26 ก.ย. 2568 | 18:35 น.
KEY
POINTS
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังยืนอยู่บนทางเท้าในเมืองใหญ่ที่ดูสกปรก ในมือมีเพียงตะกร้าบุนวมใบหนึ่ง และภารกิจของคุณคือการวิ่งไล่เก็บ ‘ไข่’ ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากตึกสูงระฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน ทุก ๆ สองสามวินาที คุณจะเห็นไข่ใบหนึ่งร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว และต้องวิ่งไปทั่วเพื่อพยายามรับมันไว้ในตะกร้า
แต่คุณไม่สามารถรับไข่ได้ทั้งหมด ไข่จำนวนมากร่วงกระแทกพื้น แตกกระจายเกรอะกรังอยู่ปลายเท้า ความรู้สึกสิ้นหวังเข้าครอบงำ เพราะไม่ว่าคุณจะพยายามหนักแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันรับไข่ได้ทุกใบ
นี่ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือภาพสะท้อนชีวิตจริงของ ‘นายแพทย์ ปีเตอร์ แอทเทีย’ (Peter Attia) สมัยเป็นแพทย์ฝึกหัดด้านศัลยกรรมมะเร็ง ที่โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ ในห้องผ่าตัด เขาคือศัลยแพทย์มือดีที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดอันซับซ้อน อย่าง Whipple Procedure เพื่อช่วยผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ซึ่งเปรียบเสมือนความหวังเดียวของผู้ป่วย
การผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จ ก็เหมือนกับการ “รับไข่ได้หนึ่งฟอง” แต่แล้วความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้น เมื่อผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่เขาช่วยชีวิตไว้ได้บนเตียงผ่าตัดยังคงเสียชีวิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ในที่สุด เขาก็ตระหนักว่า “ไข่ใบนั้นก็ยังคงตกกระทบพื้นอยู่ดี” ความสำเร็จที่เขาภาคภูมิใจ เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่สั่นสะเทือนอาชีพจนถึงแก่น “เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
คำถามนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาคำตอบที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อวงการแพทย์ในเวลาต่อมา
‘ไข่ที่ร่วงหล่น’ ในความฝันของ ปีเตอร์ แอทเทีย ไม่ได้เป็นเพียงอุปลักษณ์ลอย ๆ แต่คือภาพแทนของภัยคุกคามด้านสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา
โรคเรื้อรัง (Chronic Diseases) ซึ่งเขาเรียกว่า ‘การตายอย่างช้า ๆ’ (Slow Death) มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ ‘การตายอย่างรวดเร็ว’ (Fast Death) ที่มาจากอุบัติเหตุหรือโรคติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเคยเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในอดีต
นี่คือ ‘มือสังหาร’ ที่ค่อย ๆ พรากชีวิตผู้คนอย่างเงียบเชียบ ประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ที่เขาขนานนามว่า ‘สี่ทหารม้า’ (The Four Horsemen) ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคมะเร็ง, โรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท รวมถึงภาวะเมแทบอลิซึมบกพร่องและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ไม่ว่าคุณจะร่ำรวยหรือมีแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใด ยังคงมีโอกาสสูงอย่างยิ่งที่คุณจะเสียชีวิตจากหนึ่งในสี่ทหารม้านี้
คำถามสำคัญคือ ทำไมโรคเหล่านี้จึงแพร่หลายนัก?
คำตอบซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็ว จนเกินกว่าที่พันธุกรรมของเราจะปรับตัวทัน ยีนของเราถูกออกแบบมาเพื่อความอยู่รอดในยุคแห่งความขาดแคลน แต่ปัจจุบันเรากลับใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ‘วิกฤตแห่งความอุดมสมบูรณ์’ (Crisis of Abundance) ความไม่ลงรอยกันนี้เอง ที่กลายเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำคมของ ‘บิชอป เดสมอนด์ ตูตู’ ที่ว่า “มันถึงจุดที่เราต้องเลิกดึงคนออกจากแม่น้ำ เราต้องเดินขึ้นไปต้นน้ำเพื่อดูว่าทำไมพวกเขาถึงตกลงไป”
