อมรา อัศวนนท์ : เบื้องหลังแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร

อมรา อัศวนนท์ : เบื้องหลังแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร

เรื่องราวของ ‘อมรา อัศวนนท์’ นางเอกหนังไทยที่แฟนภาพยนตร์เสนอแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร

ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ‘คดีปราสาทเขาพระวิหาร’ ก็มักจะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์บาดแผลสำหรับคนไทยหัวใจ ‘ชาตินิยม’ ซึ่งผิดหวังกับการตัดสินของศาลโลกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 ที่ตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา 

ย้อนกลับไปราว 60 กว่าปี ก่อนศาลโลกจะมีคำตัดสิน การต่อสู้คดีปราสาทเขาวิหารนับเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ของคนไทยเลยก็ว่าได้ อาทิ เกิดแนวคิดรวมพลังคนไทยร่วมใจบริจาคเงินคนละ 1 บาท สนับสนุนรัฐบาลเพื่อจ้างทนายและผู้เชี่ยวชาญต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร เกิดการเดินขบวนของนักเรียนและคณะครู เกิดการรับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อสมทบทุนช่วยรัฐบาล เกิดการจัดกิจกรรมกีฬาและความบันเทิงในเชิงการกุศลเพื่อนำรายได้มอบให้แก่รัฐบาลไปสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร เช่น มวยไทย ‘ศึกเขาพระวิหาร’  แบตมินตัน ‘รายการเขาพระวิหาร’  และภาพยนตร์การกุศล ‘รอบเขาพระวิหาร’ 

ไปจนถึงกระทั่งว่า มีแฟนภาพยนตร์ไทยบางคนในขณะนั้น เสนอแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ การกุศล ให้แก่นางเอกสาว ‘อมรา อัศวนนท์’ ดาราขวัญใจคนไทย 

นางเอกสาวขวัญใจคนไทย ‘อมรา อัศวนนท์’

อมรา อัศวนนท์’ เป็นธิดาคนโตของหลวงประเจิดอักษรลักษณ์ (สมโภช อัศวนนท์) กับมาดามยอร์เฮท (Georgette) ชาวฝรั่งเศส สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวดนางสาวไทยเมื่อปี พ.ศ. 2496 ขณะอายุ 17 ปี โดยได้รับตำแหน่งรองอันดับสี่ และเป็นนางงามไทยคนแรกที่เข้าร่วมประกวดนางงามจักรวาลในปี ค.ศ. 1954 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย อมรา อัศวนนท์ เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการรับบทบาทสำคัญเป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่อง ‘ปริศนา’  (พ.ศ. 2498) และมีผลงานภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายสิบเรื่อง อาทิ เล็บครุฑ เห่าดง แววมยุรา รวมทั้งยังสร้างชื่อด้วยการคว้ารางวัลพระสุรัสวดี ประเภทนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี พ.ศ. 2501 จากภาพยนตร์เรื่อง รักริษยา ซึ่งด้วยบุคลิกที่สวย สง่างาม และทันสมัย ทำให้มีนักข่าวตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น ‘เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เมืองไทย

ในช่วงปี พ.ศ. 2501 – 2502 ขณะที่นางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ กำลังเป็นสาวฮอตแห่งวงการบันเทิงไทย ก็เป็นช่วงที่รัฐบาลไทยกำลังเริ่มต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารกับกัมพูชา โดยกัมพูชาได้นำเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทเขาพระวิหารเข้าสู่ศาลโลกเพื่อพิจารณาในช่วงต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2502 เป็นผลทำให้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ประชาชนคนไทยเกิดการระดมทุนบริจาคเงินคนละ 1 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่รัฐบาลนำไปจ้างทนายและผู้เชี่ยวชาญสำหรับสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร รวมทั้งเกิดกิจกรรมประมูลสิ่งของและจัดกิจกรรมการกุศลต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน นำรายได้มาสมทบทุนให้แก่รัฐบาล

นางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ ที่ในขณะนั้นกำลังเดินสายประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง คนองปืน เป็นดาราภาพยนตร์ไทยคนแรก ๆ ที่ออกมาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยรัฐบาลไทยต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร โดยเธอได้เดินทางไปบริจาคเงินจำนวน 1,000 บาท ด้วยตนเองที่สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี ดังที่หนังสือพิมพ์ในตอนนั้น รายงานข่าวว่า

ดาราภาพยนตร์ของไทยคนหนึ่งซึ่งมีเลือดรักชาติแรงกล้าไม่แพ้ชายอกสามศอก คือ อมรา อัศวนนท์ ดาราภาพยนตร์ไทยชื่อก้อง ได้ไปปรากฏตัวที่สถานรับเงินบริจาคสู้เขาพระวิหาร เมื่อเวลา 11 น. เศษวานนี้ เธอบอกว่ามาเพื่อบริจาคเงินเพื่อสู้คดีเขาพระวิหาร เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท ในนามของภาพยนตร์ไทยเรื่อง คนองปืน  อมรา อัศวนนท์ กล่าวต่อไปว่าการบริจาคนี้ก็เพื่อเป็นตัวอย่างแก่น้อง ๆ แฟน ๆ และเพื่อนดาราภาพยนตร์ด้วยกัน

ไม่เพียงแต่มีใจรักชาติ ด้วยความฮอตของนางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ ทำให้มีแฟนภาพยนตร์ไทยผู้หนึ่งส่งจดหมายมาถึงหนังสือพิมพ์สารเสรี เสนอแนวคิดให้ อมรา อัศวนนท์  ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ ด้วยวิธีการเปิดรับบริจาคอุทิศจุมพิตให้แก่แฟน ๆ ภาพยนตร์ในเชิงการกุศลเพื่อนำรายได้สมทบทุนรัฐบาลสู้คดี 

 

อมรา อัศวนนท์ ‘จุมพิตเพื่อชาติ’

ในวันเดียวกับที่นางเอกสาว อมรา อัศวนนท์  เดินทางไปมอบเงินบริจาคช่วยรัฐบาลสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารที่สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี ก็มีแฟนภาพยนตร์ไทยผู้หนึ่งเขียนจดหมายมาถึงหนังสือพิมพ์สารเสรี เสนอแนวคิดให้นางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ อุทิศจุมพิตช่วยชาติ ดังที่หนังสือพิมพ์เปิดเผยเนื้อหาของจดหมายฉบับนี้ว่า

ท่านบรรณาธิการน่าจะริเริ่มดำเนินงานนี้ได้ เพราะมีความรอบรู้และเข้าใจเหตุการณ์เป็นอย่างดี อาจแนะนำกับสุภาพสตรีเช่นดาราภาพยนตร์หรือผู้มีคุณสมบัติในวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ผมขอความกรุณายกตัวอย่างสักคนหนึ่งในคณะเจ้าหน้าที่ของท่านที่มีความเหมาะสมทั้งความรู้และความมีชื่อเสียง เช่นคุณ อมรา อัศวนนท์ หากจะให้คุณอมรา อัศวนนท์ แสดงการเชิญชวนหรือเรียกร้องเช่นประวัติศาสตร์คงจะเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ชาติใด สมมุติว่าคุณอมราจะอุทิศจุมพิตในกรณีสมทบทุนสู้คดีของชาติ ก็ไม่ใช่จะเป็นการด่างพร้อยเช่นกับจุมพิตในภาพยนตร์ และจะเป็นเกียรติยิ่งใหญ่กว่าการแสดงภาพยนตร์ด้วย หวังว่าท่านบรรณาธิการจพิจารณาความเห็นของผมนี้ด้วยดีอีก

กระแสข่าวแนวคิด อมรา อัศวนนท์ จะอุทิศ ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร สร้างความฮือฮาบนหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงวันที่ 27 – 28 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เป็นอย่างมาก ทำให้มีนักข่าวเดินทางไปสัมภาษณ์ อมรา อัศวนนท์ ถึงกลางกองถ่ายภาพยนตร์ ซึ่ง อมรา อัศวนนท์ ก็ตอบนักข่าวอย่างอารมณ์ดีและชาญฉลาดว่า 

