‘The Tortured Poets Department’ อัลบั้มกลั่นจากใจ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ หัวหน้ากวีผู้ชอกช้ำ

‘The Tortured Poets Department’ อัลบั้มกลั่นจากใจ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ หัวหน้ากวีผู้ชอกช้ำ

รีวิว ‘The Tortured Poets Department’ อัลบั้มที่ 11 ของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ในฐานะหัวหน้าเหล่ากวีผู้ชอกช้ำทั้งมวล

KEY

POINTS

หลังจากที่อัลบั้ม ‘Midnights’ ถ้อยคำรำพึงจากเที่ยงคืนเงียบสงัด ได้สร้างปรากฏการณ์ล้างชาร์ตเพลงของ Billboard Top 10 และคว้ารางวัลอัลบั้มแห่งปีจากเวทีใหญ่วงการดนตรีอย่าง ‘Grammys’ ทั้งยังเป็นรางวัลอัลบั้มแห่งปีรางวัลที่ 3 ที่ส่งให้ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ กลายมาเป็นศิลปินหญิงคนแรกและเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ถึงสามครั้งด้วยกัน

นั่นยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวความสำเร็จของเทย์เลอร์ที่เราหยิบยกมาเท่านั้น เพราะเรายังไม่ได้กล่าวถึงภาพยนตร์คอนเสิร์ต ‘The Eras Tour’ บนแพลตฟอร์ม Disney+ ที่ตัวภาพยนตร์เองก็สามารสร้างปรากฏการณ์ในการกลายมาเป็นภาพยนตร์ที่มีรายได้สูงสุดตลอดการในหมวดหมู่สารคดีและภาพยนตร์คอนเสิร์ตทั้งหมด โดยกวาดรายได้ไปมากถึง 261.6 ล้านเหรียญทั่วโลก 

ยังไม่นับรวมทัวร์คอนเสิร์ตที่ยังคงดำเนินการแสดงไปทั่วโลกคืนแล้วคืนเล่า และแม้การทัวร์จะยังไม่จบลง แต่ทัวร์ของเทย์เลอร์ก็ได้ขึ้นบัลลังก์เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลไปเรียบร้อยแล้ว โดยทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญ

ถึงอย่างนั้น นักร้องและนักประพันธ์เพลงผู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีวันหยุดงาน อาจเพราะว่าการร้อยเรียงเรื่องราวเป็นบทกลอนได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของเธอ ไม่ต่างจากการหายใจเข้าออก แม้ว่าเทย์เลอร์จะมีวันที่โหดร้ายเพียงใด เธอก็ยังคงทำงาน และประพันธ์เรื่องราวออกมาได้ ‘ด้วยหัวใจที่แม้จะแตกสลายไปแล้วของเธอ’

เทย์เลอร์ได้ออกมาประกาศบนเวที Grammy ว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอมีความลับที่เก็บงำไว้จากแฟน ๆ ซึ่งนั่นก็คืออัลบั้มใหม่ลำดับที่ 11 ซึ่งเป็นเพลงป๊อบในชื่อ ‘The Tortured Poets Department’ 

“และตอนนี้ ตัวข้าของเบิกทั้งพยานและหลักฐาน อันตราประทับด้วยความมัวหมองของข้าผู้นี้ ตราบจนความเชื่อ ความศรัทธา และรอยช้ำชอกที่ได้มา รวมทั้งเครื่องรางและเสน่ห์หา ซึ่งส่งให้เสียงของนาฬิกา ร้องเตือนถึงรักร้าวที่กำลังจะสลายแหลก จนเลือดในกายข้าเปลี่ยนแปลก กลายเป็นหยาดหมึกสีนิล — ทุกอย่างล้วนเท่าเทียมและเที่ยงตรงในความรักและบทกวี ด้วยรักยิ่ง จากหัวหน้าแผนกของเหล่านักกวีผู้แหลกสลาย”

นี่เป็นถ้อยคำโปรยอัลบั้มใหม่ที่เพิ่งถูกปล่อยสู่สาธารณะชน ซึ่งสามารถบอกถึงเนื้อหาและภาพรวมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ว่าอัลบั้มนี่จะต้องเต็มไปด้วยรอยร้าว บาดแผล ความสำนึกผิด และความโศกเศร้า จากการสูญเสียสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้ครอบครอง