เพราะระบบการแพทย์ในปัจจุบันสาละวนอยู่กับการ ‘ดึงคนออกจากแม่น้ำ’ จนแทบไม่มีเวลาเหลือพอที่จะเดินขึ้นไปดูว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของปัญหากันแน่
ระบบการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน หรือที่ ปีเตอร์ แอทเทีย เรียกว่า ‘การแพทย์ 2.0’ (Medicine 2.0) นั้น คือผลผลิตของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับ ‘การตายอย่างรวดเร็ว’ และเราทำได้ดีอย่างน่าทึ่ง เรามียาปฏิชีวนะที่กำจัดการติดเชื้อร้ายแรงได้ มีเทคนิคการผ่าตัดที่ช่วยชีวิตผู้คนจากอุบัติเหตุสาหัสได้ นี่คือระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ‘ซ่อมแซม’ ร่างกายที่เสียหายเฉียบพลัน
แต่จุดแข็งที่สุดกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่อันตรายที่สุดในยุคของโรคเรื้อรัง ปรัชญาของ Medicine 2.0 คือ การ ‘ตั้งรับ’ (Reactive) รอให้มีอาการ รอให้โรคปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนเสียก่อน แล้วจึงค่อยลงมือจัดการ เหมือนกับการสร้างทีมแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดในโลก แต่กลับสั่งให้พวกเขายืนรออยู่ที่ปลายแม่น้ำ เพื่อคอยช่วยเหลือคนที่ตกลงไปแล้วเท่านั้น
กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุด คือวิธีรับมือกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามมาตรฐานปัจจุบัน แพทย์จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคเบาหวานก็ต่อเมื่อ ค่า HbA1c (ค่าน้ำตาลสะสมในเลือด) ของคุณสูงถึง 6.5% เมื่อนั้นการรักษาอย่างเต็มรูปแบบด้วยยาต่าง ๆ จะเริ่มต้นขึ้น แต่หากผลตรวจของคุณออกมาที่ 6.4% ซึ่งต่างกันเพียงนิดเดียว คุณจะยังไม่ถูกจัดว่าเป็นผู้ป่วย แต่เป็นเพียงผู้ที่มี ‘ภาวะก่อนเบาหวาน’ (Prediabetes) และคำแนะนำที่ได้รับส่วนใหญ่คือ “ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เล็กน้อย และเฝ้าติดตามผลเลือดปีละครั้ง”
นี่คือหัวใจของความผิดพลาด เหมือน “รอให้ไข่ตกแตกก่อน แล้วค่อยลงมือทำอะไรสักอย่าง”
แอทเทีย ยืนยันว่า แนวทางนี้ ‘ผิดอย่างมหันต์’ เพราะในขณะที่เรากำลัง ‘เฝ้ารอดู’ นั้น โรคได้เริ่มกัดกินร่างกายไปอย่างเงียบ ๆ กว่าที่คนไข้จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน ก็ถือว่า ‘สายไปมากแล้ว’ เรากำลังเสียเวลาอันมีค่าที่สุดในการป้องกันไปกับการรอคอยอย่างเปล่าประโยชน์
เมื่อตระหนักว่าปรัชญาการแพทย์แบบเดิมไม่ต่างอะไรกับการวิ่งไล่เก็บไข่ที่ปลายทาง นายแพทย์แอทเทียได้ค้นพบจุดเปลี่ยนทางความคิดครั้งสำคัญที่สุด ทางออกที่แท้จริง ไม่ใช่การพยายามวิ่งรับไข่ให้เก่งขึ้น แต่คือการ “ปีนขึ้นไปบนตึกเพื่อหยุดคนที่กำลังโยนไข่ลงมา”
นี่คือจุดกำเนิดของกระบวนทัศน์ใหม่ ที่เรียกว่า ‘การแพทย์ 3.0’ (Medicine 3.0) หรือ การแพทย์เชิงรุก (Proactive Medicine) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับยุคสมัยของโรคเรื้อรังโดยเฉพาะ เป้าหมายไม่ใช่เพียงการยืดอายุขัย แต่คือการยืดคุณภาพชีวิตควบคู่กันไป หลักคิดสำคัญเริ่มต้นจากการ ‘ป้องกันก่อนรักษา’ เปลี่ยนจากท่าทีที่รอคอยให้โรคปรากฏแล้วจึงลงมือ ไปสู่การจัดการความเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำ ก่อนที่ภัยเงียบจะคืบคลานเข้าสู่ร่างกาย
ควบคู่กับนั้นคือการมองผู้ป่วยในฐานะ ‘ปัจเจกที่มีพันธุกรรมและบริบทแตกต่างกัน’ การรักษาที่เหมือนสูตรสำเร็จใช้กับใครก็ได้ จึงไม่เพียงพออีกต่อไป แพทย์ต้องเข้าใจความเฉพาะตัวของแต่ละคน เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาโดยเฉพาะ
อีกหนึ่งหัวใจคือการ ‘ทำความเข้าใจความเสี่ยงอย่างแท้จริง’ ไม่ใช่ยึดติดอยู่กับคำขวัญ “อย่าทำอันตราย” เพียงด้านเดียว แต่กล้าที่จะชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงและผลลัพธ์ มองให้ลึกถึงทางเลือกที่อาจทำร้ายในระยะสั้น แต่ช่วยป้องกันความเสียหายในระยะยาวได้ดีกว่า
และท้ายที่สุด Medicine 3.0 วางน้ำหนักไว้ที่ ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (healthspan) มากกว่าแค่ ช่วงชีวิตที่ยืนยาว (lifespan) แต่เต็มไปด้วยโรคและความทุกข์ การแพทย์ยุคใหม่ต้องพาผู้คนไปสู่การมีชีวิตที่ไม่เพียงยาวนาน แต่ยังคงความกระฉับกระเฉง สมองแจ่มใส และเปี่ยมด้วยความหมายจนถึงบั้นปลาย
