแดงไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในภูมิภาคอินโดจีน เวลานั้นอำนาจของรัฐบาลพอล พต จึงดูมั่นคงมาก 

การชำระแค้นที่ว่านี้ก็คือการชำระแค้นที่ฝ่ายรัฐบาล ลอน นอล และสหรัฐอเมริกา ได้เคยปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์และผู้ต้องสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ทีนี้ก็กลับกัน บรรดาผู้คนที่ต้องการสงสัยว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลเก่ายุคนายพล ลอน นอล ตลอดจนผู้ต้องสงสัยว่ามีความคิดโน้มเอียงไปทางฝ่ายสหรัฐอเมริกา ต่างถูกจับกุมมาสอบสวน ลอบประทุษร้าย ลอบสังหาร และส่งไป ‘นารวม’ 

ผลการชำระแค้นของเขมรแดง ทำให้ผู้คนชาวกัมพูชาล้มหายตายจากกันแบบนับไม่ถ้วน เกิดกรณีที่เขย่าขวัญสั่นสะเทือนโลกที่เรียกว่า ‘ทุ่งสังหาร’ (Killing field) และในครั้งนั้นแม้แต่กลุ่มคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับพอล พต เองก็โดนหางเลขไปด้วย เพราะพอล พต กับพวกมีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าจะถูกลอบสังหารจากฝ่ายอเมริกาและรัฐบาลเก่า      

ในฝ่ายเขมรแดงเองโดยเฉพาะผู้ที่เห็นต่างจากพอล พต จึงอยู่กันอย่างหวาดกลัว และคิดอ่านโค่นล้มอำนาจพอล พต เพื่อยุติทุ่งสังหาร ในจำนวนนี้ได้มีการก่อตั้ง ‘แนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร’ (Khmer People's National Liberation Front or KPNF) ขึ้นอย่างลับ ๆ โดยได้ลอบติดต่อกับเวียดนามอยู่เป็นระยะ ก่อนจะเปิดฉากสู้รบกับกองกำลังเขมรแดงโดยตรงในเวลาต่อมา จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๒๒ เขมรแดงกลุ่มหนึ่งนำโดย ‘เฮง สัมริน’ ได้ลอบเจรจาลับขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม และนำกองทัพเวียดนามบุกพนมเปญ โค่นล้มพอล พต ลงได้สำเร็จ 
แต่กลุ่มของพอล พต ก็ยังไม่ถูกกวาดล้างหมดสิ้น พวกเขาหลบหนีขึ้นไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และทำการสู้รบกับรัฐบาลเฮง สัมริน ต่อมา โดยที่เวียดนามไม่อาจคงกำลังทหารไว้ในกัมพูชาได้ต่อไป ต้องถอนตัวออกจากกัมพูชา เพราะเวียดนามเพิ่งรวมประเทศได้สำเร็จและเผชิญความเจ็บปวดจากการถูกรุกรานและยึดครองจากมหาอำนาจ เมื่อได้อำนาจตนเองจะมาประพฤติตัวเป็น ‘จักรวรรดินิยม’ เสียเองไม่ได้ อีกทั้งการบุกกัมพูชายังเป็นไปด้วยเหตุผลแค่ว่าเพื่อยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยกลุ่มพอล พต เท่านั้น ไม่ได้ต้องการจะยึดครองกัมพูชา แต่แน่นอนเวียดนามยังคงมีอิทธิพลทั้งต่อรัฐบาลและกลุ่ม KPNF อยู่ต่อมา  

กัมพูชาประชาธิปไตยกับสงครามเขมร ๔ ฝ่าย 

สงครามในกัมพูชาหลัง พ.ศ.๒๕๒๓ ซึ่งจะเรื้อรังยาวนานมาจนถึงพ.ศ.๒๕๓๔ เป็นสงครามระหว่างรัฐบาลฝ่ายเฮง สัมริน ซึ่งมีเวียดนามสนับสนุน กับฝ่ายเขมรแดง ซึ่งยังคงครองอำนาจอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ สงครามนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อเจ้าสีหนุกลับจากจีนมาก่อตั้ง ‘พรรคฟุนซินเปก’ (Funcinpec party) ขึ้น และกลุ่ม KPNF ซึ่งเป็นกลุ่มแปรพักตร์จากเขมรแดง ก็ยังคงมีฐานะที่มั่นทำการสู้รบอยู่ จึงเกิดเป็นยุคเขมรสู้รบและขัดแย้งกันแบ่งเป็นสี่ฝ่าย ฝ่ายเฮง สัมริน, ฝ่ายเขมรแดง, พรรคฟุนซินเปก และ KPNF กว่าจะเจรจายุติสู้รบ ฟื้นฟูสันติภาพ ได้ก็ พ.ศ.๒๕๓๔ กว่าจะจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติได้ก็ล่วงมาจนพ.ศ.๒๕๓๖ 

ผลการเลือกตั้งครั้งนั้น กลุ่มที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดคือพรรคฟุนซินเปก รองลงมาคือฝ่ายฮุนเซน ซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากกลุ่มเฮง สัมริน เจ้าสีหนุได้กลับมามีอำนาจ ฟื้นฟูประเทศ จัดตั้งรัฐบาลผสม และปกครองในระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ (Constitution king) แต่ฝ่ายเขมรแดงก็ยังคงครองพื้นที่บางส่วน และต่อสู้แย่งชิงอำนาจอยู่ต่อมา จนกระทั่งพ.ศ.๒๕๔๑ จึงได้สลายตัวไป พอล พต ถูกจับกุมตัวได้และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยการกักบริเวณในบ้านพักของตนเอง จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๑ ขณะอายุ ๗๒ ปี         

‘ฮุน เซน’ เป็นใคร มาจากไหน?  

แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มลูกชาวนา เป็นเชื้อจีนปนเขมร (จปข.) ในจังหวัดกำปงจาม เข้าร่วมอยู่กับเขมรแดง ในสังกัดของเฮง สัมริน ต่อมาเมื่อเฮง สัมริน นำกองทัพเวียดนามเข้ามายึดกัมพูชาได้สำเร็จ และเฮง สัมริน หมดอำนาจ ฮุน เซน ก็ได้ขึ้นมาแทนที่และได้ครองอำนาจ ต่อมาได้เข้าร่วมก่อตั้งรัฐบาลกับพรรคฟุนซินเปก ก่อนจะหักหลังเจ้าสีหนุ โดยมีส่วนสำคัญในการก่อรัฐประหารเมื่อพ.ศ.๒๕๔๐ หลังจากนั้น ฮุน เซน ก็ครองอำนาจเรื่อยมา 

แม้ว่า หลังปี พ.ศ.๒๕๖๖ เป็นต้นมา ‘ฮุน มาเนต’ บุตรชาย จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนฮุน เซน ผู้เป็นบิดา แต่เป็นที่รู้กันว่า ผู้ถือครองอำนาจแท้จริงในกัมพูชา ณ เวลาปัจจุบันนี้ ยังคงเป็นฮุน เซน คนเดิม การที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย จะต่อรองเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ต้องต่อสายไปคุยกับฮุน เซน ไม่ใช่ฮุน มาเนต ก็ด้วยเหตุว่า ฮุน เซน ยังเป็นผู้ถือครองอำนาจอยู่นั่นเอง     
จากกัมพูชา ย้อนมองสังคมไทยหลังป่าแตก

ย้อนกลับมาที่เพลงกัมพูชาของแอ๊ด คาราบาว ณ พ.ศ.๒๕๒๗ ที่อัลบั้มเพลงนี้ได้ออกวางแผงอยู่นั้น ยังไม่มีใครรู้หรอกว่า สงครามกลางเมืองที่แบ่งฝ่ายสู้รบกันอิรุงตุงนังในสมัยนั้น จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไร ใครจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ที่แน่ ๆ กัมพูชาเป็นประเทศที่บอบช้ำอย่างหนักจากสงคราม ประชาชนเผชิญภาวะความอดอยากยากจนแร้นแค้นกันทั่วประเทศ ต้องอพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ตามแนวชายแดนประเทศไทยและรับความช่วยเหลือจากนานาชาติเป็นอันมาก  

แต่เพลงนี้ในบริบทเมื่อครึ่งหลังทศวรรษ ๒๕๒๐ มีความหมายมากกว่าการเล่าเรื่องบ้านเมืองกัมพูชา หากแต่ยังสื่อนัยถึงสังคมไทยเองด้วย เพราะสังคมไทยเองเวลานั้นก็มีความแตกแยกและเพิ่งผ่านสงครามแบ่งฝ่ายสู้รบกันมาเช่นกัน คือ สงครามระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ซึ่งก็เรื้อรังยาวนานมากว่า ๒ ทศวรรษ (พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๒๕)   

ก่อนหน้าที่อัลบั้มกัมพูชาจะวางแผง ๒ ปี สังคมไทยเพิ่งผ่านยุคป่าแตก ดังนั้น จึงเหมือนเป็นเพลงได้ทำหน้าที่สื่อแนวคิดต่อต้านสงครามภายในโดยใช้กัมพูชาเป็นกรณีศึกษา แบบอย่าง หรือบทเรียนด้วย    

เหตุการณ์สำคัญหลังจากนั้นคือต่อมาในพ.ศ.๒๕๓๓ รัฐบาล ‘พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ’ ได้เสนอนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งมีรูปธรรมคือการสร้างตลาดการค้าที่ชายแดนฝั่งบ้านโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว  

จากคลิปเสียงการสนทนาระหว่างแพทองธารกับฮุนเซน สะท้อนว่าฮุนเซนมีความกังวลต่อกรณีที่ไทยปิดด่านค่อนข้างมากและอย่างเห็นได้ชัด ยุคนี้อำนาจที่สตรองอย่างแท้จริง ยังคงเป็น ‘อำนาจเศรษฐกิจ’ ไม่ใช่อำนาจทางการทหาร ตรงข้าม การใช้กำลังทหารรังแต่จะเข้าทางฝ่ายฮุนเซนที่ต้องการยั่วยุให้เกิดสงครามอยู่แล้ว… ปราศจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าจากสมัยพลเอกชาติชายแล้ว นึกไม่ออกว่าไทยจะมีอะไรไปต่อรองกับกัมพูชาภายใต้นักการเมืองอย่าง ‘ฮุนเซน’ ได้    

เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์

อ้างอิง
     Bultmann, Daniel. The Social Order of Postconflict Transformation in Cambodia: Insurgent Pathways to Peace. Maryland: Lexington Books, 2019. 
     Chandler, David. Facing the Cambodian Past. Chiang Mai: Silkworm Books, 1996. 
     Dy, Khamboly. A History of Democratic Kampuchea 1975-1979. Phnom Penh, Cambodia: Documentation Center of Cambodia, 2007. 
     Gottesman, Evan. Cambodia after the Khmer Rouge: Inside the Politics of Nation Building. Chiang Mai: Silkworm Books, 2004.  
     Kiernan, Ben. The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975-1979. London: Yale University Press, 2008. 
     Mabbett, Ian and Chandler, David. The Khmers. Oxford: Blackwell Publishers, 1995. 
     Micale, Mark and Pols, Hans (ed.). Traumatic Pasts in Asia: History, Psychiatry, and Trauma from the 1930s to the Present.  New York: Berghahn, 2021.