อาจจะเพราะมีความเป็นไปได้ที่บ่งชี้ว่า หลายเพลงในอัลบั้มนี้อาจจะเกิดขึ้นจากการจบความสัมพันธ์ระยะเวลา 6 ปี กับอดีตแฟนหนุ่มอย่าง ‘โจ อัลวิน’ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชายผู้ฉุดรั้งเธอขึ้นมาจากความวุ่นวายในอดีต และแต่งแต้มสีสันหลากรสให้กับชีวิตของเธอ ที่ท้ายที่สุดแล้วต้องจบลงอย่างน่าใจหาย

หากจะให้อธิบายเพิ่มเติมว่าอัลบั้มนี้จะสามารถพรรณาความเศร้าได้มากมายสักแค่ไหนกันนะ ผู้เขียนก็คงต้องขอเบิกทั้งพยานและหลักฐานเช่นกัน โดยก่อนการปล่อยอัลบั้มใหม่นี้ เทย์เลอร์ได้จัดเพลย์ลิสต์เพื่อโปรโมตอัลบั้ม โดยใช้ปกอัลบั้ม 5 ปกใน โดยแต่ละเพลย์ลิสต์จะเป็นตัวแทนระยะในภาวะการสูญเสียทั้ง 5 นั่นเอง ซึ่งแต่ละปกนั้นยังแฝงเนื้อเพลงจากอัลบั้มมาอีกด้วย

ระยะที่ 1 — ‘Denial’ ระยะปฏิเสธความจริง โดยใช้ปกที่มีเนื้อเพลงว่า “I Love You, It’s Ruining My Life — ฉันหลงรักคุณ และนั่นเป็นสิ่งย้อนมาทำลายชีวิตของฉันเอง”

ระยะที่ 2 — ‘Anger’ ระยะโกรธ โดยใช้ปกที่มีเนื้อเพลงว่า “You Don’t Get to Tell Me About Sad — คุณไม่มีสิทธ์ที่จะมาบอกฉันว่าความโศกเศร้านั้นเป็นเช่นไร”

ระยะที่ 3 ‘Bargaining’ ระยะต่อรอง ปกของเพลย์ลิสต์นี้ใช้เนื้อเพลงว่า “Am I Allowed to Cry? — ฉันได้รับอนุญาตให้ร้องไห้ไหมนะ?”

ระยะที่ 4 ‘Depression’ ระยะโศกเศร้า เพลย์ลิสต์นี้ใช้เนื้อเพลงว่า “Old Habits Die Screaming — การกระทำที่คุ้นเคยได้ตายจากไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง” 

ระยะที่ 5 ‘Acceptance’ ระยะยอมรับความจริง ได้เนื้อเพลงที่มีความว่า “I Can Do It With a Broken Heart — ฉันยังคงเดินหน้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยหัวใจพัง ๆ ดวงนี้ได้อยู่”

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงแค่ ‘การซ้อมเป็นคนเศร้า’ เพียงเท่านั้น เพราะของจริงแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับเพลงในอัลบั้มใหม่อย่างแน่นอน

ย้อนกลับไปเมื่อวันวาน เมื่อครั้งที่เทเลอร์ยังเป็นสาวน้อยวัยละอ่อน เธอเขียนเพลงมากมายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวจากสองแง่มุมหลัก ๆ นั่นก็คือยามตกหลุมรัก และยามแตกสลายจากความรัก ซึ่งตรงใจวัยรุ่นมากมาย 

ปัจจุบัน เทยเลอร์เติบโตขึ้นมาก ผ่านมรสุมพายุมากมายที่ทำให้เธอใสสะอาดและแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าแง่มุมที่เธอมีต่อความรักนั้นย่อมแตกต่างออกไป เมื่อสุขสม ย่อมสุขสมอย่างสุขล้น เมื่อชอกช้ำ ก็ย่อมชอกช้ำอย่างท่วมท้นเช่นกัน 

บทเพลงของเธอจึงกล่าวถึงความเจ็บปวดที่จมดิ่งลึกเข้าไปในหัวใจมากยิ่งขึ้น บาดแผลฉกรรจ์ ความทรงจำฝังรากลึก ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านถ้อยคำซึ่งถูกตรึกตรองและสง่างาม 

‘Folklore’ อัลบั้มที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีครั้งที่สองของเทย์เลอร์จากงานประกาศรางวัล Grammys Award เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางถึงการใช้ภาษาและเปรียบเปรยได้อย่างสละสลวยเสียเหลือเกิน ตัวอย่างที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นซิงเกิ้ลแรกอย่าง ‘Cardigan’ ที่ในปัจจุบันยังคงเป็นไวรัลทั้งในส่วนของเนื้อเพลงและทำนองดนตรีบนแพลตฟอร์มคลิปวิดีโออย่าง Tiktok เมื่อครั้งที่เธอเขียนเพลงในอัลบั้มนั้น เธอเคยให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า เธอจินตนาการภาพตัวเองว่านั่งแต่งเพลงเพลงอยู่ในกระท่อมลึกเข้าไปในป่าซึ่งร้างห่างไกลผู้คน

