15 ส.ค. 2568 | 08:17 น.
KEY
POINTS
ในโลกที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวไกลอย่างไม่เคยมีมาก่อน คำถามสำคัญอยู่ตรงที่ เราจะมีชีวิตยืนยาวขึ้นเพียงอย่างเดียว หรือ เราจะอยู่ได้อย่างแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตดีตลอดเส้นทาง
‘เอริก โทพอล’ (Eric Topol) ผู้เขียนหนังสือ ‘Super Agers’ (2024) เปิดประเด็นอย่างชัดเจนว่า “สำหรับประเทศที่ยิ่งใหญ่ การเพิ่มเพียงจำนวนปีในชีวิตไม่เพียงพอ เป้าหมายที่แท้จริง คือการใส่ชีวิตใหม่ลงในทุก ๆ ปีที่เพิ่มขึ้น”
โทพอล วัย 71 ปี เป็นแพทย์โรคหัวใจ นักพันธุศาสตร์ และนักวิจัยชาวอเมริกัน ผู้เป็นหนึ่งในผู้นำความคิดด้านการแพทย์ยุคใหม่ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Scripps Research Translational Institute และศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลที่ The Scripps Research Institute ผลงานของเขาครอบคลุมตั้งแต่โรคหัวใจ การใช้จีโนมิกส์ ไปจนถึงการประยุกต์ปัญญาประดิษฐ์ในระบบสาธารณสุข เขาเป็นผู้เขียนหนังสือสำคัญหลายเล่ม อาทิ The Creative Destruction of Medicine, The Patient Will See You Now, Deep Medicine และล่าสุดคือ Super Agers ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาขยาย ‘ช่วงชีวิตสุขภาพดี’ ของมนุษย์
คำว่า ‘Super Agers’ หมายถึง กลุ่มคนสูงวัยที่ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตชีวา ในขณะที่ ‘Wellderly’ คือคำที่ โทพอล ใช้เรียกผู้ที่อายุมากกว่า 80 ปี แต่ไม่เคยมีโรคเรื้อรังหรือเจ็บป่วยรุนแรง พวกเขาแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ที่มักใช้บั้นปลายชีวิตไปกับโรคภัย ซึ่งผู้เขียนชี้ว่า “สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือให้ทุกปีที่เพิ่มขึ้นในชีวิต ปราศจากโรคภัยอย่างแท้จริง”
หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ขายฝันเรื่องยามหัศจรรย์หรือสูตรลับต้านชรา แต่ตั้งอยู่บนฐานของงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ โดย โทพอล ย้ำว่า “ความลับของการมีอายุยืนไม่ได้อยู่ที่ยามหัศจรรย์ต้านความชรา แต่อยู่ที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อันล้ำสมัย” และหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญคือ “การบรรจบกันอย่างพลิกโฉมของปัญญาประดิษฐ์และชีววิทยาศาสตร์” ที่กำลังสร้างแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคและยืดช่วงชีวิตสุขภาพดีให้ยาวนานกว่าเดิม
ก่อนจะพูดถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือการแก้ไขยีนเพื่อยืดอายุ เอริก โทพอล เริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ ‘การใช้ชีวิต’ เรารู้มานานแล้วว่า ปัจจัยด้านวิถีชีวิต อันได้แก่ อาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับ ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อช่วงชีวิตสุขภาพดี แต่ความรู้นั้นได้ขยายออกไปอย่างมาก ไปสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ไลฟ์สไตล์+’
คำว่า ‘Lifestyle+’ ในที่นี้ ครอบคลุมมากกว่าการกินดี ออกกำลังกาย และนอนหลับเพียงพอ เพราะยังรวมถึง “การเผชิญต่อสิ่งแวดล้อม… ปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาพ รวมถึงความเหงา… ความแข็งแรงของร่างกาย… และการควบคุมอาหารอย่างแม่นยำ เช่น การจำกัดเวลาในการกิน” หรือพูดง่าย ๆ คือ ปัจจัยรอบตัวและความสัมพันธ์ในสังคม ก็มีผลต่อช่วงชีวิตสุขภาพดีไม่แพ้กัน
ด้านโภชนาการ โทพอล เตือนถึงภัยของ ‘อาหารแปรรูปขั้นสูง’ ว่า “อาหารแปรรูปขั้นสูง (UPF) … คือสิ่งแปลกปลอม ผลิตขึ้นในอุตสาหกรรม เป็นสารที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนไม่อาจนับได้ว่าเป็นอาหารด้วยซ้ำ” พร้อมข้อมูลจากงานวิจัยว่า “การบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูงมากกว่าวันละสี่หน่วย บ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุถึง 62 เปอร์เซ็นต์” เขายังชี้ถึงบทเรียนจากหลายประเทศที่ประกาศคำแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยง UPFs ขณะที่สหรัฐฯ (รวมถึงประเทศไทย) ยังล่าช้าเพราะอิทธิพลของบรรษัทอาหารรายใหญ่
ในเรื่องการออกกำลังกาย โทพอล เรียกว่า “การแทรกแซงทางการแพทย์ที่ได้ผลดีที่สุดเท่าที่เรารู้จัก” และย้ำว่า “ไม่มีคำว่าสายเกินไป” โดยยกตัวอย่าง ‘ริชาร์ด มอร์แกน’ (Richard Morgan) ชายวัย 93 ปีที่เริ่มออกกำลังกาย และกลายเป็นแชมป์โลกในเวลาต่อมา
