20 ต.ค. 2568 | 23:27 น.
KEY
POINTS
หากจะกล่าวถึงบทเพลงรักอมตะที่ข้ามผ่านกาลเวลา ‘Dance Me to the End of Love’ ของ ‘เลนเนิร์ด โคเฮน’ (Leonard Cohen 1934-2016) ย่อมเป็นหนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก
โคเฮน เป็นศิลปินผู้มีชีวิตและผลงานที่ซับซ้อนเกินกว่าจะนิยามได้ด้วยคำจำกัดความเดียว เขาคือบุตรชายจากตระกูลยิวชั้นสูงและโดดเด่นในมอนทรีออล แคนาดา ผู้เริ่มต้นเส้นทางในฐานะ ‘กวีหนุ่มดาวรุ่ง’ และนักเขียนนวนิยายเจ้าของผลงานสะเทือนวงการ อย่าง ‘Beautiful Losers’ ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักร้องนักแต่งเพลงอย่างไม่เต็มใจนัก
โคเฮน ใช้เสียงทุ้มลึกดุจคำสารภาพของเขา สำรวจภูมิทัศน์ของจิตใจมนุษย์ในมิติที่ลึกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรัก ศรัทธา ความปรารถนา ความตาย และความสิ้นหวัง เขามองว่า “ไม่มีความแตกต่างระหว่างบทกวีและบทเพลง...งานเขียนทั้งหมดของผมมีเสียงกีตาร์อยู่เบื้องหลัง แม้กระทั่งในหนังสือนิยาย” และได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานความศักดิ์สิทธิ์เข้ากับเรื่องทางโลก เชื่อมโยงความสุภาพอ่อนโยนเข้ากับความเจ็บปวดอันดิบเถื่อน
ด้วยท่วงทำนองวอลทซ์อันอ่อนหวาน เนื้อหาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา และเสียงร้องทุ้มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้บทเพลง ‘Dance Me to the End of Love’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโรแมนติกที่ตราตรึงใจผู้คนทั่วโลก และมักถูกเลือกใช้ในโมงยามที่สำคัญที่สุดของความรัก อย่างในงานวิวาห์อีกด้วย
แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากบทเพลงที่ดูเหมือนจะเฉลิมฉลองความรักนี้ แท้จริงแล้วมีรากฐานมาจากความทรงจำอันดำมืดและสะเทือนใจที่สุดในประวัติศาสตร์? ภายใต้ภาษาที่เย้ายวนและงดงามนั้น ซ่อนความหมายชั้นที่สองซึ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าที่ใครจะคาดคิด
เมื่อเสียงดนตรีแรกของ ‘Dance Me to the End of Love’ ลอยผ่านมา ท่วงทำนองวอลทซ์ที่สง่างามและเชื่องช้าก็เชื้อเชิญให้เราเข้าสู่โลกแห่งการเต้นรำที่เปี่ยมด้วยมนตร์ขลัง บทเพลงที่เมื่อแรกฟัง ดูเหมือนจะถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลองความรักในรูปแบบที่บริสุทธิ์และดื่มด่ำที่สุด
เสียงร้องของ โคเฮน ที่ทุ้มต่ำและแหบพร่าราวกับกระซิบอยู่ข้างหู ถ่ายทอดภาษาที่เย้ายวนและโหยหา การย้ำวลี ‘Dance me to the end of love’ ไม่ต่างอะไรกับคำอ้อนวอนอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคนรัก และเดินทางร่วมกันไปจนสุดเส้นทางของชีวิต
ผู้ฟังจะสัมผัสได้ถึงสัญลักษณ์แห่งสันติสุขและความหวังที่สอดแทรกอยู่ตลอดบทเพลง ไม่ว่าจะเป็นภาพของ ‘กิ่งมะกอก’ (olive branch) หรือ ‘นกพิราบที่โบยบินกลับรัง’ (homeward dove) ซึ่งล้วนเป็นภาพแทนของความรักที่เปรียบดังบ้านและที่พักพิงใจอันสงบสุข การเต้นรำในเพลงนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่การขยับร่างกาย แต่คือการเดินทางผ่านทุกช่วงขณะของความสัมพันธ์ ตั้งแต่การสัมผัสแรกที่เร่าร้อน ไปจนถึงการแต่งงาน การเลี้ยงดูบุตร และความเปราะบางที่ต้องเผชิญร่วมกัน
ในระดับนี้ ‘Dance Me to the End of Love’ คือบทบันทึกการเดินทางของความรักฉันท์หนุ่มสาวที่สมบูรณ์แบบ เป็นการยอมจำนนต่ออำนาจของความงามและความปรารถนา ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ โคเฮน ที่มักมองเห็นความศักดิ์สิทธิ์ซ้อนอยู่ในความสัมพันธ์ทางกาย