เทย์เลอร์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘กวี’ ที่เก่งกาจเหลือเกิน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็นกวีอย่างเป็นทางการเลยสักครั้งก็ตาม แต่ผลงานถ้อยคำและเรื่องราว ที่เธอได้แจกจ่ายสู่แฟนเพลงนับล้าน ก็เป็นเครื่องยืนยันความเป็นกวีของเธออยู่ดี

แต่ครั้งนี้ เธอไม่เพียงแค่ประกาศว่าเธอเป็นกวีอย่างเต็มตัว แต่เธอยังแต่งตั้งตัวเองเป็นถึง ‘ผู้บริหารแห่งแผนกของเหล่ากวีผู้ชอกช้ำทั้งมวล’ อีกด้วย แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นเต้นไปกับเรื่องราวและบทบาทใหม่ที่เทย์เลอร์กำลังจะถ่ายทอดได้อย่างไรกัน 

เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ตัวอัลบั้มก็ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ โดยประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 16 เพลง และข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ที่ใจจดใจจ่อรอฟังผลงานเพลงใหม่ของเธอมาแสนนานคือภายในวันเดียวกันนั้น เทย์เลอร์ได้โพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของเธอว่า อัลบั้มนี้จะเป็น ‘Double Albums’ หรือ ‘อัลบั้มคู่’ นั่นเอง อย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นกับ ‘Folklore’ ที่มีอัลบั้มน้องสาวอย่าง ‘Evermore’ โดยจะมีเพลงใหม่ที่เพิ่มเข้ามา รวมเป็นทั้งหมด 31 เพลง อัลบั้มคู่ที่เพิ่มมา เธอให้ชื่อว่า ‘The Tortured Poets Department: The Anthology’ เธอบอกว่าเธอเขียนบทกวีเหล่านี้เอาไว้มากมายจริง ๆ และอยากจะแบ่งปันทั้งหมดนี้กับแฟน ๆ ของเธอจริง ๆ 

โดยมีหนึ่งเพลงในนั้นที่จะถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ลแรกพร้อมมิวสิควิดีโอ นั่นคือเพลง ‘Fortnight (feat. Post Malone)’ ซึ่งถูกปล่อยในเช้าวันถัดมาตามเวลาประเทศไทย

“ฉันเป็นแฟนตัวยงของ ‘โพสต์ มาโลน’ มาตลอด ทั้งการเขียนเพลงของเขา การทดลองดนตรีในแบบต่าง ๆ ของเขา รวมไปถึงเมโลดีที่เขาเรียบเรียงซึ่งมันจะฝังเขาไปในหัวเราตลอดกาล และฉันก็ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์นั้นเป็นคนแรกในตอนเราสร้างสรรค์ Fortnight ด้วยกัน ตรง ๆ เลยนะคะ ฉันรอแทบไม่ไหวเลยที่พวกคุณจะได้ฟังเพลงนี้ตอนเที่ยงคืนนี้ และได้ชมเอ็มวีในตอนสองทุ่มวันพรุ่งนี้ (ตามเวลาฝั่งตะวันออก)”

ชื่อเพลง Fortnight มีความหมายว่า ‘สองสัปดาห์’ ในที่นี่หมายความว่าสองสัปดาห์แห่งความสุขที่เราสองได้รักกัน จากเนื้อเพลงทั้งหมด ผู้เขียนตีความได้ว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่แอบนอกใจภรรยาของเขาเพื่อมามีความสัมพันธ์กับหญิงสาวบ้านข้าง ๆ ก็เป็นได้

“And for a fortnight there we were forever runin’ 
‘Til you sometimes ask about the weather
Now you’re in my backyard, turned into good neighbors
Your wife waters flowers, I want to kill her”

“เมื่อสองสัปดาห์นั้นที่ความรักของเราเบ่งบาน จนมาตอนนี้ที่เธอเพียงแค่ถามเรื่องทั่ว ๆ ไป แล้วตอนนี้เธอก็ยังอยู่ที่สวนหลังบ้านของฉัน ทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี แถมภรรยาของเธอก็กำลังรดน้ำต้นไม้ ฉันล่ะอยากจะกำจัดเธอไปให้พ้น ๆ ซะจริง”