สุภาพสตรีที่จะช่วยชาติด้วยการจุมพิตแบบในต่างประเทศนั้น จะต้องกล้ามากและถ้าจะมีก็คงจะบางคน เพราะเกี่ยวด้วยประเพณีนิยมของไทยไม่เหมือนกัน ที่มีผู้เสนอขอความเห็นแล้วอ้างถึงการจะไม่เสียหายในเมื่ออุทิศเพื่อชาติเปรียบเทียบดิฉันในการแสดงภาพยนตร์ ความจริงดิฉันเวลาแสดงไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกันถึงอย่างนั้น เพราะประเพณีนิยม ที่เห็นถึงอย่างนั้นก็ด้วยศิลปะการถ่ายต่างหาก” 

นอกจากนี้ อมรา อัศวนนท์ ยังให้ความเห็นกับหนังสือพิมพ์เพิ่มเติมว่า ด้วยขนบวัฒนธรรมประเพณีของไทยน่าจะยังไม่มีการจุมพิตในที่เปิดเผยแบบต่างประเทศ และ “สงสัยว่าสุภาพบุรุษคนใดในเมืองไทยจะมาซื้อ” โดยหนังสือพิมพ์ก็ได้บรรยายการตอบสัมภาษณ์ของนางเอกสาว อมรา อย่างน่ารักว่า “อมรากล่าวตอนท้ายพร้อมกับหัวเราะเสียงใส” 

 

อมรา อัศวนนท์ : เบื้องหลังแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร

ภาพนางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ เดินทางไปบริจาคเงินสมทบทุนรัฐบาล
ช่วยต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร ที่ สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี
                    ที่มาภาพ : สารเสรี 27 ตุลาคม 2502

 

อมรา อัศวนนท์ : เบื้องหลังแนวคิด ‘จุมพิตเพื่อชาติ’ สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร

ภาพหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว อมรา อัศวนนท์ เปิดหัวใจ ‘อุทิศจุมพิต’ สมทบทุนสู้คดีเขมร (กัมพูชา)
ที่มาภาพ : สารเสรี 28 ตุลาคม 2502

 

แม้การอุทิศจุมพิตเพื่อชาติของนางเอกสาว อมรา อัศวนนท์ จะมิได้เกิดขึ้น แต่ก็ได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจต่อมาให้แก่สุภาพสตรีผู้หนึ่งที่ชื่อ ‘นิยะดา ไพรชมภู’ แจ้งแก่หนังสือพิมพ์สารเสรีในวันต่อมาว่า ตนเองพร้อมประมูลจุมพิตจำนวน 10 ครั้ง เพื่อสมทบทุนสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะถือว่า “ทหารยังสละชีพได้” และ “ชาติย่อมอยู่เหนือประเพณี”  แต่ทว่าสุดท้ายการประมูลจุมพิตครั้งนี้ น่าจะมิได้เกิดขี้นเช่นกัน

ในท้ายที่สุด แม้ต่อมาศาลโลกจะตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2505 แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ปราสาทเขาพระวิหารมิได้เป็นเพียงวัตถุโบราณสถานเท่านั้น แต่ถูกยึดโยงกับสำนึกความเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ ประชากร ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย รวมไปถึงสำนึกแห่งความเป็น ‘ชาติ’ ดังนั้น เส้นเขตแดนที่ไม่มีอยู่จริง (บางคนเรียกว่า เส้นสมมุติ) จึงกลับส่งผลกระทบต่อมนุษย์/ประชาชนผู้มีจิตใจไม่ว่าจะหญิงหรือชาย จะประกอบอาชีพใด ๆ ทั้ง ทหาร ตำรวจ พ่อค้าแม่ค้า นักเรียน ดารา หรือคนขายดอกไม้ ก็ล้วนพร้อมที่จะเสียสละตนภายใต้วาทศิลป์ ‘เพื่อชาติ’ อาทิ เสียชีพเพื่อชาติ เสียสัตย์เพื่อชาติ  และจุมพิตเพื่อชาติ.

 

ภาพ : สารเสรี 27 ตุลาคม 2502 & สารเสรี 28 ตุลาคม 2502