ส่วนการนอน โทพอล อธิบายว่า “การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของแทบทุกระบบอวัยวะในร่างกาย” และเป็นกระบวนการที่ช่วย “กำจัดของเสียออกจากสมองผ่านระบบไกลมฟาติก (Glymphatic System)” แต่ปัญหาคือ “ชาวอเมริกันร้อยละ 35–40 นอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน”
สุดท้าย ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมก็มีน้ำหนักไม่น้อย “มลพิษทางอากาศเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตร้อยละ 22 ทั่วโลก” ขณะที่ “ความเหงาและการแยกตัวทางสังคม” เพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัย เทียบเท่าการสูบบุหรี่และโรคอ้วน สำหรับ โทพอล แล้ว lifestyle+ คือรากฐานที่มั่นคงที่สุดของสุขภาพที่ยืนยาว และเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเริ่มได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้เทคโนโลยีการแพทย์มาถึง
แม้ปัจจัยพื้นฐานอย่าง lifestyle+ จะเป็นเสาหลักของสุขภาพ แต่ เอริก โทพอล ชี้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราเผชิญกับโรคร้าย โดยเฉพาะ ‘สี่โรคร้ายหลัก’ ได้แก่ เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง หรือโรคเสื่อมของระบบประสาทบางชนิด
โรคอ้วนและเบาหวาน คือพื้นที่ที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ ด้วยยากลุ่ม GLP-1 โดย “ยาเหล่านี้… ได้สร้างผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย ไปไกลเกินกว่าการรักษาโรคอ้วนและเบาหวาน โดยช่วยปรับผลลัพธ์ของการรักษาโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจล้มเหลว โรคตับ และโรคไตให้ดีขึ้น และยังมีอีกมากที่จะตามมา” นอกจากช่วยลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลแล้ว ยังอาจมีบทบาทในโรคอัลไซเมอร์และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
โรคหัวใจและหลอดเลือด กำลังก้าวสู่ยุคของการป้องกันเชิงรุก “เราสามารถคาดการณ์โรคหัวใจได้อย่างแม่นยำ… ล่วงหน้าหลายสิบปี และบรรลุการป้องกันขั้นปฐมภูมิ” ด้วยการใช้ AI ในการประเมินความเสี่ยงและวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมถึงการรักษาด้วยยารุ่นใหม่ เช่น PCSK9 inhibitors และ colchicine ที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และปัญหาหลอดเลือดอื่น ๆ
มะเร็ง กำลังถูกท้าทายด้วยเทคนิคตรวจคัดกรองยุคใหม่ “การตรวจพบดีเอ็นเอของเนื้องอก… ซึ่งเรียกว่า ‘การตรวจชิ้นเนื้อเหลว’ สามารถทำให้วินิจฉัยและรักษามะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก” ควบคู่กับการใช้ AI อ่านภาพทางการแพทย์เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เช่น “วัคซีนมะเร็ง… ผลิตขึ้นเพื่อป้องกันมะเร็งเฉพาะชนิดในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง”
โรคทางระบบประสาท อย่าง อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน กำลังได้เครื่องมือวินิจฉัยใหม่ เช่น “ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในเลือด (เช่น p-tau217) สำหรับวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์… และตัวบ่งชี้ทางชีวภาพจากผิวหนังหรือเลือดสำหรับโรคพาร์กินสัน” พร้อมแนวทางรักษาแบบใหม่ ทั้งการปรับโปรตีนในสมองและการปลูกถ่ายไมโครไบโอมในลำไส้
โทพอล สรุปด้วยน้ำเสียงแห่งความหวังว่า “การป้องกันหรือการชะลอโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุอย่างมีนัยสำคัญ และด้วยเหตุนี้จึงยืดช่วงชีวิตสุขภาพดี นั่นคือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ (เกือบทั้งหมด) กล่าวถึง” เพราะทุกก้าวที่เราสามารถชะลอโรคใหญ่ได้ คือทุกปีที่เพิ่มเข้ามาในช่วงชีวิตสุขภาพดี
การยืดช่วงชีวิตสุขภาพดี ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการป้องกันโรคหรือควบคุมปัจจัยเสี่ยง แต่ยังรวมถึงการเข้าไปแก้ไข ‘พิมพ์เขียว’ ของชีวิตในระดับพันธุกรรมและเซลล์ โทพอล เรียกสิ่งนี้ว่า “การปฏิวัติหลายมิติของช่วงชีวิตสุขภาพดี… ขับเคลื่อนด้วยการบรรจบกันของความก้าวหน้าครั้งสำคัญในวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยีสารสนเทศ”
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญ คือ CRISPR 2.0 “การแก้ไขยีนแบบเบสเอดิทติ้งและไพรม์เอดิทติ้ง… สามารถ ‘ซ่อมแซม’ ความผิดปกติทางพันธุกรรมได้สูงถึงร้อยละ 90” ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นเปิดทางให้การรักษาโรคทางพันธุกรรมที่เคยไร้ทางเยียวยากลายเป็นจริง เช่น การลดคอเลสเตอรอลสูงจากพันธุกรรม หรือการรักษาโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่ามี “ความกังวลด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการแก้ไขยีนในสายสืบพันธุ์” ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