ซีนแรกของมิวสิควิดีโอนั้นจะเป็นฉากเรียบ ๆ ที่มีชื่อเพลงปรากฏอยู่ตรงกลางภาพ ซีนนี้ทำให้นึกถึงยุคสมัยของ ‘หนังเงียบ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการแต่งหน้า และโทนของมิวสิควิดีโอที่เป็นขาวดำ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเทย์เลอร์อาจจะได้รับแรงบันดาลใจนี้มาจากเพลงที่เธอเขียนถึงนักแสดงสาวในยุคสมัยหนังเงียบอย่าง ‘Clara Bow’ ซึ่งเป็นแทร็คสุดท้ายของอัลบั้มนั่นเอง

‘Clara Bow’ เป็นนักแสดงหนังเงียบที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1905 - 1965 เธอโด่งดังและโดดเด่นมาก และเรียกได้ว่านั้นเป็นยุคทองของเธอเลยก็ว่าได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ประวัติเรื่องราวชีวิตของเธอนั้นก็ไม่ได้สวยหรูเช่นเดียวกับผู้ประสบความสำเร็จท่านอื่น ๆ และนี่เองอาจจะเป็นเรื่องราวที่เชื่อมนักแสดงจากครั้งอดีตเข้ากับเทย์เลอร์ที่ตอนนี้เธอเองก็เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของยุคนี้ด้วยเช่นกัน

Clara Bow ไม่ใช่สตรีจากปี 1920 เพียงคนเดียวที่เทย์เลอร์เขียนถึง แต่ยังรวมไปถึง ‘Idina Sackbville’ ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ถูกชาวบ้านขนาดนามว่า ‘The Bolter’ ที่ต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้เทย์เลอร์แต่งเพลงชื่อเดียวกันนี้ 

ประวัติโดยย่อของ Idina มีอยู่ว่า เธอเคยทิ้งสามีของเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นชายหนุ่มที่ทรงเกียรติและดีเลิศไปเสียทุกด้าน เพียงเพื่อให้ได้ให้อยู่กับชายคนรักคนใหม่จากเคนย่า แต่ชายคนนี้ก็ยังไม่ใช่รักครั้งสุดท้ายของเธอ เพราะเธอแต่งงานใหม่และหย่าอีกราว 5 ครั้ง นั่นทำให้คนต่างประณามเธอ หรืออย่างที่เทย์เลอร์เขียนในเนื้อเพลงของเธอว่า ‘wh*re’ หรือ หญิงชั่ว

จากเรื่องราวทั้งหมด สามารถเดาได้ว่าเรื่องราวของ Idina นั้น มีส่วนคล้ายคลึงกับชีวิตของเทย์เลอร์อยู่ไม่มากก็น้อย เพราะเธอเองก็เคยโดยผู้คนประณามถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเลิกราครั้งแล้วครั้งเล่าของเธอเช่นกัน

เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มนี้ ล้วนแล้วแต่มีความรักเป็นส่วนประกอบ แม้ว่าจะมีความเจ็บปวดเป็นวัตถุดิบหลักก็ตาม อีกหนึ่งเพลงที่เธอพูดถึงความเจ็บปวดจากความรักในแง่มุมที่แตกต่างจากเพลงอื่น ๆ นิดหน่อย นั่นคือเพลง ‘I Can Do It With a Broken Heart’ ที่บอกเล่าถึงการก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเจ็บปวดหลังจากคนรักเลิกรา และความแข็งแกร่งของเธอ ที่ยังคงเดินหน้า ทำสิ่งที่ต้องทำต่อไป อย่างที่กล่าวไว้ในเพลงว่า “Lights, camera, B*tch smile. Even when you wanna die — เมื่อไฟพร้อม กล้องพร้อม ฉันก็จะยิ้มอยากมีความสุข แม้ว่าจริง ๆ แล้วฉันจะอยากตายมากแค่ไหนก็ตาม” และช่วงท้ายของเพลงที่เธอพูดเสริมเข้ามาก่อนจบเพลงว่า “Cause I’m miserable and nobody even knows! Try and come for my job — เพราะเอาจริงฉันรู้สึกแย่มาก แต่ไม่มีใครรู้เลยสักคน ฉันพยายามเต็มที่เพื่องานของฉันนะ”