แอทเทีย เปรียบเทียบไว้อย่างคมคายว่า “โนอาห์สร้างเรือตอนไหน? ก่อนที่ฝนจะเริ่มตก”
ในขณะที่การแพทย์ 2.0 พยายามหาวิธีทำให้ตัวแห้ง หลังจากที่ฝนได้กระหน่ำลงมาแล้ว การแพทย์ 3.0 คือการศึกษาพยากรณ์อากาศและตัดสินใจสร้างเรือตั้งแต่เนิ่นๆ เปลี่ยนจากการเป็นนักดับเพลิงที่คอยวิ่งวุ่นดับไฟ ไปสู่การเป็นสถาปนิกที่ออกแบบอาคารให้ทนไฟตั้งแต่แรก
ปีเตอร์ แอทเทีย เป็นผู้ก่อตั้งคลินิก Early Medical ซึ่งมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ศาสตร์แห่งการมีอายุยืนยาว (longevity) เพื่อยืดช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี (healthspan) และชะลอการเกิดโรคเรื้อรัง
ก่อนจะเป็นแพทย์ เขามีพื้นฐานด้านวิศวกรรมศาสตร์ โดยศึกษาด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์และวิศวกรรมเครื่องกล แอทเทียเคยตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ระหว่างการเป็นอาสาสมัครในสถานพักพิงสำหรับวัยรุ่นที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางชีวิต และหันมาเรียนด้านการแพทย์
เขาสำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเข้าฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้านด้านศัลยกรรม ที่โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นศัลยแพทย์ด้านมะเร็ง
หลังจากทำงานเป็นศัลยแพทย์ได้ 5 ปี แอทเทีย เกิดความคับข้องใจกับข้อจำกัดของการแพทย์ ที่เน้นการ ‘รักษา’ ที่ปลายเหตุ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากวงการแพทย์ และไปทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารที่บริษัท McKinsey & Company โดยทำงานในส่วนของการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสินเชื่อ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 36 ปี แอทเทีย ซึ่งแม้จะออกกำลังกายอย่างหนัก แต่กลับพบว่าตัวเองมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ด้วยประสบการณ์ส่วนตัว ประกอบกับประวัติครอบครัวที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ ทำให้เขาหันมาศึกษาอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการมีอายุยืนยาว และพัฒนากรอบความคิดที่เขาเรียกว่า ‘การแพทย์ 3.0’ (Medicine 3.0) อันเป็นที่มาของหนังสือ ‘Outlive: The Science & Art of Longevity’
เราได้เห็นแล้วว่า การแพทย์ในปัจจุบันก้าวหน้าอย่างยิ่งในการรับมือกับปัญหาฉับพลันที่เกิดขึ้น แต่สำหรับโรคเรื้อรังที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ การรอคอยที่ปลายทางเพื่อ “วิ่งไล่เก็บไข่” นั้น ไม่น่าจะใช่คำตอบที่ดีที่สุดอีกต่อไป
ถึงกระนั้น ปีเตอร์ แอทเทีย เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ ‘การแพทย์ 3.0’ จะยังไม่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขโดยทันที ตราบจนกว่า “ผู้ป่วยและแพทย์ร่วมกันเรียกร้อง” ให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันเชิงรุกอย่างจริงจัง
การแพทย์ 3.0 ยังเรียกร้องให้เราเลิกเป็น ‘ผู้โดยสาร’ (passenger) ที่นั่งรอให้ใครสักคนมาดูแลสุขภาพเมื่อยามเจ็บป่วย แต่เราต้องลุกขึ้นมาเป็น ‘กัปตัน’ (captain) ที่มีความรู้ความเข้าใจ ศึกษาเส้นทาง และเป็นผู้ตัดสินใจควบคุมหางเสือเรือแห่งสุขภาพของเราอย่างเต็มที่
คำถามสุดท้าย จึงไม่ใช่คำถามสำหรับแพทย์ แต่เป็นคำถามสำหรับเราทุกคนว่าเราจะยังคงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กับการวิ่งไล่จับไข่ที่กำลังร่วงหล่น หรือเราจะเริ่มปีนขึ้นไปบนตึกเพื่อสร้างอนาคตที่แตกต่าง?
สำหรับ ปีเตอร์ แอทเทีย การเดินทางเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวและดีกว่า เริ่มต้นที่การตัดสินใจในวันนี้
เรื่อง: เอกประภู บรรณสรณ์
ที่มา: Attia, Peter, and Bill Gifford. Outlive: The Science & Art of Longevity. Harmony Books, 2023.