“ผมไม่คิดว่าผู้ชายคนไหนจะลืมภาพแรกที่ได้เห็นผู้หญิงเปลือยกาย... ผมคิดว่านั่นคือเนื้อหาหลักในจินตนาการของผู้ชายทุกคน การผจญภัยอันน่าเศร้าทั้งในสื่อลามก ความรัก และบทเพลง ล้วนเป็นเพียงก้าวเดินบนเส้นทางไปสู่นิมิตอันศักดิ์สิทธิ์นั้น”
บทเพลงนี้จึงสามารถตีความในระดับบุคคลได้อย่างสมบูรณ์ว่า ด้วยการอุทิศตนเพื่อคนรักเพียงหนึ่งเดียว และเต้นรำไปกับเธอตราบจนลมหายใจสุดท้าย เป็นการตีความที่งดงามและทรงพลังในตัวของมันเอง... ก่อนที่เราจะค้นพบว่า “ไวโอลินที่ลุกเป็นไฟ” ในคำร้องของเพลงนั้น ซ่อนความหมายที่น่าสะพรึงกลัวกว่าไว้มากนัก
หากความหมายชั้นแรกของ ‘Dance Me to the End of Love’ คือการยอมจำนนต่อความรัก ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกคือการยอมจำนนต่อความตายอย่างมีศักดิ์ศรี
มีการเปิดเผยความจริงอันน่าตกตะลึงที่พลิกความเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับบทเพลงนี้ ในหนังสือชีวประวัติ ‘I'm Your Man: The Life of Leonard Cohen’ ซึ่งระบุว่า แรงบันดาลใจที่แท้จริงของ โคเฮน ไม่ได้มาจากห้องเต้นรำสุดโรแมนติก แต่มาจากภาพอันน่าสยดสยองของวงดนตรีเครื่องสายของเชลยในค่ายกักกัน ที่ถูกบังคับให้บรรเลงเพลงคลาสสิก ขณะที่เพื่อนร่วมชะตากรรมของพวกเขากำลังถูกนำตัวเข้าสู่ห้องรมแก๊สเพื่อจบชีวิตลง
วลีที่เคยงดงาม อย่าง “Dance me to your beauty with a burning violin” พลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพที่สะท้อนความจริงอันโหดร้ายอย่างที่สุด “ไวโอลินที่ลุกเป็นไฟ” ไม่ใช่ภาพเปรียบเทียบเชิงกวีอีกต่อไป แต่คือภาพจริงของการบรรเลงดนตรีที่เกิดขึ้นท่ามกลางกองเพลิงแห่งความตาย เปลี่ยน ‘การเต้นรำ’ ที่แสดงออกถึงความรัก ให้กลายเป็นการก้าวเดินสู่จุดจบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เป็นการลบเลือนเส้นแบ่งระหว่างความงามอันน่าเศร้า (เสียงดนตรี) และความน่าสะพรึงกลัว (การประหารชีวิต) ได้อย่างสมบูรณ์
เนื้อเพลงท่อนอื่น ๆ อย่าง “Dance me through the panic till I’m gathered safely in” ในบริบทนี้ ‘ความตื่นตระหนก’ คือความโกลาหลและความหวาดกลัวที่แท้จริงของนักโทษ และการ “ถูกรวบรวมไว้อย่างปลอดภัย” ก็คือการเปรียบเปรยถึงการถูกต้อนไปสู่ความตาย ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดที่ไม่อาจหลีกหนีได้
แม้จะอยู่ท่ามกลางการทำลายล้างที่โหดเหี้ยมที่สุด “Dance me to the children who are asking to be born” เนื้อเพลงท่อนนี้ยังคงฉายภาพความหวังอันริบหรี่ คือเสียงกระซิบแห่งการสืบทอดชีวิต คือความปรารถนาที่จะให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ต่อไป แม้ร่างกายของตนกำลังจะสูญสลายไปก็ตาม
‘Dance Me to the End of Love’ จึงเปรียบเสมือน ‘บทสดุดีแห่งความตาย’ (hymn to death) และเป็น ‘หยดสารสกัดแห่งความทรงจำ’ (tincture of recall) ที่ โคเฮน สกัดออกมาจากประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด เพื่อไม่ให้เราหลงลืมโศกนาฏกรรมที่มนุษย์กระทำต่อกัน และเพื่อยืนยันว่า แม้ในห้วงเวลาที่มืดมนที่สุด จิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงสามารถค้นหาศักดิ์ศรีและความงามได้จนถึงวาระสุดท้าย
ความยิ่งใหญ่ของ ‘Dance Me to the End of Love’ ไม่ได้หยุดอยู่แค่เบื้องหลังอันน่าทึ่ง แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่มันสร้างขึ้นในฐานะงานศิลปะที่ทรงพลังและมีชีวิตชีวามาจนถึงปัจจุบัน
พลังที่แท้จริงของเพลงนี้อยู่ที่ความตึงเครียดอันงดงามระหว่างความงามและความโหดร้าย ภาพที่ซ้อนทับกันระหว่างคู่รักที่เต้นรำในอ้อมกอด และนักโทษที่ก้าวเดินสู่ความตาย โคเฮน สร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ซับซ้อน ทำให้ผู้ฟังได้สัมผัสทั้งความเย้ายวนและความเศร้าโศกในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่เขายึดมั่นมาตลอด ดังที่เคยกล่าวไว้ว่า