อีกเทคโนโลยีที่มีบทบาท คือ ‘นาโนพาร์ติเคิล’ สำหรับการนำส่งยาและสารพันธุกรรมเข้าสู่เซลล์เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือวัคซีน mRNA ซึ่งใช้ในโควิด-19 และกำลังขยายสู่โรคอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ชนิดครอบจักรวาล และมะเร็งบางชนิด
ในด้าน การควบคุมภูมิคุ้มกัน งานวิจัยกำลังพัฒนา “วัคซีนแบบย้อนกลับ… สำหรับรักษาโรคแพ้ภูมิตนเอง เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 และโรคลูปัส” ขณะเดียวกัน วัคซีนแบบใหม่ก็กำลังถูกออกแบบ “เพื่อเสริมพลังการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับมะเร็ง” และยังมีเทคนิคขั้นสูง เช่น “การหาลำดับเมตาจีโนม… เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ”
โทพอล มองว่า การประสานกันของชีววิทยาเชิงลึกและเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ ไม่เพียงแต่จะรักษาโรค แต่ยังอาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการสูงวัยทั้งหมด “เราพร้อมที่จะขยับเข็มวัด และดึงเอาเวลาชีวิตที่มีคุณภาพและสุขภาพดีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย”
เมื่อมองไปข้างหน้า เอริก โทพอล เชื่อว่าความเข้าใจเรื่องการสูงวัยเชิงชีววิทยาจะเป็นกุญแจ ในการทำความเข้าใจสัญญาณสำคัญของการสูงวัย ในระดับเซลล์และระดับโมเลกุล และการวัด ‘อายุชีวภาพ’ (biological age) ด้วย ‘นาฬิกาเอพิเจเนติก’ (epigenetic clocks) จะทำให้เรารู้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนแก่เร็วหรือช้ากว่าที่ควร
หนึ่งในแนวทางที่น่าจับตาคือ ‘การปรับโปรแกรมบางส่วน’ (partial reprogramming) หรือ ‘การรีเซ็ตเซลล์ให้กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์กว่า’ ร่วมกับการใช้ ‘ยาเซโนไลติก’ (senolytics) เพื่อกำจัดเซลล์ชรา ที่สะสมเพิ่มขึ้นตามอายุและมีส่วนก่อให้เกิดโรค รวมถึงการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันที่เสื่อมตามวัย (immunosenescence) ซึ่ง โทพอล เรียกว่า “เป้าหมายที่น่าดึงดูดใจที่สุดในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ”
นอกจากนี้ ยังมีสารอีกหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น metformin, rapamycin, และ NAD+ precursors (NR/NMN) แต่เขาเตือนว่า “หลายสิ่งยังขาดหลักฐานทางคลินิกที่ชัดเจน” จึงควรพิจารณาอย่างมีวิจารณญาณ
อย่างไรก็ดี เส้นทางนี้ไม่ราบรื่น เพราะมีทั้ง ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ และ กระแสต่อต้านวิทยาศาสตร์ “หากเครื่องมือหรือวิธีการยืดช่วงชีวิตสุขภาพดีเข้าถึงได้เฉพาะคนมั่งมี สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำเหล่านั้นเลวร้ายลง” และ “การแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือนเป็นภัยต่อการยอมรับความก้าวหน้าทางชีวการแพทย์” นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและระบบสาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงช้า
Super Agers ทำให้เห็นว่า ความลับของการมีชีวิตยืนยาวและมีสุขภาพดี ไม่ได้อยู่ที่ยาวิเศษต้านชรา แต่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ (Lifestyle+) และ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงโรค การตรวจคัดกรองมะเร็งด้วย liquid biopsy ไปจนถึงการแก้ไขยีนด้วย CRISPR 2.0
แต่เส้นทางนี้มีเงื่อนไขสำคัญ นั่นคือ ความรู้และนวัตกรรมต้องเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม มิฉะนั้นจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มความเหลื่อมล้ำ
ท้ายที่สุด นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องทางการแพทย์ แต่เป็นภารกิจร่วมกันของสังคม เพราะการยืดช่วงชีวิตสุขภาพดีของมนุษย์มีคุณค่า มิยิ่งหย่อนไปกว่าการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะชนิดหนึ่ง และถ้าเราทำได้จริง โลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยผู้สูงวัยที่ไม่เพียงมีชีวิตยืนยาว แต่ยังมีชีวิตที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยม
เรื่อง: เอกประภู บรรณสรณ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
Topol, Eric J. Super Agers: An Evidence-Based Approach to Longevity. Simon & Schuster, 2024.