อีกหนึ่งเพลงที่ผู้เขียนค้นพบว่า เพลงที่มีประเด็นเป็นที่ฮือฮาในหมู่สวิฟตี้หรือว่าเหล่าแฟนคลับของเทย์เลอร์ไม่น้อยไปกว่าเพลงอื่น ๆ เลยคือเพลง “thanK you aIMee” พอจะสังเกตเห็นอะไรกันไหมคะ ใช่ค่ะ นั่นคือตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ในชื่อเพลงนั้นเองค่ะ ที่ถอดออกว่าจะได้ชื่อว่า K.I.M แฟนคลับของเธอเลยอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงไปถึง ‘คิม คาร์ดาเชียน’ 

คงต้องย้อนกลับไปเมื่อดราม่าครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ที่เทย์เลอร์มีเรื่องกับอดีตคู่สามีภรรยา คิม และคานเย่ เวสต์ จนเธอถูกผู้คนทั้งโลกอินเตอร์เน็ตเรียกว่าเธอมัน ‘Snake’ หรือ ‘นังงูพิษ’ และเทย์เลอร์ก็ให้กำเนิดอัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Reputation’ ในที่สุด

แถมการซ่อน Secret message ผ่านตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ในเนื้อเพลงก็เป็นสิ่งที่เทย์เลอร์ชอบทำมาตั้งแต่สมัยอัลบั้ม ‘Speak Now’ อยู่แล้ว เรามาลองสังเกตเนื้อเพลงบางท่อนกันดีกว่าว่าอะไรกันที่เหล่าแฟนคลับสังเกตเห็นนอกเหนือจากที่เห็นในชื่อเพลง 

“And so I changed your name and any real defining clues —แล้วฉันก็เลยเปลี่ยนชื่อเธอ เปลื่ยนทุกอย่างที่จะบ่งบอกว่าเป็นเธอ” 

เนื้อเพลงท่อนนี้เองที่อาจจะเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเทย์เลอร์ตัดสินใจเรียกเธอด้วยชื่ออื่นในเพลงนี้ ซึ่งก็คือ aIMee หรือไม่

“Your kid comes home singing. A song that only us two is gonna know is about you — ลูกของเธอจะกลับบ้านพร้อมกับร้องเพลง ที่คงจะมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่า ฉันเขียนถึงเธอ”

ตรงนี้ก็มีประเด็นอยู่ตรงที่ลูกสาวของคิมดันเป็นแฟนคลับตัวยงของเทย์เลอร์อย่างเปิดเผย แถมเพลงที่เทย์เลอร์กล่าวถึงว่าเป็นเพลงที่มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกี่ยวกับคิม ซึ่งอาจจะเป็นเพลงจากอัลบั้ม Reputation ก็ได้ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นก็คงต้องเป็นเพลง ‘Look What You Made Me Do’ ก็เป็นได้

ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้บนแอคเคานท์อินสตาแกรมของคิมได้รับคอมเม้นท์จากเหล่าสวิฟตี้เป็นชื่อเพลงอย่างล้นหลาม

‘The Tortured Poets Department’ แน่นอนว่าต้องเป็นที่จับตาของนักวิจารณ์เพลง หรือเหล่าผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงอย่างแน่นอน เพราะอัลบั้มนี้ถือได้ว่าเป็นอัลบั้มที่เทย์เลอร์ถึงขั้นเรียกตัวเองว่าเป็นกวีอย่างเต็มตัวแล้วล่ะก็ ย่อมต้องแสดงให้เห็นถึงการเรียบเรียงเลือกสรรถ้อยคำอย่างหลักแหลม และความสามารถในการเขียนเพลงของเธอที่ยังคงพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุดพักให้ประจักษ์ได้อย่างแน่นอน 

แล้วไหนจะยังข้อความ การเปรียบเปรยที่เธอซ่อนเอาไว้ในเพลง ที่ทำให้เหล่าแฟนเพลงอดไม่ได้ที่ตั้งใจเพลงเหล่านั้น และพยายามถอดรหัสข้อความออกมาเป็นเรื่องราวให้จงได้

ตอนนี้เราคงทำได้เพียงจับตามองว่าผลงานชิ้นนี้จะสร้างปรากฏการณ์ใดหรือซ่อนอะไรเอาไว้อย่างที่ทุกผลงานของศิลปินผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคอย่าง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ สร้างมาตลอด

 

เรื่อง : ปิยวรรณ พลพุทธ

ภาพ : อินสตาแกรม taylorswift

อ้างอิง :

Taylor Swift’s Eras Tour Is the Highest-Grossing of All Time and First-Ever to Hit $1 Billion

This Taylor Swift Theory About “The Bolter” Points To A Scandalous Woman

All the hidden literary references in Taylor Swift's The Tortured Poets Department