“ผมรู้สึกว่าการวางตำแหน่งเคียงข้างกัน [ระหว่างจิตวิญญาณและเพศรส] นี่เอง ที่สร้างความงามอันเป็นเอกลักษณ์...ความเป็นบทกวีนั้นขึ้นมา”
แม้จะมีจุดกำเนิดจากความทุกข์ทรมาน แต่แก่นกลางของเพลงกลับไม่ใช่ความสิ้นหวัง ในตรงกันข้าม ยังสะท้อนถึงการเฉลิมฉลอง ‘พลังของความรัก’ ที่สามารถเยียวยาและมอบความหวังได้ แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ‘ความรัก’ ในเพลงนี้ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นพลังสากล เป็น ‘ที่หลบภัยจากความเจ็บปวดและความวุ่นวาย’ เป็นการยืนยันว่า แม้ร่างกายจะถูกทำลาย แต่จิตวิญญาณและความผูกพันของมนุษย์นั้นยังคงอยู่
บทเพลงนี้คือภาพจำลองจักรวาลในงานของ เลนเนิร์ด โคเฮน ที่มักจะสำรวจประเด็นหนักหน่วงของชีวิต ทั้งศาสนา, ความรัก, ความตาย และการสูญเสีย เขาทำหน้าที่ของศิลปินในฐานะ ‘ผู้เผยพระวจนะ’ (prophet) ที่ถ่ายทอดสัจธรรมอันขมขื่นผ่านบทเพลง ดังที่ ‘เออร์วิง เลย์ตัน’ (Irving Layton) กวีผู้เป็นเพื่อนสนิท เคยกล่าวไว้อย่างคมคายว่า
“เขาทำให้คุณนึกถึง ‘เยเรมีย์’ ในตรอกทินแพน เขาต้องการที่จะใช้หมัดเปล่า ๆ ทลายภาพลวงตาที่ผู้คนยังมีอยู่เกี่ยวกับยุคสมัยที่พวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่”
ความหมายของ เลย์ตัน ก็คือ โคเฮน คือผู้เผยความจริงอันน่าขมขื่น ในโลกของวงการเพลงป๊อป (ตรอกทินแพน)
‘เยเรมีย์’ ในที่นี้เป็นการอ้างอิงถึงผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ บุคคลสำคัญในพระคัมภีร์เก่า (Old Testament) ที่พระเจ้ามอบหมายให้เขาไปประกาศคำพยากรณ์
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือเพลงที่เกิดจากความทรงจำที่มีต่อค่ายกักกัน กลับกลายเป็นเพลงยอดนิยมในงานแต่งงาน ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งของศิลปะในการข้ามพ้นบริบทดั้งเดิมและสร้างความหมายใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับชีวิตของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะในภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์ หรือในพิธีวิวาห์ ‘Dance Me to the End of Love’ ได้พิสูจน์แล้วว่ามันสามารถเป็นได้ทั้งบทเพลงแห่งความรักที่ลึกซึ้ง และเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของชีวิตไปพร้อม ๆ กัน
บทเพลงนี้คือมรดกที่ตอกย้ำถึงอัจฉริยภาพของ เลนเนิร์ด โคเฮน ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ทรงพลังและเป็นอมตะ เขาได้เชื้อเชิญให้ผู้ฟัง “โอบรับการเต้นรำแห่งชีวิต” ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสมหรือความเจ็บปวด และค้นหาความหวังแม้ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากที่สุด ดังที่เขาได้ยึดมั่นในหลักการทำงานศิลปะของตนเองมาโดยตลอดว่า
“หากเราจะกล่าวถึงความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งรอเราทุกคนอยู่ มันจะต้องถูกกระทำภายใต้ขอบเขตอันเข้มงวดของศักดิ์ศรีและความงดงาม”
ท้ายที่สุด ‘Dance Me to the End of Love’ ได้ทิ้งท้ายข้อคิดอันลึกซึ้งให้เราได้ครุ่นคิดถึงพลังของศิลปะ ที่สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นความเข้าใจ สามารถจดจำอดีตอันโหดร้ายได้โดยไม่ลืมที่จะค้นหาความหมาย และสามารถเยียวยาจิตใจของมนุษย์ได้ด้วยการค้นพบความงาม แม้ในสถานที่ที่มืดมนที่สุด
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
Simmons, Sylvie. I'm Your Man: The Life of Leonard Cohen. HarperCollins, 2012.